เป็นสิว ผิวแพ้ง่าย อีกหนึ่งผลกระทบจาก PM 2.5
อากาศในช่วงนี้เรียกได้ว่าไม่ดีเลยนะครับ ท้องฟ้าขมุกขมัว มีสีแปลกๆ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะประเทศไทยกำลังถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น PM 2.5 😭 😭 😭 และที่น่ากลัวก็คือสถานการณ์ยังไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นในเร็ววันนี้ด้วย จะออกจากบ้านก็อย่าลืมหาหน้ากากมาใส่ ส่วนกิจกรรมข้างนอกถ้างดได้ก็ขอให้งดไปก่อน โดยเฉพาะเด็กๆ ผู้สูงอายุ รวมถึงคุณแม่ตั้งครรภ์ด้วย
ฝุ่น ควันหรือที่เรียกรวมๆ กันว่ามลพิษทางอากาศที่เราเจออยู่นั้น มักจะมาในรูปแบบของเขม่า ควันจากท่อไอเสียของรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม หรือการเผาไหม้ตามที่ต่างๆ ซึ่งมีทั้งขนาดที่ใหญ่มองเห็นด้วยตาเปล่า เช่น ควันสีขาวหรือดำ และที่มองไม่เห็น เช่น ฝุ่นขนาดเล็ก (PM) ซึ่งจากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า ผลกระทบของ PM 2.5 ที่มีต่อสุขภาพของเรา ไม่ได้มีเฉพาะแค่ระบบทางเดินหายใจเท่านั้น แม้แต่ผิวหนังของเราเองก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ดังนั้น ในช่วงนี้ ถ้าจับหน้าจับตาตัวเองแล้วรู้สึกว่าผิวแห้งๆ หรือมีอาการคันก็ไม่ต้องแปลกใจนะครับ
ส่วน PM 2.5 เกิดจากอะไร ทำไมถึงมีผลกระทบกับผิวพรรณของเรา และทำอย่างไรเราถึงจะรับมือกับมันได้ ตามพี่หมอมาเลยครับ
มลพิษจาก PM (Particulate Matter)
Particulate Matter หรือ PM คืออนุภาคขนาดต่างๆ ที่มีหน่วยเป็นไมครอน (1ใน1,000ของมิลลิเมตร) ซึ่งล่องลอยอยู่ในอากาศ โดยมีทั้งแบบที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและแบบที่เล็กมากจนตาของเรามองไม่เห็น PM ที่มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน เช่น PM 2.5 จัดเป็นมลพิษที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ที่เป็น “อันตรายต่อสุขภาพมากที่สุด” เนื่องจากมีขนาดที่เล็กมาก (เล็กกว่าเส้นผมถึง 20 เท่า) ทำให้ระบบป้องกันในโพรงจมูกของเราไม่สามารถคัดกรองหรือดักจับเอาไว้ได้ จึงสามารถแทรกซึมเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ กระแสเลือด และกระบวนการทำงานของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายได้ทันที ที่สำคัญ PM 2.5 ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเรื้อรังและมะเร็งชนิดต่างๆตามคำเตือนขององค์การอนามัยโลกอีกด้วย
ซึ่งสารตั้งต้นของ PM 2.5 ก่อนที่จะรวมตัวกับไอน้ำและฝุ่นควัน ก็คือ ก๊าซพิษ อันได้แก่ ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (Carbon monoxide : CO) ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายของมนุษย์ทั้งสิ้น โดยสารพิษเหล่านี้จะทำตัวเสมือนสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวและกระตุ้นให้มีการหลั่งสารไซโตไคน์ (Cytokines) ออกมา ทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบ มีงานวิจัยจากเซี่ยงไฮ้และประเทศเม็กซิโกชี้ให้เห็นว่า มลพิษทางอากาศส่งผลให้สารต้านอนุมูลอิสระของผิวลดลงและภูมิต้านทานผิวหนังแย่ลง จึงทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น แพ้ง่าย และยังเป็นสิวได้ง่ายอีกด้วย
มลพิษจากควันรถ
มลพิษจากควันรถก็ถือเป็นมลพิษทางอากาศชนิดหนึ่งเหมือนกัน โดยมักมีส่วนประกอบของสารกลุ่ม Polycyclic Aromatic Hydrocarbons หรือ PAHs ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากกระบวนการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ รวมทั้งควันจากท่อไอเสียรถยนต์และควันบุหรี่ การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรม การกลั่นน้ำมันดิบ
โดยสารที่พบมากในควันรถ ก็คือ benzo[a]pyrene ซึ่งเมื่อเจอกับรังสี UVA ก็จะก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ที่สามารถทำลายเซลล์ผิวหนัง และก่อให้เกิดการอักเสบของผิว สิวและริ้วรอย นอกจากนี้ ยังกระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติได้อีกด้วย สาร PAHs มีความคงตัวในสภาพแวดล้อมได้นานหากไม่ถูกละอองน้ำ และมักจะอยู่รวมกับอนุภาคขนาดเล็กที่ล่องลอยในอากาศได้ อีกทั้งยังสามารถปนเปื้อนร่วมกับสารพิษอื่นโดยเฉพาะโลหะหนักหลายชนิด เช่น สารหนู แบเรียม แคดเมียม โครเมียม ตะกั่ว ปรอท นิกเกิล และสังกะสี
อ่านมาทั้งหมดแล้วก็อย่าเพิ่งวิตกกังวลมากจนเกินไปครับ ยังมีวิธีป้องกันผิวจากมลพิษทางอากาศอยู่หลายวิธี
· ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่จำเป็นต้องออกจากบ้าน หรือต้องผ่านที่โล่งแจ้ง โดยพี่หมอแนะนำให้ใส่หน้ากากชนิดที่เรียกว่า N95 จะดีที่สุด เพราะหน้ากากอนามัยทั่วไป (สีเขียวๆ ที่เราใช้กันอยู่บ่อยๆ) ไม่สามารถป้องกัน PM 2.5 ได้
· สำหรับคนที่ชอบออกกำลังกาย ในช่วงที่ฝุ่นเยอะแบบนี้ พี่หมอแนะนำให้เปลี่ยนเป็นทำที่บ้านหรือฟิตเนส แทนการวิ่งตามสวนสาธารณะหรือออกกำลังกายกลางแจ้งนะครับ โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคภูมิแพ้หรือมีปัญหาด้านทางเดินหายใจ
· ทาครีมบำรุงผิวที่ผสมสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี วิตามินอี แอสต้าแซนติน โคเอนไซม์คิวเท็น และที่สำคัญ อย่าลืมทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะตอนเช้าก่อนออกจากบ้าน เพราะแดดจะทำให้มลพิษทางอากาศทำงานได้ดีขึ้น การปกป้องผิวด้วยการทาครีมกันแดด จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เพราะจะช่วยลดความเสียหายที่จะเกิดกับผิวของเราได้ สำหรับประเทศไทย พี่หมอแนะนำให้เลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และ PA มากกว่า 3+
· รับประทานผักและผลไม้ที่มีสีสัน เช่น มะเขือเทศ แครอท บรอคโคลี่ แตงโม มะละกอ และมะม่วงสุก เพื่อเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระให้ร่างกายไว้ใช้ต่อสู้กับมลพิษทางอากาศ
· รับประทานอาหารเสริมที่มีสารสกัดต่างๆ เหล่านี้ เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด มลภาวะ และลดการอักเสบของผิว เช่น
· ไฮดร็อกซีไทโรซอล (Hydroxytyrosol) และ เวอร์บาสโคไซด์ (Verbascoside) ซึ่งสามารถพบได้จากใบและผลมะกอก
· แอสต้าแซนติน (Astaxanthin) จากสาหร่ายสีแดง (Haematococcus Pluvialis)
· สารสกัดจากเมล็ดองุ่นและเปลือกสน (Grape seed and Pine Bark Extract)
พี่หมอว่านอกจากจะต้องดูแลสุขภาพของตัวเองและคนรอบข้างแล้ว ถ้าอยากให้ปัญหามลพิษทางอากาศลดลง เราทุกคนก็ต้องร่วมด้วยช่วยกันในการแก้ไขและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เช่น ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวและหันมาใช้บริการขนส่งมวลชนแทน เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้มีมากขึ้น โดยอาจจะปลูกต้นไม้ที่ช่วยลดสารพิษในบริเวณรอบๆ บ้าน
ปัญหามลพิษทางอากาศ ไม่ใช่ภัยธรรมชาติ แต่เป็นผลที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ที่สะสมมาเป็นเวลานาน ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ที่ทุกคนจะต้องช่วยกันแก้ไข เพื่อให้ท้องฟ้าของประเทศไทยกลับมาสดใสและลูกหลานของเราได้มีอากาศที่บริสุทธิ์ไว้หายใจต่อไปครับ ❤ ❤ ❤
เป็นสิว ผิวแพ้ง่าย อีกหนึ่งผลกระทบจาก PM 2.5
อากาศในช่วงนี้เรียกได้ว่าไม่ดีเลยนะครับ ท้องฟ้าขมุกขมัว มีสีแปลกๆ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะประเทศไทยกำลังถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่น PM 2.5 😭 😭 😭 และที่น่ากลัวก็คือสถานการณ์ยังไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นในเร็ววันนี้ด้วย จะออกจากบ้านก็อย่าลืมหาหน้ากากมาใส่ ส่วนกิจกรรมข้างนอกถ้างดได้ก็ขอให้งดไปก่อน โดยเฉพาะเด็กๆ ผู้สูงอายุ รวมถึงคุณแม่ตั้งครรภ์ด้วย
ฝุ่น ควันหรือที่เรียกรวมๆ กันว่ามลพิษทางอากาศที่เราเจออยู่นั้น มักจะมาในรูปแบบของเขม่า ควันจากท่อไอเสียของรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม หรือการเผาไหม้ตามที่ต่างๆ ซึ่งมีทั้งขนาดที่ใหญ่มองเห็นด้วยตาเปล่า เช่น ควันสีขาวหรือดำ และที่มองไม่เห็น เช่น ฝุ่นขนาดเล็ก (PM) ซึ่งจากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า ผลกระทบของ PM 2.5 ที่มีต่อสุขภาพของเรา ไม่ได้มีเฉพาะแค่ระบบทางเดินหายใจเท่านั้น แม้แต่ผิวหนังของเราเองก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ดังนั้น ในช่วงนี้ ถ้าจับหน้าจับตาตัวเองแล้วรู้สึกว่าผิวแห้งๆ หรือมีอาการคันก็ไม่ต้องแปลกใจนะครับ
ส่วน PM 2.5 เกิดจากอะไร ทำไมถึงมีผลกระทบกับผิวพรรณของเรา และทำอย่างไรเราถึงจะรับมือกับมันได้ ตามพี่หมอมาเลยครับ
มลพิษจาก PM (Particulate Matter)
Particulate Matter หรือ PM คืออนุภาคขนาดต่างๆ ที่มีหน่วยเป็นไมครอน (1ใน1,000ของมิลลิเมตร) ซึ่งล่องลอยอยู่ในอากาศ โดยมีทั้งแบบที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและแบบที่เล็กมากจนตาของเรามองไม่เห็น PM ที่มีขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน เช่น PM 2.5 จัดเป็นมลพิษที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ที่เป็น “อันตรายต่อสุขภาพมากที่สุด” เนื่องจากมีขนาดที่เล็กมาก (เล็กกว่าเส้นผมถึง 20 เท่า) ทำให้ระบบป้องกันในโพรงจมูกของเราไม่สามารถคัดกรองหรือดักจับเอาไว้ได้ จึงสามารถแทรกซึมเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ กระแสเลือด และกระบวนการทำงานของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายได้ทันที ที่สำคัญ PM 2.5 ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเรื้อรังและมะเร็งชนิดต่างๆตามคำเตือนขององค์การอนามัยโลกอีกด้วย
ซึ่งสารตั้งต้นของ PM 2.5 ก่อนที่จะรวมตัวกับไอน้ำและฝุ่นควัน ก็คือ ก๊าซพิษ อันได้แก่ ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (Carbon monoxide : CO) ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายของมนุษย์ทั้งสิ้น โดยสารพิษเหล่านี้จะทำตัวเสมือนสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวและกระตุ้นให้มีการหลั่งสารไซโตไคน์ (Cytokines) ออกมา ทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบ มีงานวิจัยจากเซี่ยงไฮ้และประเทศเม็กซิโกชี้ให้เห็นว่า มลพิษทางอากาศส่งผลให้สารต้านอนุมูลอิสระของผิวลดลงและภูมิต้านทานผิวหนังแย่ลง จึงทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น แพ้ง่าย และยังเป็นสิวได้ง่ายอีกด้วย
มลพิษจากควันรถ
มลพิษจากควันรถก็ถือเป็นมลพิษทางอากาศชนิดหนึ่งเหมือนกัน โดยมักมีส่วนประกอบของสารกลุ่ม Polycyclic Aromatic Hydrocarbons หรือ PAHs ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากกระบวนการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ รวมทั้งควันจากท่อไอเสียรถยนต์และควันบุหรี่ การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรม การกลั่นน้ำมันดิบ
โดยสารที่พบมากในควันรถ ก็คือ benzo[a]pyrene ซึ่งเมื่อเจอกับรังสี UVA ก็จะก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ที่สามารถทำลายเซลล์ผิวหนัง และก่อให้เกิดการอักเสบของผิว สิวและริ้วรอย นอกจากนี้ ยังกระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติได้อีกด้วย สาร PAHs มีความคงตัวในสภาพแวดล้อมได้นานหากไม่ถูกละอองน้ำ และมักจะอยู่รวมกับอนุภาคขนาดเล็กที่ล่องลอยในอากาศได้ อีกทั้งยังสามารถปนเปื้อนร่วมกับสารพิษอื่นโดยเฉพาะโลหะหนักหลายชนิด เช่น สารหนู แบเรียม แคดเมียม โครเมียม ตะกั่ว ปรอท นิกเกิล และสังกะสี
อ่านมาทั้งหมดแล้วก็อย่าเพิ่งวิตกกังวลมากจนเกินไปครับ ยังมีวิธีป้องกันผิวจากมลพิษทางอากาศอยู่หลายวิธี
· ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่จำเป็นต้องออกจากบ้าน หรือต้องผ่านที่โล่งแจ้ง โดยพี่หมอแนะนำให้ใส่หน้ากากชนิดที่เรียกว่า N95 จะดีที่สุด เพราะหน้ากากอนามัยทั่วไป (สีเขียวๆ ที่เราใช้กันอยู่บ่อยๆ) ไม่สามารถป้องกัน PM 2.5 ได้
· สำหรับคนที่ชอบออกกำลังกาย ในช่วงที่ฝุ่นเยอะแบบนี้ พี่หมอแนะนำให้เปลี่ยนเป็นทำที่บ้านหรือฟิตเนส แทนการวิ่งตามสวนสาธารณะหรือออกกำลังกายกลางแจ้งนะครับ โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคภูมิแพ้หรือมีปัญหาด้านทางเดินหายใจ
· ทาครีมบำรุงผิวที่ผสมสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี วิตามินอี แอสต้าแซนติน โคเอนไซม์คิวเท็น และที่สำคัญ อย่าลืมทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะตอนเช้าก่อนออกจากบ้าน เพราะแดดจะทำให้มลพิษทางอากาศทำงานได้ดีขึ้น การปกป้องผิวด้วยการทาครีมกันแดด จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เพราะจะช่วยลดความเสียหายที่จะเกิดกับผิวของเราได้ สำหรับประเทศไทย พี่หมอแนะนำให้เลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และ PA มากกว่า 3+
· รับประทานผักและผลไม้ที่มีสีสัน เช่น มะเขือเทศ แครอท บรอคโคลี่ แตงโม มะละกอ และมะม่วงสุก เพื่อเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระให้ร่างกายไว้ใช้ต่อสู้กับมลพิษทางอากาศ
· รับประทานอาหารเสริมที่มีสารสกัดต่างๆ เหล่านี้ เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด มลภาวะ และลดการอักเสบของผิว เช่น
· ไฮดร็อกซีไทโรซอล (Hydroxytyrosol) และ เวอร์บาสโคไซด์ (Verbascoside) ซึ่งสามารถพบได้จากใบและผลมะกอก
· แอสต้าแซนติน (Astaxanthin) จากสาหร่ายสีแดง (Haematococcus Pluvialis)
· สารสกัดจากเมล็ดองุ่นและเปลือกสน (Grape seed and Pine Bark Extract)
พี่หมอว่านอกจากจะต้องดูแลสุขภาพของตัวเองและคนรอบข้างแล้ว ถ้าอยากให้ปัญหามลพิษทางอากาศลดลง เราทุกคนก็ต้องร่วมด้วยช่วยกันในการแก้ไขและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เช่น ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวและหันมาใช้บริการขนส่งมวลชนแทน เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้มีมากขึ้น โดยอาจจะปลูกต้นไม้ที่ช่วยลดสารพิษในบริเวณรอบๆ บ้าน
ปัญหามลพิษทางอากาศ ไม่ใช่ภัยธรรมชาติ แต่เป็นผลที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ที่สะสมมาเป็นเวลานาน ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ที่ทุกคนจะต้องช่วยกันแก้ไข เพื่อให้ท้องฟ้าของประเทศไทยกลับมาสดใสและลูกหลานของเราได้มีอากาศที่บริสุทธิ์ไว้หายใจต่อไปครับ ❤ ❤ ❤