วันที่ศูนย์
https://ppantip.com/topic/39614924
วันที่ 2
https://ppantip.com/topic/39617425
วันที่1
เมื่อลงจากสถานี จะต้องผ่านช่องสแกนตั๋ว ปกติคนจีนจะใช้บัตรประชาชนสแกน ดังนั้นให้เดินไปหาเจ้าหน้าที่ ยื่นตั๋วพร้อมให้ดูหนังสือเดินทาง เจ้าหน้าที่จะเปิดประตูให้
เมื่อเดินออกมาพบว่าเราลงผิดสถานีจากที่ตั้งใจไว้ WORK IN!!! แล้ว(งานเข้า) ดูโลเคชั่นจากที่ Rocky ส่งให้ก็อยู่ไกลมาก ปรากฏว่าจางเจียเจี้ยจะมีรถไฟ2สถานีคือ Zhangjiajie South Railway Station และ Zhangjiajie West Railway Station( ในแอปจะบอกว่า Zhangjiajiexi) เราไม่ได้ดูละเอียดเลยพลาด ยืนงงกันสักพักนึงว่าจะไปต่อกันยังไง
หลังกลับไทยหาข้อมูลได้ความว่ารถไฟที่วิ่ง 6 ชั่วโมงจะไปลงที่ Zhangjiajie South แต่รถเราวิ่ง 3 ชั่วโมงจะไปลง Zhangjiajie West ดังนั้น ถ้าอยากลงใกล้ตัวเมืองนั่งรถไฟนานหน่อย แต่ถ้านั่งรถไฟไม่นานก็ลงไกลเมืองหน่อย
ยืนงงสักพักจะมีคนเดินมาถามจางเจียเจี้ย นั่นคือแท็กซี่ป้ายดำ เกือบจะไปแล้วเพราะไม่ได้แพงมากคนละไม่น่าเกิน20หยวนกับระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร พอตำรวจเดินมา แท๊กซี่ป้ายดำก็แตกกระจายไป พอถามเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ก็พูดอังกฤษไม่ได้ทำท่าทางบอกให้ไปตามป้ายบัสเข้าเมือง เราเดินไปตามป้ายเจอจุดจอดรถเมล์ หาคนถามยื่นภาพประตูสวรรค์เทียนเหมินให้ดู คนจีนเขียนบอกว่าว่าเลข17 เราเลยขึ้นรถเมล์สาย17 ค่ารถคนละ1หยวน พอเดินขึ้นรถเอาภาพประตูสวรรค์ให้ดูคนขับอีกทีก็ได้ พอถึงจุดที่จะต้องลงคนขับรถจะเดินมาเรียกเลยว่าให้ลงหรือถ้าดูแผนที่ไว้ก็กดกริ่งขอลงได้เลย ปรากฎว่าเราเอาภาพประตูสวรรค์ให้ดูคนขับนึกว่าเราขึ้นกระเช้าเลยมาจอดที่สถานีกระเช้าให้ ใช้เวลานั่งรถเมล์ประมาณ 30 นาที ซึ่งจุดลงรถยังไกลจากโรงแรมแต่ก็พอเดินได้
ทางเท้ายังไม่ค่อยดีเท่าไหร่สำหรับลากกระเป๋า เปิดแผนที่ไป่ตู้เดินหาโรงแรม เปิดประตูเข้าไปได้แต่ไม่เจอใครเลย ยืนไปยืนมาสักพักก็มีเสียงพูดจีนผ่านลำโพงมา เราฟังไม่ออก สุดท้ายRockyพูดฮัลโหล เราเลยตอบกลับไปว่า Are you Rocky? Rockyตอบกลับมาว่ารอ5นาที สักพัก Rocky ก็ลงมาพบเราเลยบอกขอฝากกระเป๋าไว้ก่อนตามที่วีแชตคุยกันไว้ก่อนหน้า
จากนั้นเราเดินออกจากโรงแรมไปยังสถานีรถบัสนั่งรถไปอู่หลิงหยวนก่อน เข้าโรงแรมแล้วค่อยหาอะไรกิน เดินตามแผนที่มาถึงสถานีรถบัสซึ่งอยู่ติดกับสถานี Zhangjiajie South เดินเข้าไปของซื้อตั๋วอู่หลิงหยวน เอาชื่อสถานที่ให้ดูหรือลองพูดภาษาอังกฤษก็ได้ บางที่เจ้าหน้าที่พอพูดได้ รับตั๋วมาค่ารถคนละ13หยวน เราต้องสแกนกระเป๋าก่อน ตอนนี้เราแบกเป้กันคนละใบเพื่อให้คล่องตัวที่สุดเพราะเพราะรถเมล์ระหว่างจางเจียเจี้ย-อู่หลิงหยวนจะเป็นรถขนาดเล็กไม่มีที่วางกระเป๋าเดินทาง
ประตูผ่านเข้าไปชานชาลาจะต้องเอาตั๋วมาแสกนตรงQR Code ก่อนถึงจะผ่านเข้าไปได้ เมื่อผ่านออกมายังชานชาลามองหาป้ายครับ จะมีป้ายอู่หลิงหยวนภาษาอังกฤษอยู่ เพื่อความชัวร์เอาตั๋วให้คนแถวนั้นหรือให้คนขับดูก่อนว่าเราขึ้นรถไม่ผิด ขึ้นไปนั่งได้เลยตั๋วไม่ระบุที่นั่ง
รถจะใช้เวลาวิ่งประมาณ30นาที โดยที่แวะจอดรับคนตามทางด้วย เมื่อขึ้นบนรถแล้วให้คาดเข็มขัดนิรภัยด้วยเพราะจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจบนรถก่อนที่รถจะเคลื่อนออกจากสถานี
เมื่อรถมาถึงอู่หลิงหยวนรถจะจอดตรงทางเข้าสถานี เราเปิดแผนที่เพื่อไปโรงแรมก่อน โดยโรงแรมเราจะอยู่ใกล้ทางเข้าอุทยานและอยู่ห่างจากสถานีรถบัสประมาณ1กิโล บรรยากาศก็ชุ่มฉ่ำทั้งเมืองเหมือนจางเจียเจี้ยเพราะน่าจะมีฝนตกไป หมอกลอยอยู่ตามเทือกเขาไม่สูงมากนัก พอถึงโรงแรมเราขึ้นไปชั้นสองเจอผู้หญิงคนของโรงแรมที่เราวีแชตไว้ก่อนหน้าว่าเราจะขอให้ซื้อตั๋วสะพานกระจกให้
แผนของเราคือวันนี้จะขึ้นสะพานกระจกก่อน แต่ทางโรงแรมซึ่งพูดภาษาอังกฤษดีมากให้ข้อมูลว่าเมื่อคืนมีหิมะตกบนอุทยาน อยากให้เที่ยวอุทยานวันนี้จะสวยกว่ามาก เราเลยตกลง ทางโรงแรมเสนอซื้อตั๋วให้หมด แบ่งเป็นค่าเข้าสะพานกระจกรวมแกรนด์แคนยอน219 หยวน ค่าเข้าอุทยานอู่หลิงหยวน 120 หยวน และยังเสนอค่าเข้าเทียนเหมินซานให้ด้วย แต่เราขอไปซื้อผ่าน Rockyดีกว่า ราคาก็ตรงตามที่หาข้อมูลมา
ตอนนี้ 09:00 ทางโรงแรมบอกว่าเช็คอินได้เลย เราเลยเข้าห้องก่อนเคลียร์กระเป๋า ต้มน้ำร้อนเติมในกระติก โรงแรมนี้ไม่มีน้ำเปล่าให้ เตรียมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เตรียมของใส่กระเป๋าไปนิดหน่อย พวกไม้เซลฟี่ กระติกน้ำ ทิชชู่ ทิชชู่เปียก แผ่นร้อน พาวเวอร์แบงค์ เมื่อพร้อมก็เดินออกจากโรงแรมซึ่งห่างจากทางเข้าอุทยานไม่กี่ร้อยเมตร
แต่เราเริ่มหิวแล้วเลยจะหาอะไรกินก่อน ระหว่างเดินไปอุทยานเจอร้านข้าวเปิดเราเลยเข้าสั่งข้าวมากิน ปกติแล้วเราจะมองหาร้านที่มีรูปอาหารและราคาบอก เจอร้านนี้มีครบทุกองค์ประกอบเลยเข้าไปนั่ง สั่งก๋วยเตี๋ยวมา2ชามและเกี๊ยวมาอีกจาน จานละ15 หยวน รวมแล้ว45หยวน ก็ตกประมาณ 189 บาท(เรตตอนแลกประมาณ4.2บาท/หยวน) เราตั้งงบอาหารไว้คนละ50หยวนต่อมื้อ(ก็ตีเกินๆไว้ก่อนให้เหลือ เผื่อบางมื้อเรากินแพงบ้าง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากอิ่มแล้วเราอยากกินกาแฟเพราะง่วงเนื่องจากแทบไม่ได้นอน เดินมาเกือบถึงทางเข้าเจอร้านกาแฟเลยกินกาแฟกันคนละแก้ว ราคากาแฟแพงกว่าข้าวอีกตกแก้วละ 20กับ28 หยวน(บ้านเราก็ประมาณนี้เนอะ กาแฟสดแพงกว่าอาหารตามสั่ง) เดินมาซื้อนมขนมปัง ไข่ต้ม ไส้กรอก ไว้อีกเพราะข้างบนมีของขายน้อยทางโรงแรมบอกมา อ่อก่อนออกมาทางโรงแรมได้เอาตั๋วเข้าอุทยานมาให้เรา ส่วนตั๋วสะพานกระจกกำลังดำเนินการให้และจะส่งเลขตั๋วมาให้ทางวีแชต
ตอนนี้11โมงแล้วเดินเข้าอุทยานก็มีสแกนตั๋ว สแกนกระเป๋า เส้นทางเที่ยวจะแบ่งตามหลักใหญ่ๆที่นิยมกันคือขึ้นกระเช้าแล้วลงลิฟต์กับขึ้นลิฟต์แล้วลงกระเช้า เราเลือกขึ้นกระเช้าแล้วลงลิฟต์ ค่ากระเช้าและค่าลิฟต์จะไม่รวมในค่าเข้าอุทยานต้องจ่ายต่างหาก แต่อย่างแรกเราต้องเดินไปขึ้นรถก่อน(รถนี้จะฟรีตลอด) ถามเจ้าหน้าที่ ทางเจ้าหน้าที่ก็ชี้ไปที่รถบัสขนาดเล็กสาย2 ขึ้นมาบนรถสักพักพอคนเริ่มเยอะรถก็ออกไปส่งยังที่หมาย จากนั้นซื้อตั๋วก่อนคนละ 72 หยวน เดินขึ้นไปด้านบนอีกพอสมควรกว่าจะได้ขึ้นกระเช้า ใช้เวลาไม่นานก็ขึ้นมาถึงด้านบน เดินออกมาพบกับความหนาวเลย พื้นเป็นน้ำแข็ง ต้นไม้ใบไม้มีน้ำแข็งเกาะและอุปสรรคที่สำคัญคือหมอก เราตื่นเต้นและถ่ายรูปกันอยู่พักนึงก็ต้องไปจุดอื่นต่อ โดยการขึ้นรถไปยังจุดถัดไป
จุดต่อมาจุดนี้มีรูปปั้นนายพลและอื่นๆที่อ่านมาก็เป็นวิวหุบเขา แต่ตอนนี้มองไปแค่ไม่เกิน30เมตรก็ไม่เห็นอะไรแล้ว เลยเดินไปเดินมาสักพักก็ตกลงไปจุดอื่นต่อดีกว่า
ที่อุทยานเรามีจุดที่ต้องมาเช็คอินกันคนละจุดคือ สะพานหนึ่งในใต้หล้าและวิวแท่งภูเขาฮาเลลูย่า เราเลยคิดกันว่าขึ้นทางกระเช้า แวะดูตามจุด ช่วงกลางไม่รู้มีอะไรแต่เราจะไม่แวะเพราะมองไม่เห็นอะไร จากนั้นข้ามไปทางสะพานหนึ่งในใต้หล้าและฮาเลลูย่าเลย จากนั้นจะลงลิฟต์แล้วไปลงตรงภาพเขียนสิบลี้จากนั้นจะตัดสินใจกันว่าจะเดินขึ้นแล้วนั่งรถลงหรือนั่งรถขึ้นแล้วเดินลงเพราะเหมือนระยะจะไม่ไกลมาก
ระหว่างจุดรอรถจะเป็นจุดที่เสียเวลาเพราะกว่ารถจะมารถจะออก บางครั้งรถก็ไม่จอด เราก็ไม่รู้ว่าขึ้นคันถูกหรือไม่ ยังไงเอาแผนที่ถามคนที่นั่นก่อนดีกว่า มีจุดหนึ่งตรงช่วงกลางๆอุทยานเราต้องลงเพื่อเปลี่ยนรถ รอรถอยู่ร่วม30นาทีได้ จากจุดนี้ไปรถจะขับผ่านถนนแคบๆและโค้งเยอะมากระวังหน่อยสำหรับคนเมารถ รถส่วนใหญ่จะเป็นรถบัสใหญ่ไม่เป็นรถบัสเล็กแล้ว จนกระทั่งเรามาถึงจุดเพื่อเดินไปยังลิฟต์ ซึ่งเราจะแวะเป้าหมายทั้งสองก่อน จากจุดนี้จะเจอลิงไปตลอดจนถึงลงลิฟต์และให้ระวังลิงไว้ด้วยทางโรงแรมบอกว่าลิงจะแย่งของในมือได้ถ้าเป็นของกิน มีช่วงหนึ่งเราเปิดเป้กะจะเอานมมากินรองท้องสังเกตได้ว่าลิงจ้องมาที่เป้รอให้เราหยิบของกินขึ้นมา เราเลยปิดเป้ไม่หยิบอะไรออกมากอีก
เราเดินหาสะพานอยู่นาน พอเดินออกไปตามป้ายมันก็ไม่เจอ เจอทางตันมีวนด้านบนและมีกุญแจมีผ้าสีแดงพันอยู่ ในใจคิดว่ามันต้องอยู่แถวนี้แหละ สุดท้ายเลยถามพนักงานตรงที่เป็นเหมือนศาลอะไรสักตรงที่มีผ้าสีแดงพันอยู่เยอะๆ เขาบอกว่าให้เดินออกไปทางโน้นแล้วจะเห็น เราก็นึกในใจอารมณ์บูดๆว่าเราไม่ใช่มาดูเราต้องการมาข้าม เพราะสะพานมันข้ามได้ แค่ดูไม่เอาหรอก แต่ก็ลองเดินตามคำแนะนำพอถึงจุดนั้นเราถึงบางอ้อว่าที่เดินวนไปวนมาอยู่3รอบนั้น เราเดินอยู่บนสะพานมาตลอดแต่ไม่รู้ตัว เพราะหมอกมันเยอะไปหมดจนมองไม่ออกว่าสะพานอยู่ไหน ถ่ายรูปน้อยเพราะหมอกเยอะจนเรามองอะไรไม่ค่อยเห็น เรายอมแพ้ต่อธรรมชาติที่อนุญาตให้เราเห็นได้แค่นี้ แต่แค่เห็นลางๆก็รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่และประหลาดตา เราเลยเดินไปยังจุดลงลิฟต์ ซื้อตั๋วก่อนคนละ65หยวน คนไม่เยอะรีบเข้าไปด้านในลิฟต์ก่อนเพราะด้านในจะเป็นด้านที่เห็นวิว แต่วิวจะมาแค่แป๊บเดียวประมาณ 15วินาทีแล้วจะเป็นการลงผ่านภูเขาไม่เห็นอะไรอีกเลย แต่เมื่อออกมาจากลิฟต์แล้วจะเห็นวิวจากด้านล่างแท่งเขา ซึ่งสวยมากพอจะทดแทนความผิดหวังจากวิวด้านบนไปได้เหมือนกัน ด้านล่างจะไม่ค่อยมีหมอก ถ่ายรูปกับวิวอลังการกันอยู่พักหนึ่งเราก็ต้องนั่งรถออกไปละ เวลานี้16:00 เราคิดว่าเย็นเกินไปหน่อยที่จะแวะภาพเขียน10ลี้ เลยเก็บไว้พรุ่งนี้ถ้าเราเสร็จจากสะพานกระจกได้เร็วเราจะกลับมาเก็บภาพเขียน10ลี้เพราะตั๋วเข้าอุทยานเข้าได้หลายวัน
นั่งรถกลับมาตรงทางเข้าอุทยานใช้เวลานานเหมือนกันประมาณ30นาทีได้ จากช่วงกลางมายังจุดลงลิฟต์ก็ใช้เวลาประมาณ30นาทีได้ เวลาเหมือนจะเยอะแต่ก็เสียเวลาไปกับการนั่งรถพอสมควร
เมื่อออกมาจากอุทยานเราตกลงจะไปถนนคนเดิน เลยแชตถามทางโรงแรม ทางโรงแรมบอกว่าขึ้นรถเมล์สาย1หน้าอุทยานได้เลย เราเลยขึ้นรถไป ค่ารถคนละ2หยวน ลงรถเดินตามแผนที่ไปก็เห็นเป็นย่านร้านค้า ตกแต่งสวยงามแต่ร้านไม่ค่อยเปิด
เราเดินมาแล้วไม่เห็นเหมือนกับริวิวที่ดูหรืออ่านมาเลย สรุปว่าช่วงโลซีซั่นร้านค้าปิดกันหมดเพราะทัวร์ก็น้อย คนมาเดินก็น้อย เราผิดหวังที่จะหาของกินเล่นเลยตกลงไปข้าวกินกัน สั่งข้าวผัดและเกี๊ยวน้ำ ราคาทั้งหมด 40 หยวน และเดินกลับว่าจะหาซุปเปอร์ซื้อของไว้กินตอนเช้า เราพกกาแฟมาจากเมืองไทยอยู่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราพบอะไรบางอย่างที่ซุปเปอร์ เท่าที่ดูมันคือ ซาลามานเดอร์แพ็คเป็นห่อเล็กๆพร้อมทาน
หลังแวะซื้อของไว้กินเป็นมื้อเช้าแล้วเรากะจะนั่งรถเมล์กลับปรากฎว่าหน้าหนาวรถจะวิ่งเที่ยวสุดท้าย18:30 ซึ่งตอนนี้19:00แล้ว แต่ยังมีแท๊กซี่วิ่งอยู่เยอะ
กลับมาถึงโรงแรมเราเข้าห้องนอน อาบน้ำ ห้องใหญ่เกินกำลังฮีตเตอร์ทำให้ในห้องยังหนาวอยู่ คืนนี้เราใส่ฮีทเทคนอน ตั้งนาฬิกาไว้ตื่น6โมงเช้า เพราะกะจะออกจากโรงแรมตอน8โมง เพราะถามทางโรงแรมแล้วว่า สะพานกระจกเปิด8:30 ไปเร็วกว่านั้นก็ไม่มีประโยชน์ ให้เอาหนังสือเดินทางไปยื่นที่ช่องขายตั๋วได้เลย
ตำแหน่งพิกัดวันนี้อยู่ในคอมเมนต์
หมอกไม่จาง.......ที่จางเจียเจี้ย วันที่1
วันที่ 2 https://ppantip.com/topic/39617425
วันที่1
เมื่อลงจากสถานี จะต้องผ่านช่องสแกนตั๋ว ปกติคนจีนจะใช้บัตรประชาชนสแกน ดังนั้นให้เดินไปหาเจ้าหน้าที่ ยื่นตั๋วพร้อมให้ดูหนังสือเดินทาง เจ้าหน้าที่จะเปิดประตูให้
เมื่อเดินออกมาพบว่าเราลงผิดสถานีจากที่ตั้งใจไว้ WORK IN!!! แล้ว(งานเข้า) ดูโลเคชั่นจากที่ Rocky ส่งให้ก็อยู่ไกลมาก ปรากฏว่าจางเจียเจี้ยจะมีรถไฟ2สถานีคือ Zhangjiajie South Railway Station และ Zhangjiajie West Railway Station( ในแอปจะบอกว่า Zhangjiajiexi) เราไม่ได้ดูละเอียดเลยพลาด ยืนงงกันสักพักนึงว่าจะไปต่อกันยังไง
หลังกลับไทยหาข้อมูลได้ความว่ารถไฟที่วิ่ง 6 ชั่วโมงจะไปลงที่ Zhangjiajie South แต่รถเราวิ่ง 3 ชั่วโมงจะไปลง Zhangjiajie West ดังนั้น ถ้าอยากลงใกล้ตัวเมืองนั่งรถไฟนานหน่อย แต่ถ้านั่งรถไฟไม่นานก็ลงไกลเมืองหน่อย
ยืนงงสักพักจะมีคนเดินมาถามจางเจียเจี้ย นั่นคือแท็กซี่ป้ายดำ เกือบจะไปแล้วเพราะไม่ได้แพงมากคนละไม่น่าเกิน20หยวนกับระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร พอตำรวจเดินมา แท๊กซี่ป้ายดำก็แตกกระจายไป พอถามเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ก็พูดอังกฤษไม่ได้ทำท่าทางบอกให้ไปตามป้ายบัสเข้าเมือง เราเดินไปตามป้ายเจอจุดจอดรถเมล์ หาคนถามยื่นภาพประตูสวรรค์เทียนเหมินให้ดู คนจีนเขียนบอกว่าว่าเลข17 เราเลยขึ้นรถเมล์สาย17 ค่ารถคนละ1หยวน พอเดินขึ้นรถเอาภาพประตูสวรรค์ให้ดูคนขับอีกทีก็ได้ พอถึงจุดที่จะต้องลงคนขับรถจะเดินมาเรียกเลยว่าให้ลงหรือถ้าดูแผนที่ไว้ก็กดกริ่งขอลงได้เลย ปรากฎว่าเราเอาภาพประตูสวรรค์ให้ดูคนขับนึกว่าเราขึ้นกระเช้าเลยมาจอดที่สถานีกระเช้าให้ ใช้เวลานั่งรถเมล์ประมาณ 30 นาที ซึ่งจุดลงรถยังไกลจากโรงแรมแต่ก็พอเดินได้
ทางเท้ายังไม่ค่อยดีเท่าไหร่สำหรับลากกระเป๋า เปิดแผนที่ไป่ตู้เดินหาโรงแรม เปิดประตูเข้าไปได้แต่ไม่เจอใครเลย ยืนไปยืนมาสักพักก็มีเสียงพูดจีนผ่านลำโพงมา เราฟังไม่ออก สุดท้ายRockyพูดฮัลโหล เราเลยตอบกลับไปว่า Are you Rocky? Rockyตอบกลับมาว่ารอ5นาที สักพัก Rocky ก็ลงมาพบเราเลยบอกขอฝากกระเป๋าไว้ก่อนตามที่วีแชตคุยกันไว้ก่อนหน้า
จากนั้นเราเดินออกจากโรงแรมไปยังสถานีรถบัสนั่งรถไปอู่หลิงหยวนก่อน เข้าโรงแรมแล้วค่อยหาอะไรกิน เดินตามแผนที่มาถึงสถานีรถบัสซึ่งอยู่ติดกับสถานี Zhangjiajie South เดินเข้าไปของซื้อตั๋วอู่หลิงหยวน เอาชื่อสถานที่ให้ดูหรือลองพูดภาษาอังกฤษก็ได้ บางที่เจ้าหน้าที่พอพูดได้ รับตั๋วมาค่ารถคนละ13หยวน เราต้องสแกนกระเป๋าก่อน ตอนนี้เราแบกเป้กันคนละใบเพื่อให้คล่องตัวที่สุดเพราะเพราะรถเมล์ระหว่างจางเจียเจี้ย-อู่หลิงหยวนจะเป็นรถขนาดเล็กไม่มีที่วางกระเป๋าเดินทาง
ประตูผ่านเข้าไปชานชาลาจะต้องเอาตั๋วมาแสกนตรงQR Code ก่อนถึงจะผ่านเข้าไปได้ เมื่อผ่านออกมายังชานชาลามองหาป้ายครับ จะมีป้ายอู่หลิงหยวนภาษาอังกฤษอยู่ เพื่อความชัวร์เอาตั๋วให้คนแถวนั้นหรือให้คนขับดูก่อนว่าเราขึ้นรถไม่ผิด ขึ้นไปนั่งได้เลยตั๋วไม่ระบุที่นั่ง
รถจะใช้เวลาวิ่งประมาณ30นาที โดยที่แวะจอดรับคนตามทางด้วย เมื่อขึ้นบนรถแล้วให้คาดเข็มขัดนิรภัยด้วยเพราะจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจบนรถก่อนที่รถจะเคลื่อนออกจากสถานี
เมื่อรถมาถึงอู่หลิงหยวนรถจะจอดตรงทางเข้าสถานี เราเปิดแผนที่เพื่อไปโรงแรมก่อน โดยโรงแรมเราจะอยู่ใกล้ทางเข้าอุทยานและอยู่ห่างจากสถานีรถบัสประมาณ1กิโล บรรยากาศก็ชุ่มฉ่ำทั้งเมืองเหมือนจางเจียเจี้ยเพราะน่าจะมีฝนตกไป หมอกลอยอยู่ตามเทือกเขาไม่สูงมากนัก พอถึงโรงแรมเราขึ้นไปชั้นสองเจอผู้หญิงคนของโรงแรมที่เราวีแชตไว้ก่อนหน้าว่าเราจะขอให้ซื้อตั๋วสะพานกระจกให้
แผนของเราคือวันนี้จะขึ้นสะพานกระจกก่อน แต่ทางโรงแรมซึ่งพูดภาษาอังกฤษดีมากให้ข้อมูลว่าเมื่อคืนมีหิมะตกบนอุทยาน อยากให้เที่ยวอุทยานวันนี้จะสวยกว่ามาก เราเลยตกลง ทางโรงแรมเสนอซื้อตั๋วให้หมด แบ่งเป็นค่าเข้าสะพานกระจกรวมแกรนด์แคนยอน219 หยวน ค่าเข้าอุทยานอู่หลิงหยวน 120 หยวน และยังเสนอค่าเข้าเทียนเหมินซานให้ด้วย แต่เราขอไปซื้อผ่าน Rockyดีกว่า ราคาก็ตรงตามที่หาข้อมูลมา
ตอนนี้ 09:00 ทางโรงแรมบอกว่าเช็คอินได้เลย เราเลยเข้าห้องก่อนเคลียร์กระเป๋า ต้มน้ำร้อนเติมในกระติก โรงแรมนี้ไม่มีน้ำเปล่าให้ เตรียมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เตรียมของใส่กระเป๋าไปนิดหน่อย พวกไม้เซลฟี่ กระติกน้ำ ทิชชู่ ทิชชู่เปียก แผ่นร้อน พาวเวอร์แบงค์ เมื่อพร้อมก็เดินออกจากโรงแรมซึ่งห่างจากทางเข้าอุทยานไม่กี่ร้อยเมตร
แต่เราเริ่มหิวแล้วเลยจะหาอะไรกินก่อน ระหว่างเดินไปอุทยานเจอร้านข้าวเปิดเราเลยเข้าสั่งข้าวมากิน ปกติแล้วเราจะมองหาร้านที่มีรูปอาหารและราคาบอก เจอร้านนี้มีครบทุกองค์ประกอบเลยเข้าไปนั่ง สั่งก๋วยเตี๋ยวมา2ชามและเกี๊ยวมาอีกจาน จานละ15 หยวน รวมแล้ว45หยวน ก็ตกประมาณ 189 บาท(เรตตอนแลกประมาณ4.2บาท/หยวน) เราตั้งงบอาหารไว้คนละ50หยวนต่อมื้อ(ก็ตีเกินๆไว้ก่อนให้เหลือ เผื่อบางมื้อเรากินแพงบ้าง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากอิ่มแล้วเราอยากกินกาแฟเพราะง่วงเนื่องจากแทบไม่ได้นอน เดินมาเกือบถึงทางเข้าเจอร้านกาแฟเลยกินกาแฟกันคนละแก้ว ราคากาแฟแพงกว่าข้าวอีกตกแก้วละ 20กับ28 หยวน(บ้านเราก็ประมาณนี้เนอะ กาแฟสดแพงกว่าอาหารตามสั่ง) เดินมาซื้อนมขนมปัง ไข่ต้ม ไส้กรอก ไว้อีกเพราะข้างบนมีของขายน้อยทางโรงแรมบอกมา อ่อก่อนออกมาทางโรงแรมได้เอาตั๋วเข้าอุทยานมาให้เรา ส่วนตั๋วสะพานกระจกกำลังดำเนินการให้และจะส่งเลขตั๋วมาให้ทางวีแชต
ตอนนี้11โมงแล้วเดินเข้าอุทยานก็มีสแกนตั๋ว สแกนกระเป๋า เส้นทางเที่ยวจะแบ่งตามหลักใหญ่ๆที่นิยมกันคือขึ้นกระเช้าแล้วลงลิฟต์กับขึ้นลิฟต์แล้วลงกระเช้า เราเลือกขึ้นกระเช้าแล้วลงลิฟต์ ค่ากระเช้าและค่าลิฟต์จะไม่รวมในค่าเข้าอุทยานต้องจ่ายต่างหาก แต่อย่างแรกเราต้องเดินไปขึ้นรถก่อน(รถนี้จะฟรีตลอด) ถามเจ้าหน้าที่ ทางเจ้าหน้าที่ก็ชี้ไปที่รถบัสขนาดเล็กสาย2 ขึ้นมาบนรถสักพักพอคนเริ่มเยอะรถก็ออกไปส่งยังที่หมาย จากนั้นซื้อตั๋วก่อนคนละ 72 หยวน เดินขึ้นไปด้านบนอีกพอสมควรกว่าจะได้ขึ้นกระเช้า ใช้เวลาไม่นานก็ขึ้นมาถึงด้านบน เดินออกมาพบกับความหนาวเลย พื้นเป็นน้ำแข็ง ต้นไม้ใบไม้มีน้ำแข็งเกาะและอุปสรรคที่สำคัญคือหมอก เราตื่นเต้นและถ่ายรูปกันอยู่พักนึงก็ต้องไปจุดอื่นต่อ โดยการขึ้นรถไปยังจุดถัดไป
จุดต่อมาจุดนี้มีรูปปั้นนายพลและอื่นๆที่อ่านมาก็เป็นวิวหุบเขา แต่ตอนนี้มองไปแค่ไม่เกิน30เมตรก็ไม่เห็นอะไรแล้ว เลยเดินไปเดินมาสักพักก็ตกลงไปจุดอื่นต่อดีกว่า
ที่อุทยานเรามีจุดที่ต้องมาเช็คอินกันคนละจุดคือ สะพานหนึ่งในใต้หล้าและวิวแท่งภูเขาฮาเลลูย่า เราเลยคิดกันว่าขึ้นทางกระเช้า แวะดูตามจุด ช่วงกลางไม่รู้มีอะไรแต่เราจะไม่แวะเพราะมองไม่เห็นอะไร จากนั้นข้ามไปทางสะพานหนึ่งในใต้หล้าและฮาเลลูย่าเลย จากนั้นจะลงลิฟต์แล้วไปลงตรงภาพเขียนสิบลี้จากนั้นจะตัดสินใจกันว่าจะเดินขึ้นแล้วนั่งรถลงหรือนั่งรถขึ้นแล้วเดินลงเพราะเหมือนระยะจะไม่ไกลมาก
ระหว่างจุดรอรถจะเป็นจุดที่เสียเวลาเพราะกว่ารถจะมารถจะออก บางครั้งรถก็ไม่จอด เราก็ไม่รู้ว่าขึ้นคันถูกหรือไม่ ยังไงเอาแผนที่ถามคนที่นั่นก่อนดีกว่า มีจุดหนึ่งตรงช่วงกลางๆอุทยานเราต้องลงเพื่อเปลี่ยนรถ รอรถอยู่ร่วม30นาทีได้ จากจุดนี้ไปรถจะขับผ่านถนนแคบๆและโค้งเยอะมากระวังหน่อยสำหรับคนเมารถ รถส่วนใหญ่จะเป็นรถบัสใหญ่ไม่เป็นรถบัสเล็กแล้ว จนกระทั่งเรามาถึงจุดเพื่อเดินไปยังลิฟต์ ซึ่งเราจะแวะเป้าหมายทั้งสองก่อน จากจุดนี้จะเจอลิงไปตลอดจนถึงลงลิฟต์และให้ระวังลิงไว้ด้วยทางโรงแรมบอกว่าลิงจะแย่งของในมือได้ถ้าเป็นของกิน มีช่วงหนึ่งเราเปิดเป้กะจะเอานมมากินรองท้องสังเกตได้ว่าลิงจ้องมาที่เป้รอให้เราหยิบของกินขึ้นมา เราเลยปิดเป้ไม่หยิบอะไรออกมากอีก
เราเดินหาสะพานอยู่นาน พอเดินออกไปตามป้ายมันก็ไม่เจอ เจอทางตันมีวนด้านบนและมีกุญแจมีผ้าสีแดงพันอยู่ ในใจคิดว่ามันต้องอยู่แถวนี้แหละ สุดท้ายเลยถามพนักงานตรงที่เป็นเหมือนศาลอะไรสักตรงที่มีผ้าสีแดงพันอยู่เยอะๆ เขาบอกว่าให้เดินออกไปทางโน้นแล้วจะเห็น เราก็นึกในใจอารมณ์บูดๆว่าเราไม่ใช่มาดูเราต้องการมาข้าม เพราะสะพานมันข้ามได้ แค่ดูไม่เอาหรอก แต่ก็ลองเดินตามคำแนะนำพอถึงจุดนั้นเราถึงบางอ้อว่าที่เดินวนไปวนมาอยู่3รอบนั้น เราเดินอยู่บนสะพานมาตลอดแต่ไม่รู้ตัว เพราะหมอกมันเยอะไปหมดจนมองไม่ออกว่าสะพานอยู่ไหน ถ่ายรูปน้อยเพราะหมอกเยอะจนเรามองอะไรไม่ค่อยเห็น เรายอมแพ้ต่อธรรมชาติที่อนุญาตให้เราเห็นได้แค่นี้ แต่แค่เห็นลางๆก็รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่และประหลาดตา เราเลยเดินไปยังจุดลงลิฟต์ ซื้อตั๋วก่อนคนละ65หยวน คนไม่เยอะรีบเข้าไปด้านในลิฟต์ก่อนเพราะด้านในจะเป็นด้านที่เห็นวิว แต่วิวจะมาแค่แป๊บเดียวประมาณ 15วินาทีแล้วจะเป็นการลงผ่านภูเขาไม่เห็นอะไรอีกเลย แต่เมื่อออกมาจากลิฟต์แล้วจะเห็นวิวจากด้านล่างแท่งเขา ซึ่งสวยมากพอจะทดแทนความผิดหวังจากวิวด้านบนไปได้เหมือนกัน ด้านล่างจะไม่ค่อยมีหมอก ถ่ายรูปกับวิวอลังการกันอยู่พักหนึ่งเราก็ต้องนั่งรถออกไปละ เวลานี้16:00 เราคิดว่าเย็นเกินไปหน่อยที่จะแวะภาพเขียน10ลี้ เลยเก็บไว้พรุ่งนี้ถ้าเราเสร็จจากสะพานกระจกได้เร็วเราจะกลับมาเก็บภาพเขียน10ลี้เพราะตั๋วเข้าอุทยานเข้าได้หลายวัน
นั่งรถกลับมาตรงทางเข้าอุทยานใช้เวลานานเหมือนกันประมาณ30นาทีได้ จากช่วงกลางมายังจุดลงลิฟต์ก็ใช้เวลาประมาณ30นาทีได้ เวลาเหมือนจะเยอะแต่ก็เสียเวลาไปกับการนั่งรถพอสมควร
เมื่อออกมาจากอุทยานเราตกลงจะไปถนนคนเดิน เลยแชตถามทางโรงแรม ทางโรงแรมบอกว่าขึ้นรถเมล์สาย1หน้าอุทยานได้เลย เราเลยขึ้นรถไป ค่ารถคนละ2หยวน ลงรถเดินตามแผนที่ไปก็เห็นเป็นย่านร้านค้า ตกแต่งสวยงามแต่ร้านไม่ค่อยเปิด
เราเดินมาแล้วไม่เห็นเหมือนกับริวิวที่ดูหรืออ่านมาเลย สรุปว่าช่วงโลซีซั่นร้านค้าปิดกันหมดเพราะทัวร์ก็น้อย คนมาเดินก็น้อย เราผิดหวังที่จะหาของกินเล่นเลยตกลงไปข้าวกินกัน สั่งข้าวผัดและเกี๊ยวน้ำ ราคาทั้งหมด 40 หยวน และเดินกลับว่าจะหาซุปเปอร์ซื้อของไว้กินตอนเช้า เราพกกาแฟมาจากเมืองไทยอยู่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราพบอะไรบางอย่างที่ซุปเปอร์ เท่าที่ดูมันคือ ซาลามานเดอร์แพ็คเป็นห่อเล็กๆพร้อมทาน
หลังแวะซื้อของไว้กินเป็นมื้อเช้าแล้วเรากะจะนั่งรถเมล์กลับปรากฎว่าหน้าหนาวรถจะวิ่งเที่ยวสุดท้าย18:30 ซึ่งตอนนี้19:00แล้ว แต่ยังมีแท๊กซี่วิ่งอยู่เยอะ
กลับมาถึงโรงแรมเราเข้าห้องนอน อาบน้ำ ห้องใหญ่เกินกำลังฮีตเตอร์ทำให้ในห้องยังหนาวอยู่ คืนนี้เราใส่ฮีทเทคนอน ตั้งนาฬิกาไว้ตื่น6โมงเช้า เพราะกะจะออกจากโรงแรมตอน8โมง เพราะถามทางโรงแรมแล้วว่า สะพานกระจกเปิด8:30 ไปเร็วกว่านั้นก็ไม่มีประโยชน์ ให้เอาหนังสือเดินทางไปยื่นที่ช่องขายตั๋วได้เลย
ตำแหน่งพิกัดวันนี้อยู่ในคอมเมนต์