"จิตใต้สำนึก" กับ "วิชชาธรรมกาย"


"วิชชาธรรมกาย" นี้ ถูกต้องตามหลักสติปัฎฐาน ๔ ที่ว่าไว้ว่า "กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม"

สอดคล้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ยกตัวอย่างทฤษฎีของ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) นักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงในทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ที่ว่าไว้ว่า จิตมนุษย์เราเหมือนก้อนน้ำแข็งส่วนที่ลอยน้ำที่มีอยู่เพียง ๗% คือ "จิตสำนึก" หรือ "Conscious" และน้ำแข็งส่วนที่จมซ่อนอยู่ใต้น้ำที่มีมากถึง ๙๓% นั้น เรียกว่า "จิตใต้สำนึก" หรือ "Subconscious" ซึ่งเป็นแหล่งของปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ โดยจิตใต้สำนึกนี้แหละ คือ "กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม" หรือ "๑๘ กาย"


วิชชาธรรมกายสามารถอธิบายได้ว่า "ปัญญามาจากไหน และจะเข้าถึงได้อย่างไร ?"

หลวงพ่อสดได้อธิบายไว้ว่า กายของเรานี้มีซ้อนลงไปมากถึง ๑๘ กาย เป็นกายหลัก และแต่ละกายหลักยังมีกายละเอียดซ้อนลงไปอีกมากมายนับไม่ถ้วน เป็นกายในกาย แล้วในแต่ละกายของกายในกายต่างมีจิต มีเวทนา มีธรรม ซ้อนลงไปเป็นชั้นๆๆ เข้าหลักที่ว่า "จิตมนุษย์นี้ยากแท้หยั่งถึง" เพราะอะไร เพราะมันซับซ้อนอย่างนี้


ถ้าพูดอย่างนักจิตวิทยาก็คือการขุดลึกลงไปในจิตใต้สำนึกนั่นเอง โดยความรู้ทางวิทยาศาสตร์รู้เพียงแค่ว่า มีจิตใต้สำนึกเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่า ในจิตใต้สำนึกนี้ มีลักษณะเป็นอย่างไร ทำงานอย่างไร เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอย่างไร ฯลฯ

และ "วิชชาธรรมกาย" นั้น ไม่มีถอดกายไปเที่ยว นอกจากกรณี "ตาย" หรือเข้าพระนิพพานถอดกายด้วย "พระธรรมกาย" เท่านั้น

เวลาผู้เข้าถึง "ธรรมกาย" จะไปตรวจดูภพภูมิต่างๆ เราดำเนินตามคล้ายๆ กับ "วิสุทธิมรรค" คือ พระธรรมกายเข้าฌาณเป็นพื้นฐาน น้อมเอาภพภูมิต่างๆ มาเป็นกสิณที่ศูนย์กลางกาย แล้วก็เข้าไปตรวจภพภูมินั้นๆ ได้

เราจะใช้ "ญาณทัศนะ" ในภูมิของกายในระดับต่างๆ ไปตรวจดูภพภูมิต่างๆ ให้สมภูมิ เช่น ตรวจดูภพสาม ก็ใช้ญาณของกายในภพสามเป็นพื้นไปตรวจดู หากใช้ภูมิของ "ญาณพระธรรมกาย" มากไป อาจจะเห็นใสสว่างไปหมด เพราะญาณพระธรรมกายนั้นละเอียดเกินไปที่จะตรวจดูของที่หยาบๆ กว่าได้

หรือจะใช้ญาณพระธรรมกายเป็นหลักในการตรวจดูภพภูมิก็ได้ เช่น เวลาไปนรก เพราะพระธรรมกายมีอานุภาพมากถึงขนาดทำให้ไฟนรกดับได้ชั่วคราวในช่วงบริเวณนั้น ยิ่งเวลาไปตรวจดู "อเวจีมหานรก" หรือ "โลกันตนรก" ต้องใช้ญาณทัศนะ "ระดับธรรมกาย" เท่านั้น

พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) เทศนาไว้ว่า ผู้ที่เข้าถึงธรรมกายแล้ว สามารถฝันได้ทั้งตื่น ยืน เดิน นั่ง นอน ฝันไปได้ทั่วโลก ทุกๆ ที่ ไปนิพพานก็ได้ แต่การไปที่ถูก "ต้องหยุด" ไม่ใช่การจินตนาการไป หลวงพ่อสดท่านเรียกว่า "ฝันในฝัน"

ดังนั้น ถ้าใครอยากเที่ยวทั่วโลกหรือทั่วจักรวาลแบบไม่ต้องเสียเงินเลย ก็ต้อง "นั่งสมาธิ"


กายในกาย ที่ซ้อนลงไปนี้ ต่างก็มีจิตใจเป็นของตัวเอง อาทิ วิชชาธรรมกายของหลวงพ่อสดอธิบายไว้ว่า ในกายมนุษย์ซ้อนลงไปก็คือ กายมนุษย์ละเอียด (กายฝัน) ซึ่งกายฝันนี้ก็คือ "จิตใต้สำนึก" โดยกายฝันนี้ รูปร่างหน้าตาก็เหมือนคนคนนั้น แต่มีจิตใจ เวทนา และธรรม เป็นเอกเทศเป็นของตนเอง พูดง่ายๆ ก็คือ มีความคิดเป็นของตนเอง

ท่านเคยเป็นไหมว่า เวลาท่านนอนหลับและฝัน ท่านฝันว่าท่านกำลังนอนและฝันลึกลงไปอีก ท่านเคยสังเกตบ้างไหม นี่คือ "ความเป็นเอกเทศที่เป็นเอกภาพ" ของกายและใจของเรา แล้วในกายฝันก็ยังมีกายซ้อนลงไปอีกมากมาย

โดยหลังจากที่กายมนุษย์ได้หลับแล้ว กายมนุษย์ละเอียด (กายฝัน) จะทำหน้าที่ ให้เราตรึกระลึกอย่างนี้ คือ ระหว่างที่เรามีอาการเคลิ้มกำลังจะหลับนั้น เราจะรู้สึกว่าตัวเราเริ่มเบาและสบาย นั่นหมายความว่าเริ่มปล่อยวางใจ เราจะสังเกตได้ว่าการที่เราปล่อยวางใจ กายจะเบาและตัวก็เบา กายและตัวเราเบาตอนไหน มันเบาตอนที่เรามีอาการเคลิ้มและกำลังจะหลับ พอเคลิ้มหนักเข้าๆ เราก็แทบจะไม่รู้ตัว มือ เท้า ก็แทบจะจำไม่ได้ แทบจำไม่ได้ว่าเรานอนตะแคง นอนหงาย หรือนอนคว่ำ จนในที่สุดแล้วเราก็หลับไป ช่วงที่เรากำลังจะหลับนั้น เหมือนวูบเดียว ความจดความจำทั้งหมดจะหายไปในวูบหนึ่งที่เรียกว่าการเข้าไปสู่การหลับ เมื่อหลับแล้วกายมนุษย์นี้ก็จะขาดความรู้สึก อายตนะ ๖ ภายนอก ก็จะถูกหยุด เช่นยุงมากัดเราก็จะไม่รู้ตัว เสียงทีวี เสียงวิทยุที่เราเปิดไว้เราก็ไม่ได้ยิน ตาก็มองไม่เห็น และอายตนะ ๖ ภายในก็เกิดขึ้นคือ กายฝัน (กายมนุษย์ละเอียด) เพราะฉะนั้นกายฝันทำหน้าที่ฝัน และถ้าเกิดคนเคยฝันก็จะรู้ว่าความฝันนั้นบางครั้งเรากลัว บางครั้งเราดีใจ บางครั้งเราเศร้าใจ เสียใจถึงขนาดร้องไห้ซะจนตื่นก็ยังมี หรือกลัวตกใจสุดก็มี นั่นคือกายฝันที่ทำหน้าที่ เมื่อเรานอนพอแล้วเราจะค่อยๆ รู้สึกตัวกลับมา ครั้งแรกที่เรารู้สึกตัวนั้น เราจะรู้สึกตัวไม่ทั้งตัว แล้วเราจะรู้สึกตัวมากขึ้นเป็นลำดับ จนในที่สุดเราจะลืมตาได้

และใน "เวลาฝัน" กายมนุษย์ละเอียดจะออกไปในที่ต่างๆ อันนี้บางทีอาจทำให้สงสัยได้ว่า ถ้ากายออกไปเสียแล้ว มิเป็นการถอดกายหรือ ? และเหตุใดกายมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของจึงยังไม่ตาย ? ข้อนี้เป็นเพราะอายตนะที่ละเอียดระหว่างกายมนุษย์หยาบกับกายมนุษย์ละเอียดยังเนื่องกันอยู่ มิได้ขาดออกจากกัน ฉะนั้นไม่ว่ากายมนุษย์ละเอียดจะไปยังที่ใด ก็สามารถกลับคืนมาสู่กายมนุษย์หยาบได้รวดเร็วเช่นเดียวกับการที่เราส่งใจคิดไปในที่ต่างๆ นั่นเอง

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่มีศาสตร์ใดๆ ในโลกนี้สามารถอธิบายได้นอกจาก "วิชชาธรรมกายของพระพุทธศาสนา"

โปรดตรองดูว่า ที่ท่านฝึกและเรียนรู้ขณะนี้ เป็นการเรียนรู้แค่กายมนุษย์เท่านั้นหรือไม่ ? กายฝัน และกายละเอียดลึกๆ ลงไปอีกมากมายภายในตัวท่าน ท่านเคยฝึกให้หรือเปล่า ? ท่านฝึกเจริญสติให้กับกายของท่าน แล้วกายละเอียดของท่าน ท่านเคยฝึกให้หรือเปล่า นี่ ! มันละเอียดปราณีตอย่างนี้

**************************

ความสุขที่แท้จริงของเราคือการหาความสงบสุข โดยการเข้าหาตัวเองจากภายในเพียงเท่านั้น หากได้พบเจอเข้าแล้ว เราจะไม่อยากแสวงหาสิ่งที่เป็นปัจจัยภายนอก เพราะมันไม่มีแต่แรก หากเราสะสมจากภายนอกมาตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน กว่าจะเข้าใจภายในตัวเรา เราก็ต้องผจญภัยกันมามาก

หากอยากหยุดวงจรที่เจอมา ก็กลับมาอยู่ภายในจิตเรา ซึ่งภายในนั้นจะมี "ห้องสมุดจักรวาล" ที่มีองค์ความรู้ต่างๆ มากมาย ที่จะนำพาเราไปสู่ความหลุดพ้น ในสิ่งที่เราแสวงหามาทั้งชีวิต

"คำตอบทั้งหลายรอเราอยู่"


วันที่ "เจ้าชายสิทธัตถะ" ได้ตรัสรู้ธรรมนั้น พระองค์ไม่ได้เดินทางไปค้นพบสัจธรรมที่ไหนเลย เพียงแต่นั่งหลับตาอยู่กับตัวเอง ด้วยการดำเนินจิตเข้าไปสู่ในกลางของกลางดวงจิตที่เรียกว่า “ทางสายกลาง” หรือ “มัชฌิมาปฏิปทา" จนบรรลุ "กายธรรมอรหัตผล" เป็นสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่