เก็บตกจากสงครามในอดีต

ผลการวิจัยพบทหารอเมริกันมีพยาธิใบไม้ในตับจากเวียดนาม



เอพีรายงานว่าทหารผ่านศึกสงครามเวียดนามหลายคนเสียชีวิตจากภัยเงียบ หลังจากมีผลการวิจัยออกมาว่าทหารผ่านศึกหลายคนติดเชื้อพยาธิระหว่างการสู้รบในเวียดนาม

ผลจากการศึกษาของกรมกิจการทหารผ่านศึกของสหรัฐศึกษานำร่องเพื่อหาการเชื่อมโยงระหว่างโรคพยาธิใบไม้ตับที่เหล่าทหารผ่านศึกต้องกินปลาดิบระหว่างการออกรบและโรคมะเร็งท่อน้ำดี ซึ่งสองโรคดังกล่าวใช้เวลากว่าหลายสิบปีกว่าจะแสดงอาการ และเมื่อมีอาการ ผู้ป่วยจะเจ็บปวดอย่างรุนแรงจนเสียชีวิตในที่สุด
ทางผู้เชี่ยวชาญที่ร่วมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล นายซุง แตฮอง ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเขตร้อนระบุว่าได้นำตัวอย่างเลือด 50 ตัวอย่าง พบว่ามีมากกว่าร้อยละ 20 ที่ตอบสนองต่อสารต้านโรคพยาธิใบไม้ตับ สอดคล้องกับนายคริสโตเฟอร์ กู๊ดแมน โฆษกจากศูนย์การแพทย์นอร์ธพอร์ต ที่ยืนยันว่ามีการนำตัวอย่างไปทดสอบที่ศูนย์วิจัยในนิวยอร์ก และได้รับแจ้งว่าผลทดสอบเป็นบวก   โรคดังกล่าวพบได้ยากในกลุ่มคนชาวอเมริกัน ถึงแม้ว่าจะมีประชากรราวกว่า 25 ล้านคนทั่วโรคที่ต้องป่วยเป็นโรคดังกล่าวก็ตาม

บรรดานายทหารที่เสียชีวิตด้วยโรคพยาธิใบไม้ในดับ และมะเร็งถุงน้ำดี (AP Photo)


รัฐบาลสหรัฐโพสต์ข้อความในเว็บไซต์ว่าให้ทหารผ่านศึกที่เคยกินปลาน้ำจืดดิบ หรือไม่ผ่านการปรุง ครั้งไปทำศึกในเวียดนามอาจเสี่ยงต่อการเป็นโรค
หลายคนไม่ได้รับการช่วยเหลือจากกรมกิจการทหารผ่านศึก อย่างนายไมก์ บาวจ์แมน วัย 65 ปี ที่เพิ่งจะได้รับเงินช่วยเหลือหลังจากถูกกรมกิจการทหารผ่านศึกปฏิเสธการช่วยเหลือตั้งสามหน กระทั่งแพทย์ออกหนังสือยืนยันว่าตนเป็นโรคมะเร็งท่อน้ำดี และยอมรับว่าในช่วงที่สงคราม ตนและเพื่อนทหารทั้งกองร้อยต้องยอมกินปลาดิบ เนื่องจากเจอปัญหาทางเสบียงระหว่างอยู่ในป่าดิบ

ทั้งนี้ มีการแพร่ระบาดอย่างหนักของพยาธิใบไม้ในแม่น้ำของเวียดนาม ซึ่งโรคนี้รักษาให้หายโดยการกินยาแต่เนิ่นๆ ได้ แต่หากปล่อยไว้นานเป็นหลายสิบปีพยาธิก็จะเข้าไปทำร้ายถุงน้ำดี จนพัฒนาไปสู่การเป็นมะเร็งได้
นอกจากนี้ผู้ที่ติดเชื้อยังมีโอกาสที่จะเป็นโรคดีซ่าน คันตามผิวหนัง น้ำหนักลดลงอย่างน่าตกใจ รวมไปถึงมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ เข้ามาในช่วงระยะสุดท้าย
Cr.https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_648891



จากสนามรบสู่ฝันร้ายของพระเอกสงคราม ‘ออดี เมอร์ฟีย์’


ชีวิตของร้อยโทออดี เมอร์ฟีย์-ซึ่งเกิดในเมืองคิงสตัน รัฐเท็กซัส เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 1924-แทบไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ครอบครัวของเขายากจน พ่อเป็นคนไม่เอาถ่าน ที่ทิ้งเมียและลูกๆ ให้ตกระกำลำบาก เมอร์ฟีย์มีโอกาสได้เรียนหนังสือเพียงแค่ห้าปี หลังจากนั้นเขาต้องออกมาทำงานหาเงิน กระทั่งแม่ของเขาเสียชีวิตในปี 1941 ถึงตอนนั้นเขาก็เลือกทางเดินชีวิตเอง เมอร์ฟีย์สมัครเข้าเป็นทหาร และจริงจังกับมัน

‘อ่อนโยนและถ่อมตน’ เป็นคำอธิบายตัวตนของเขาจากปากนายทหารคนสนิท แต่เมื่อใดที่เขาจับไรเฟิลหรือปืนปลายดาบ เมอร์ฟีย์จะเปลี่ยนไปเป็นอีกคน และเมื่อใดที่เขาร่วมภารกิจในสนามรบ ศัตรูของเขาจะรับรู้ได้ถึงความบ้าระห่ำของเขาด้วยตัวเอง อย่างเช่นปฏิบัติการรบบนเกาะซิซิลีเมื่อปี 1943 ซึ่งทหารอเมริกันสามารถเคลื่อนพลเอาชนะศัตรูตั้งแต่ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปจนจรดทิศเหนือของอิตาลี หนึ่งในกองรบครั้งนั้นมีออดี เมอร์ฟีย์ร่วมอยู่ด้วย
หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองยุติลง ออดี เมอร์ฟีย์เดินทางกลับสหรัฐอเมริกาพร้อมชื่อเสียงและหน้าตา ในเดือนมิถุนายน 1945 มีผู้คนนับแสนรอรับขวัญเขาและเหล่าทหารผ่านศึกคนอื่นๆ ที่เมืองซาน อันโตนิโอของรัฐเท็กซัส เมอร์ฟีย์ได้รับเหรียญรางวัลเหรียญแล้วเหรียญเล่า นิตยสารไลฟ์นำภาพเขาขึ้นปกในฤดูร้อนปี 1945 ในฐานะวีรบุรุษชาวอเมริกันผู้มีไหวพริบ และในเวลาต่อมาฮอลลีวูดก็ส่งเทียบเชิญเขาเข้าสู่วงการ

ไม่นานจากนั้น ออดี เมอร์ฟีย์ก็สามารถแจ้งเกิดได้ในปี 1949 กับผลงานภาพยนตร์เรื่อง Bad Boy เขาประสบความสำเร็จกับบทบาทพระเอกคาวบอย
มีหนังสือ To Hell and Back  เล่าเรื่องราวจากความทรงจำเกี่ยวกับสงครามของเมอร์ฟีย์ และในปี 1955 มันถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ ชื่อเรื่องเดียวกัน แน่นอนว่าออดี เมอร์ฟีย์ได้เล่นบทนำ

แต่ผลของสงครามกลายเป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนเขาทุกคืน ท้องของเขาปั่นป่วน ร่างกายสั่นเทา ไม่ต่างอะไรกับสถานการณ์คับขันในสงคราม
ถึงแม้จะมีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในฐานะนักแสดงหนังสงครามและคาวบอย ก็ไม่ได้ทำให้เมอร์ฟีย์รู้สึกเป็นสุข ชีวิตคู่ครั้งแรกของเขาอับปางลงอย่างรวดเร็ว เมอร์ฟีย์ผลาญเงินหมดไปกับพนันม้า โปกเกอร์ และทอดลูกเต๋า เขาปล่อยเนื้อปล่อยตัว แต่ความจริงแล้วปัญหาเดียวที่เขามีคือ ฝันร้ายจากสงคราม ที่คอยตามหลอกหลอนเขาไม่มีที่สิ้นสุด

ภาพยนตร์แนวคาวบอยเรื่องสุดท้ายของเมอร์ฟีย์เมื่อปี 1969 คือ A Time for Dying ชื่อเรื่องฟังคล้ายเป็นลาง เพราะแค่สองปีถัดมา วันที่ 29 พฤษภาคม 1971 ระหว่างที่เขาเดินทางไปพบปะทำธุรกิจ เครื่องบินที่เขาโดยสารไปประสบอุบัติชนภูเขา
อ้างอิง:
https://www.historynet.com/audie-murphy-one-man-stand-at-holtzwihr.htm
https://www.filmbesprechungen.de/genres/krimi/audie-murphy-eine-bio-und-filmografie/
Gregor Hauser, Mündungsfeuer: Die 50 besten B-Western der 50er Jahre und ihre Stars, Verlag Reinhard Marheinecke (2015)
Cr.https://themomentum.co/something-between-audie-murphy/ โดย บุญโชค พานิชศิลป์



สวรรค์ของหมาแมว…กลางสนามรบในอเลปโป



เมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในซีเรีย ประเทศที่ได้รับความเสียหายจากสงคราม ที่ได้มีการสร้าง “สวรรค์แมวของเออร์เนสโต” เพื่อให้เป็นที่หลบภัยจากกระสุนปืนและอาวุธต่างๆ สำหรับเหล่าสัตว์เลี้ยง ทั้งแมวและสุนัข โดยสถานที่แห่งนี้ได้เปิดมา 2-3 ปีแล้ว โดยโมฮัมหมัด อลาห์ อัล-จาลีล ชายวัย 43 ปี คนขับรถพยาบาลที่มีนิสัยชอบช่วยเหลือแมวตั้งแต่เล็ก

หลังจากเกิดสงครามขึ้นในปี 2011 ผู้คนก็ได้เดินทางหลบหนีออกไปจากเมือง และมีคนจำนวนมากที่จำต้องทิ้งสัตว์เลี้ยงไว้ที่นี่ จาลีลจึงเก็บแมวและสุนัขจรจัดที่เขาพบมาเลี้ยง เป็นจำนวนกว่า 170 ตัว และค่อยๆ สร้างสถานที่พักพิงให้กับพวกมัน โดยได้รับเงินและความช่วยเหลือจากบรรดาผู้รักสัตว์คนอื่น ๆ

โชคร้ายที่ในปี 2016 แหล่งพักพิงแห่งนี้ถูกโจมตี จนมีสุนัขและแมวตายไปเป็นจำนวนมาก แต่ด้วยการระดมเงินทุนจากทางอินเตอร์เน็ตทำให้แหล่งหลบภัยนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง และปัจจุบันที่นี่ก็เป็นบ้านของสัตว์เลี้ยงจำนวนกว่า 20 ตัว
นอกจากให้ทั้งที่พักและอาหารแล้ว ที่นี่ก็ยังมียา อุปกรณ์ทางการแพทย์ และหมอที่ทำหน้าที่รักษาดูแลสัตว์ที่น่าสงสารเหล่านี้อีกด้วย 
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก China Xinhua News
Cr.https://www.matichonacademy.com/content/journal/article_15776



สัตว์สตาฟจากสวนสัตว์กาซ่า
 
 


ภาพของเหล่าสัตว์ป่าน้อยใหญ่ที่อยู่ในสภาพมัมมี่ในสวนสัตว์ Khan Younis zoo ในพื้นที่ฉนวนกาซ่า ได้เผยให้เห็นการจากไปอย่างน่าอนาถใจของพวกมัน ซึ่งการสูญเสียครั้งนี้ก็เป็นหนึ่งในผลพวงของสงครามระหว่างรัฐปาเลสไตน์และประเทศอิสราเอล

ย้อนกลับไปในปี 2007 นาย Mohammed Awaida ได้ลงทุนกว่าหลายล้านเหรียญในการเปิดสวนสัตว์แห่งนี้ แต่หลังจากนั้นเพียง 1 ปี เม็ดเงินที่เขาลงทุนไปก็กลับสูญสลายไปอย่างน่าเสียดาย  ตลอดระยะเวลา 3 สัปดาห์ของการโจมตีรัฐบาล Hamas ของอิสราเอล Awadida เล่าว่าเขาไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่สวนสัตว์ของตัวเองได้เลย และนั่นจึงเป็นเหตุให้พวกมันต้องอดตายอย่างน่าเศร้า
 
และนอกจากนี้ในปี 2014 ประวัติศาสตร์ก็กลับมาซ้ำรอยอีกครั้ง หลังจากที่เกิดการสู้รบกันในฉนวนกาซ่า ซึ่งเป็นเหตุให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตมากถึง 1,960 คน และสัตว์กว่า 80 ตัวของสวนสัตว์ Al-Bisan zoo ในพื้นที่ Beit Lahia ต้องตายไป
แต่เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองของที่นี่ และไม่มีการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการคุ้มครองสัตว์ในพื้นที่นี้ ทำให้สวนสัตว์ Khan Younis zoo นั้นเต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด 
ภาพถ่ายเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เผยให้เห็นซากของพวกสัตว์ที่ตายหลังจากการเกิดสงคราม

หลังจากที่สงครามสงบลง Awaida ได้เริ่มใช้ทักษะในการสตาฟสัตว์ของเขา เพื่อเก็บรักษาร่างของพวกสัตว์ที่ตายระหว่างช่วงสงครามเอาไว้ ซึ่งซากสัตว์เหล่านั้นก็ได้แก่ สิงโต เสือ ลิง และจระเข้ที่ตายแล้ว   ชายหนุ่มได้ใช้สารฟอร์มาลดีไฮด์และขี้เลื่อยเป็นวัตถุดิบหลักในการเก็บรักษาซากสัตว์เหล่านั้น ซึ่งสวนสัตว์ในพื้นที่ฉนวนกาซ่าหลายแห่งเองก็ได้เลือกวิธีการจัดแสดงสัตว์สตาฟเหล่านี้แทนการใช้สัตว์จริงๆ เนื่องจากความไม่สงบของสงครามนั่นเอง

แต่อย่างไรก็ตามด็อกเตอร์ Amir Khalil จากองค์กร Four Paws ซึ่งเป็นองค์กรสวัสดิภาพสัตว์ระหว่างประเทศ คอยช่วยเหลือสัตว์ต่างๆ ในสวนสัตว์สามแห่งในกาซ่า รวมถึงสวนสัตว์ Khan Younis ได้ออกมากล่าวว่าทางองค์กรได้มีการจัดอาหารและสัตวแพทย์เพื่อเข้าดูแลสัตว์จำนวน 40 ตัวที่ Khan Younis พร้อมกับบอกว่าที่นี่ไม่เหมาะจะเป็นสวนสัตว์และมีการจัดการที่ไม่ดีเท่าไหร่
ขอบคุณข้อมูลจาก สาระดีเว็บ
ที่มา Cr:my.chakeaw
Cr. http://www.sarakdeeweb.com/2017/10/blog-post_392.html

ชุบชีวิตภาพหนังเงียบขาวดำที่ถูกถ่ายขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 


ภาพหนังเงียบขาวดำที่ถูกถ่ายขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ถูกนำมาบูรณะให้กลายเป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยชีวิตและสีสันอีกครั้งโดยฝีมือของ ปีเตอร์ แจ็คสัน ผู้กำกับชาวนิวซีแลนด์เจ้าของรางวัลออสการ์จากหนังมหากาพย์ Lord of the Rings

They Shall Not Grow Old เป็นหนังสารคดีความยาว 90 นาที ที่เป็นการนำเอาภาพหนังเก่าแก่อายุเกือบ 100 ปีจากพิพิธภัณฑ์สงคราม Imperial War Museum มารวมกับบทสัมภาษณ์ต้นฉบับดั้งเดิมของเหล่าทหารที่เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 และลงโรงฉายทั่วสหราชอาณาจักรไปเมื่อวันที่ 16 ต.ค.2018 เพื่อร่วมรำลึกวาระครบรอบ 100 ปี การสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 1

แจ็คสัน บอกว่า เขาสนใจเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 1 มาโดยตลอด เพราะปู่ของเขาเคยเป็นทหารที่ร่วมรบในสงครามครั้งนี้ และการทำหนังสารคดีเรื่องนี้ก็เป็นการทำโดยไม่มีค่าตอบแทน ถือเป็นการทำงานด้วยพลังแห่งความรักจากเขา ซึ่งได้รับฟังเรื่องราวที่พ่อเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับวีรกรรมของปู่มาตั้งแต่เด็ก

สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 28 ก.ค.1914 - 11 พ.ย. 1918 สงครามนี้เป็นผลให้มีทหารและพลเรือนเสียชีวิต บาดเจ็บและสูญหาย รวมกันไม่ต่ำกว่า 40 ล้านคน โดยยอดผู้เสียชีวิตคาดว่าอยู่ที่ 15-19 ล้านคน และบาดเจ็บราว 23 ล้านคน นับเป็นหนึ่งในความขัดแย้งที่ทำให้มีผู้บาดเจ็บ สูญหาย และล้มตายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
Cr.https://www.bbc.com/thai/features-45834000 โดย BBC NEWS ไทย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่