เมื่อไม่นานมานี้ เพิ่งรู้ว่า "การรู้เท่าทันตนเอง" นั้น สำคัญมาก จากที่มีบางท่านสอบถามว่า นานเท่าไหร่ถึงไปหาหมอ ต้องบอกว่าไม่นานเลยถ้าเทียบกับหลายๆท่านที่ได้ทราบมา บางท่านไม่ยอมรับตนเองว่าป่วย บางท่านไม่อยากไปพบจิตแพทย์ จนเวลาล่วงเลยไปนาน อาการทรุดหนักถึงได้ไปพบหมออย่างจำใจ ซึ่งมีผลต่อความยากง่ายในการรักษามาก สำหรับดิฉัน ต้องบอกก่อนว่าตั้งแต่เด็กเลยคือ จะสวดมนต์ และใส่บาตรหน้าบ้านเป็นประจำ เนื่องด้วย คุณทวด คุณตา คุณยาย มักจะทำบุญ ไหว้พระ ไปวัด เสมอๆ และการทำสมาธิเป็นสิ่งที่ได้ทำโดยปริยาย หลักของสมาธิคือ การดูกาย ดูใจ ด้วยพื้นฐานนี้ ทำให้ดิฉันรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตนเองได้อย่างรวดเร็ว แต่ตอนนั้นก็เด็กมากๆ 18-19 ปี การทำสมาธิภาวนาไม่ได้เชี่ยวชาญใดๆ เพียงแค่รับรู้ได้ถึงความแปลกไปของตนเอง ซึ่งจริงๆแล้ว ตอนที่ป่วย แทบละทิ้งการสวดมนต์ สมาธิ ไปเลยก็ว่าได้ แต่เมื่อดิฉันดำดิ่งกับการป่วย ไม่เชื่อว่าอะไรจะทำให้หายป่วยได้ เชื่อเพียงว่าสารเคมีในสมองไม่สมดุล การเข้าวัดทำบุญ สวดมนต์ใดๆ ไม่เกี่ยวหรอก ไม่ได้ผล แน่นอน มันไม่มีอะไรได้ผลหรอก ถ้าเราเชื่อว่าไม่ได้ จุดเปลี่ยนคือ ดิฉันเปลี่ยนความเชื่อ ว่าดิฉันต้องรักษาหาย สารเคมีในสมองหรือจะมาสู้ใจของดิฉัน ดิฉันกลับมาศึกษาธรรมะ สวดมนต์ ภาวนาอย่างถูกหลัก ทุกๆท่าน ดิฉันอยากบอกว่า เมื่อใดเรารู้ว่าเราทุกข์ รู้ว่าดีใจ เสียใจ มีสติแล้ว ต่อให้ต้องดีเพรสซึมเศร้า มันก็ไม่สามารถลากคนอย่างเราๆ ให้ไปนอนเป็นผักต่อไปได้ เพราะ อารมณ์มาแล้วก็ไป ค่ะ เพื่อนๆ ดิฉันคอนเฟิร์ม หลังจากนั้น ดิฉันเริ่มจะหัวเราะดังๆทุกเช้าอย่างตั้งใจให้ตัวเองได้หัวเราะ เพื่อให้สารเคมีดีๆหลั่งออกมา เชื่อหรือไม่ หลังจากหัวเราะอย่างบ้าคลั่งเอง แล้วเราจะอารมณ์ดีมากๆ ลงไปพบเพื่อนข้างล่างตึก ทุกคนทักว่าสดใสมาก ทั้งๆเมือ่เช้านี้ ตื่นมาแล้วดื่งมาก เหล่านี้ ล้วนเป็นเครื่องยืนยันว่า "ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ใจถึงก่อน ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ" จริงๆค่ะ ไม่ลองไม่รู้ค่ะ ขอให้หัวเราะดังๆทุกๆเช้ากันนะคะ ฝันดีค่ะ (โมเร)
12 ปี ผ่านไป และแล้ววันนี้ก็มาถึง ไบโพลาร์ หายจากชีวิตแล้ว 3