ศาสนาพุทธ กับ ศาสนาจักรวาล cosmic religion (ควอนตัม)

ควอนตัมคือ ความเป็นคู่ที่ใช่และไม่ใช่ความเป็นคู่ในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน—-> สิ่งเดียวกันใช่และไม่ใช่สิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน—->เวลาเดียวกันใช่และไม่ใช่เวลาเดียวกันในเวลาเดียวกัน และมีสมการสี่สมการคือ ใช่คือใช่ ไม่ใช่คือไม่ใช่ ใช่คือไม่ใช่และไม่ใช่คือใช่ ซึ่งทั้งหมดจะคงอยู่/ดำรงอยู่ตลอดไป แต่เป็นการคงอยู่/ดำรงอยู่ที่มีความแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ยกตัวอย่างเช่น ศาสนาพุทธ กับ ศาสนาจักรวาลcosmic religion ศาสนาในศตวรรษที่ 21 ที่มีทั้งความเหมือนและความแตกต่างกันทั้งทางด้านแนวทางการใช้ชีวิต วิธีคิด รู้สึกและปฏิบัติ

ศาสนาพุทธเหมาะสำหรับผู้ออกบวช ในขณะที่ศาสนาจักรวาลเหมาะสำหรับบุคคลทั่วไป

ศาสนาพุทธเป็นการค้นพบทางสายกลางที่อยู่ภายในและภายนอกความคิด-ความรู้สึก โดยมุ่งเน้นใช้ปัญญาและหลักทฤษฎีที่ว่าด้วยความสมดุลในการแก้ปัญหา โดยการไม่ยึดติดทั้งสองทางในขณะที่ศาสนาจักรวาลเป็นการค้นพบทางสายกลางที่อยู่ภายในและภายนอกความรู้สึก-ความคิด และความคิด-ความรู้สึก โดยมุ่งเน้นใช้ปัญญา (ความคิด) และไม่ใช้ปัญญา (ใช้ความรู้สึก) และใช้หลักทฤษฎีที่ว่าด้วยสถานะความสมดุลและไม่สมดุล สภาวะกึ่งสมดุลกึ่งไม่สมดุล (ความสมดุลคือความสมดุล  ความไม่สมดุลคือความไม่สมดุล ความสมดุลคือความไม่สมดุล และความไม่สมดุลคือความสมดุล)ในการแก้ปัญหา โดยการยึดติดและไม่ยึดติดทั้งสองทาง

ความคิด-ความรู้สึก และความรู้สึก-ความคิด เป็นสิ่งที่แยกออกอย่างชัดเจนตามขนาดและปริมาณของเซลล์สมองและเซลล์ประสาทที่มีไม่เท่ากันภายในสมองทั้งสามส่วนและตามอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย แต่ภายใต้ความชัดเจนก็มีความไม่ชัดเจนที่ทำงานอยู่ภายใน-ภายนอก และอยู่ระหว่างตัวของความคิดและความรู้สึกเอง

ศาสนาพุทธเป็นการเข้าถึงธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ โดยไม่ใช้ความเป็นวิทยาศาสตร์ในการละทิ้งความรัก โลก โกรธ หลง ในขณะที่ศาสนาจักรวาลเป็นการเข้าถึงธรรมชาติของความเป็นมนุษย์และไม่ใช่ความเป็นมนุษย์ (พลังงาน) โดยใช้และไม่ใช้ความเป็นวิทยาศาสตร์ในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกันในการทำความเข้าใจกับความรัก โลก โกรธ หลง (แรงโน้มถ่วงและแรงดึงดูด + แรงไทดัล + ขั้วบวกขั้วลบ) โดยอัลเบิร์ด ไอน์สไตน์กล่าวว่า แรงโน้มถ่วงเป็นแรงที่ตกอย่างอิสระ แต่ในระดับควอนตัมแรงโน้มถ่วงเป็นแรงที่ตกอย่างอิสระและไม่ได้ตกอย่างอิสระ การวัดค่าแรงโน้มถ่วงสามารถวัดได้สองทางคือ ความคิดและความรู้สึก ซึ่งค่าที่ได้จะเป็นค่าแรงโน้มถ่วงที่มีผลต่อการสร้างและทำลายเหมือนกัน แต่เป็นการสร้างและทำลายที่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ศาสนาพุทธใช้หลักจริยธรรมและหลักสัจจธรรมเป็นทางเดินเข้าสู่การใช้ชีวิต ในขณะที่ศาสนาจักรวาลเป็นการใช้ส่วนที่แสดงและไม่แสดงอยู่ใน DNA and RNA + ส่วนที่แสดงและไม่แสดงอยู่ในสมองทั้งสามส่วนของแต่ละคนเป็นทางเดินเข้าสู่การใช้ชีวิต ในทางวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ธรรมชาติไม่มีอยู่ และไม่มีค่าที่แน่นอน แต่ในระดับควอนตัม ธรรมชาติคือ สิ่งที่มีอยู่และไม่มีอยู่ ไม่มีอยู่และมีอยู่ และมีค่าที่ไม่แน่นอนและแน่นอน แน่นอนและไม่แน่นอนในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน —-> สิ่งเดียวกันใช่และไม่ใช่สิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน—->ในเวลาเดียวกันใช่และไม่ใช่เวลาเดียวกันในเวลาเดียวกัน

ศาสนาพุทธสอนว่าให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน ในขณะที่ศาสนาจักรวาล ปัจจุบันจะมีสถานะมีอยู่และไม่มีอยู่ และมีสภาวะกึ่งมีอยู่กึ่งไม่มีอยู่ อดีตและอนาคตก็เช่นกัน ถ้าหากเราไม่นำพาความคิดและความรู้สึกของเราเข้าไปสังเกตและรับรู้ถึงการมีอยู่ของปัจจุบัน ปัจจุบันก็จะเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่สำหรับเรา การมองเห็นไม่ได้ทำให้เรามองเห็นจนกว่าเราจะนำพาความคิดและความรู้สึกของเราเข้าไปสังเกตและรับรู้ถึงการมองเห็น ดังนั้นการมองเห็นจะแยกออกเป็นสองส่วนคือ ส่วนที่สามารถเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติและไม่สามารถเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน —-> สิ่งเดียวกันใช่และไม่ใช่สิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน—->ในเวลาเดียวกันใช่และไม่ใช่เวลาเดียวกันในเวลาเดียวกัน ในทุกๆเหตุการณ์ที่เราพบเจอณ.เวลาปัจจุบันจะมีทั้งส่วนที่แสดงออกและไม่แสดงออก (ซ้อนทับและพัวพันอยู่) อยู่สองส่วนคือ 1. ส่วนที่แสดงออกที่หมายถึง ปัจจุบัน และส่วนที่ไม่แสดงออก (ซ้อนทับและพัวพันอยู่) คือ House and cage ถ้าหากเราจัดให้ปัจจุบันแสดงความเป็น House เราก็จะได้ความเป็น House ซึ่งจะเท่ากับเป็นการนำเอาอนาคตมาไว้ในปัจจุบันในทันที (ปัจจุบัน-อนาคต) แต่ถ้าหากเราจัดให้ปัจจุบันแสดงความเป็น cage เราก็จะได้ความเป็น cage ซึ่งจะเท่ากับเป็นการนำเอาอดีตมาไว้ในปัจจุบันในทันที (ปัจจุบัน-อดีต) 2. ส่วนที่ไม่แสดงออก (ซ้อนทับและพัวพันอยู่) หมายถึง สถานะอดีตและอนาคต และสภาวะกึ่งอดีตกึ่งอนาคต ที่ซ้อนทับและพัวพันอยู่ในปัจจุบัน ถ้าหากเราจัดให้ส่วนที่ไม่แสดงออก (ซ้อนทับและพัวพันอยู่) แสดงความเป็นอดีต เราก็จะได้ความเป็น อดีต ซึ่งจะทำให้ปัจจุบันของเราก็จะเปลี่ยนไปทันที แต่ถ้าหากเราจัดให้ส่วนที่ไม่แสดงออก (ซ้อนทับและพัวพันอยู่) แสดงความเป็น อนาคต เราก็จะได้ความเป็น อนาคตซึ่งจะทำให้ปัจจุบันของเราก็จะเปลี่ยนไปทันทีเช่นกัน ซึ่งคำว่า “จัด” ทั้งสองข้อจะหมายถึง การจัดการความคิด-ความรู้สึก และความรู้สึก-ความคิด ของเราเอง เมื่อเราสามารถจัดการกับความคิด-ความรู้สึก และความรู้สึก-ความคิด ของเราได้ ภาพสะท้อนที่เกิดจากความคิด-ความรู้สึก และความรู้สึก-ความคิด ก็จะเปลี่ยนไปทันทีโดยอัตโนมัติ

ศาสนาพุทธมีความเชื่อเกี่ยวกับสวรรค์ นรก บาปบุญคุณโทษ เวรกรรม และการเวียนว่ายตายเกิด หรือเราเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมเก่า ในขณะที่ศาสนาจักรวาลจะเป็นการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้และเปลี่ยนความรู้เป็นการรู้ ความรู้ไม่มีที่สิ้นสุด แต่การรู้มีเพียงหนึ่งเดียว เราเกิดมาเพื่อเปลี่ยนแปลง DNA and RNA ของเราเองซึ่งการเปลี่ยนแปลง DNA and RNA ของเราจะทำให้ DNA and RNA ของโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที คำว่า“ทันที” จะหมายถึง ทันทีและไม่ทันทีในสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกัน ซึ่งหมายถึงความเป็นพลังงาน ข้อมูล และสสาร ที่สามารถเปลี่ยนรูปกลับไปกลับมาได้ แต่การสื่อสารระหว่างความเป็นพลังงาน ข้อมูล และสสาร เพื่อทำให้พลังงาน ข้อมูล และสสารเกิดการเปลี่ยนรูปจะมีข้อจำกัดภายในตัวของความเป็นพลังงาน ข้อมูล และสสาร เอง ซึ่งข้อจำกัดดังกล่าวสามารถทำให้หมดไปได้ด้วยการนำพาตัวเราเองเข้าไปเป็นตัวเชื่อมและเป็นสะพานในการยกระดับและขยายขอบเขตการเป็นตัวเชื่อมไปสู่การเป็นตัวนำยิ่งยวด (การรู้) ด้วยตัวของเราเองความละเอียดของข้อมูลจะแยกออกเป็นสองส่วนคือ ส่วนที่โลกสามารถรับรู้ได้ กับ ส่วนที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้เมื่อมีการรับรู้ก็จะเกิดมีการสะท้อนกลับของการรับรู้ และการสะท้อนกลับของการรับรู้จะดีหรือร้ายก็ขึ้นอยู่กับต้นกำเนิดที่เป็นตัวสร้างการรับรู้

พระพุทธเจ้าทรงกำหนดหลักทางสายกลางไว้อย่างชัดเจน คือ อริยมรรค มีองค์ 8 เมื่อย่นย่อแล้ว เรียก"ไตรสิกขา" ได้แก่ ศิล สมาธิ ปัญญา ในขณะที่ศาสนาจักรวาลจะใช้ความมีที่สิ้นสุดและไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งมีกระบวนการทำงานผ่านความเป็น 2in1 และ 1in2, 4in1 และ 1in4, 8in1 และ 1ini8 หรือ ธรรมชาติของความคิด-ความรู้สึก และความรู้สึก-ความคิด เมื่อมีการเคลื่อนที่ของความคิดจะส่งผลให้เกิดความรู้สึก และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความรู้สึกจะส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดด้วย แต่ในทางกลับกันเมื่อมีการเคลื่อนที่ของความรู้สึกอาจไม่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิด ถ้าหากเราต้องการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิด เราจำเป็นต้องเปลี่ยนความรู้สึกที่มีอยู่ให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ และนำสิ่งที่ไม่มีอยู่(มีอยู่ในอนาคต) มาทำให้เป็นความรู้สึกในปัจจุบัน และนำความรู้สึกในปัจจุบันไปยกระดับและขยายกรอบความคิด

#change
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่