ความสำเร็จอย่างงดงามของ Bad Boys for Life ทำให้แฟนๆ Bad Boys ที่รอคอยกันมานานปีผ่านการเลื่อนหลายครั้งได้สมหวังและมีความสุขกับการได้ดูหนังสนุกๆสมกับที่เฝ้ารอ และก็ทำให้ Sony คืนชีพอีกหนึ่งแฟรนไชส์ฮิตมาไว้ในครอบครองได้สำเร็จ นับเป็นผลจากความเพียรพยายามของ Sony ที่ไม่ได้มีจักรวาลหนังอยู่ในมือล้นเหลือเหมือน Disney, Warner Bros. และ Universal แต่ Sony ก็เพียรพยายามเจียระไนเพชรของตัวเองขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับสตูดิโอทั้งสาม ทั้งสร้างสรรค์ขึ้นใหม่และขุดหาจากทรัพย์สินเก่าของตนเอง ซึ่งผลจากความพยายามในช่วง 3 ปีมานี้ ทำให้ Sony พุ่งขึ้นมากลายเป็นสตูดิโอหัวแถวเคียงบ่าเคียงไหล่กับยักษ์ใหญ่อื่นๆได้ แม้ว่าบางเรื่องจะล้มเหลวไปแต่บางเรื่องก็ประสบความสำเร็จอย่างล้นเหลือทำให้ Sony มองเห็นอนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้า
ภาพยนตร์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาของ Sony มีอะไรบ้างและทำผลงานกันเป็นไรมาลองย้อนเวลาไปดูกัน
Underworld: Blood Wars
วันที่ออกฉาย: 6 Jan 2017
ทุนสร้าง: 35 ล้านเหรียญ
รายได้: 81.1 ล้านเหรียญ
ผลลัพธ์: เสมอตัว
ความพยายามในการนำ Underworld กลับมาในโลกภาพยนตร์พร้อมกับนางเอกคนเดิม Kate Beckinsale แต่ดูเหมือนว่าเรื่องราวของสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ในมุมมืดทั้งสองจะล้าสมัยเกินไปเสียแล้ว แม้หนังจะเท่าทุนจากการฉายโรงและอาจได้กำไรบ้างจาก Home Entertainment แต่ก็ดูเหมือนว่าจะได้เวลาที่ Sony จะพักเรื่องราวของแฟรนไชส์ไว้เพียงเท่านี้ก่อน
Resident Evil: The Final Chapter
วันที่ออกฉาย: 27 Jan 2017
ทุนสร้าง: 40 ล้านเหรียญ
รายได้: 312.2 ล้านเหรียญ
ผลลัพธ์: กำไรกว่า 60 ล้านเหรียญ พิสูจน์ความนิยมของ RE ในตลาดโลกและชี้ให้เห็นถึงความตกต่ำในอเมริกาเหนือ
แม้นักวิจารณ์จะสับ Resident Evil เละขนาดไหน แต่ RE ยังคงครองใจแฟนๆในตลาดโลกได้เสมอ สำหรับ The Final Chapter ซึ่งเป็นภาคที่ 6 ก็ยังทำสถิติรายได้สูงสุดในแฟรนไชส์อีกด้วย ด้วยกำไรกว่า 60 ล้าน RE ยังสามารถเดินหน้าทำเงินให้ Sony ต่อไปได้อีกสบายๆแต่ปัญหาก็คือรายได้ในบ้าน 26.8 ล้านที่ต่ำที่สุดในบรรดา 6 ภาคด้วยกันแถมยังคิดเป็นแค่ 8.5% ของรายได้รวมทั้งหมด ซึ่งจัดว่าต่ำมากๆสำหรับมาตรฐานหนัง Hollywood ทาง Sony จึงตัดสินใจถอยหลังไปก่อนเพื่อรอก้าวกระโดดในวันหน้าและมีข่าวว่าภาคต่อไปของ Resident Evil จะกลับมาด้วยการ Reboot พร้อมเปลี่ยนเป็นหนังแนวสยองขวัญเต็มตัว
Life
วันที่ออกฉาย: 24 Mar 2017
ทุนสร้าง: 60 ล้านเหรียญ
รายได้: 100.5 ล้านเหรียญ
ผลลัพธ์: เจ๊ง 20 ล้าน
แม้ Life จะกลายเป็นหนังเจ๊งประเดิมปี 2017 แต่ผลงาน Horror Sci-fi ของ David Espinosa ก็เป็นความพยายามที่จะฉีกแนวเดิมๆที่ Sony ไม่ค่อยได้ทำออกมานัก แม้จะขาดทุนจากกการฉายโรงราว 20 ล้านแต่กำไรจากการขายสิทธิ์ Home Entertainment น่าจะช่วยลดอัตราการขาดทุนลงได้นิดหน่อย
Smurfs: The Lost Village
วันที่ออกฉาย: 7 Apr 2017
ทุนสร้าง: 60 ล้านเหรียญ
รายได้: 197.2 ล้านเหรียญ
ผลลัพธ์: กำไร 20 ล้านแต่ต้องยุติแฟรนไชส์ไว้ก่อนจากรายได้ขาลง
ผลจากความฮิตเกินคาดหมายใน The Smurfs และ The Smurfs 2 ทำให้ Sony ตัดสินใจเข็น Smurfs ออกมาป่วนโลกภาพยนตร์อีกครั้ง แต่คราวนี้ต่างออกไปคือไม่ใช่หนังไฮบริดแต่เป็น 3D Animation เต็มรูปแบบ ผลปรากฏว่า Smurfs: The Lost Village ทำรายได้หดหายไปจาก The Smurfs 2 เกือบเท่าตัวแต่ยังเอาตัวรอดทำกำไรจากการฉายโรงไปได้นิดหน่อย ถึงอย่างนั้นก็ตาม Sony ก็จำเป็นต้องหยุดแฟรนไชส์ Smurfs ไว้ชั่วคราวเพราะรายได้ที่ดิ่งลงจนอาจขาดทุนได้หากดื้อสร้างต่อไปในช่วง 2-3 ปีหลังจากนั้น
Rough Night
วันที่ออกฉาย: 16 Jun 2017
ทุนสร้าง: 25 ล้านเหรียญ
รายได้: 47.3 ล้านเหรียญ
ผลลัพธ์: ขาดทุนนิดหน่อย 4 ล้าน
หนังตลกร้ายที่ได้ ScaJo มานำแสดง ผลปรากฏว่าขาดทุนจากการฉายโรงไป 4 ล้าน ถ้าเอากำไรจาก Home Entertainment มาด้วยก็คงพ้นการขาดทุนไปได้สบาย
Baby Driver
วันที่ออกฉาย: 28 Jun 2017
ทุนสร้าง: 34 ล้านเหรียญ
รายได้: 226.9 ล้านเหรียญ
ผลลัพธ์: กำไร 65 ล้าน เข้าชิงรางวัลเวทีใหญ่ และภาคต่อในอนาคต
ผลงานหนังแอ็คชั่นขายสไตล์จาก Edgar Wright ไปได้สวยเทียบกับต้นทุนอันน้อยนิด หนังสามารถทำกำไรไปได้กว่า 65 ล้านเหรียญ ยังไม่พอเท่านั้นหนังยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscars ถึง 3 สาขา แถม Ansel Elgort ยังได้ชิงลูกโลกทองคำนำชายสาขาเพลง/ตลกอีกด้วย ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่ Sony เตรียมสร้างภาคต่อมาให้เราดูกันในอนาคตอันใกล้นี้ ล่าสุดบทหนังภาคต่อจากฝีมือของ Edgar Wright เองเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่กรกฎาคมปีที่แล้ว
Sony Pictures กับการกลับสู่ยุครุ่งเรืองและการขยายอาณาจักรหนังแฟรนไชส์
ภาพยนตร์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาของ Sony มีอะไรบ้างและทำผลงานกันเป็นไรมาลองย้อนเวลาไปดูกัน
ความพยายามในการนำ Underworld กลับมาในโลกภาพยนตร์พร้อมกับนางเอกคนเดิม Kate Beckinsale แต่ดูเหมือนว่าเรื่องราวของสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ในมุมมืดทั้งสองจะล้าสมัยเกินไปเสียแล้ว แม้หนังจะเท่าทุนจากการฉายโรงและอาจได้กำไรบ้างจาก Home Entertainment แต่ก็ดูเหมือนว่าจะได้เวลาที่ Sony จะพักเรื่องราวของแฟรนไชส์ไว้เพียงเท่านี้ก่อน
แม้ Life จะกลายเป็นหนังเจ๊งประเดิมปี 2017 แต่ผลงาน Horror Sci-fi ของ David Espinosa ก็เป็นความพยายามที่จะฉีกแนวเดิมๆที่ Sony ไม่ค่อยได้ทำออกมานัก แม้จะขาดทุนจากกการฉายโรงราว 20 ล้านแต่กำไรจากการขายสิทธิ์ Home Entertainment น่าจะช่วยลดอัตราการขาดทุนลงได้นิดหน่อย
ผลจากความฮิตเกินคาดหมายใน The Smurfs และ The Smurfs 2 ทำให้ Sony ตัดสินใจเข็น Smurfs ออกมาป่วนโลกภาพยนตร์อีกครั้ง แต่คราวนี้ต่างออกไปคือไม่ใช่หนังไฮบริดแต่เป็น 3D Animation เต็มรูปแบบ ผลปรากฏว่า Smurfs: The Lost Village ทำรายได้หดหายไปจาก The Smurfs 2 เกือบเท่าตัวแต่ยังเอาตัวรอดทำกำไรจากการฉายโรงไปได้นิดหน่อย ถึงอย่างนั้นก็ตาม Sony ก็จำเป็นต้องหยุดแฟรนไชส์ Smurfs ไว้ชั่วคราวเพราะรายได้ที่ดิ่งลงจนอาจขาดทุนได้หากดื้อสร้างต่อไปในช่วง 2-3 ปีหลังจากนั้น
หนังตลกร้ายที่ได้ ScaJo มานำแสดง ผลปรากฏว่าขาดทุนจากการฉายโรงไป 4 ล้าน ถ้าเอากำไรจาก Home Entertainment มาด้วยก็คงพ้นการขาดทุนไปได้สบาย
ผลงานหนังแอ็คชั่นขายสไตล์จาก Edgar Wright ไปได้สวยเทียบกับต้นทุนอันน้อยนิด หนังสามารถทำกำไรไปได้กว่า 65 ล้านเหรียญ ยังไม่พอเท่านั้นหนังยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscars ถึง 3 สาขา แถม Ansel Elgort ยังได้ชิงลูกโลกทองคำนำชายสาขาเพลง/ตลกอีกด้วย ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่ Sony เตรียมสร้างภาคต่อมาให้เราดูกันในอนาคตอันใกล้นี้ ล่าสุดบทหนังภาคต่อจากฝีมือของ Edgar Wright เองเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่กรกฎาคมปีที่แล้ว