สวัสดีค่ะ ชื่อเพ็ญนะคะ เป็นเจ้าของกิจการแห่งนึง อยากจะแชร์ประสบการณ์การจ้างคนมาช่วยดูแลคุณแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งที่สะโพก ซึ่งแม่เราผ่านการผ่าตัดมาแล้ว ตอนนี้สื่อสารได้ปกติ แต่เคลื่อนไหวเองไม่ค่อยได้ ต้องมีคนคอยพยุงตลอด ก่อนหน้านี้เราเคยแต่คอมเม้นตามโพสขอความช่วยเหลือต่างๆในเฟซ อ่านกระทู้พันทิปบ้างนิดหน่อย แต่เห็นมีโพสถามเกี่ยวกับการจ้างคนดูแลเยอะมาก เราเลยตัดสินใจมาตั้งกระทู้แรกของเรา แชร์เรื่องราวที่เราได้เจอจากการจ้างผู้ดูแลของที่บ้านเราเอง
เริ่มเรื่องก็คือเราไม่สามารถอยู่กับแม่ได้ตลอดเวลา อาการของแม่ก็จำเป็นที่จะต้องมีคนช่วยพยุง ช่วยทำกิจวัตรประจำวันตลอด ที่สำคัญเลยคือต้องระวังไม่ให้หกล้ม ตอนแรกเราคิดว่าน่าจะพอดูแลกันเองได้ แต่ได้ลองทำจริงๆแล้ว รู้เลยว่าการดูแลคนป่วยเป็นงานที่หนัก บวกกับต้องอาศัยทักษะบางอย่างที่เฉพาะทาง แม่บ้านที่มีอยู่ก็ไม่ไหว แล้วก็ไม่อยากให้แม่ไปอยู่ที่ nursing home ด้วย เรากับพ่อเลยเลือกที่จะจ้างคนมาช่วยดูแลแม่ที่บ้าน ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีศูนย์ มีบริษัทส่งคนดูแลเต็มไปหมดเลย ตอนนั้นเราค่อนข้างเคว้ง ไม่รู้ที่ไหนดี ที่ไหนเชื่อได้ เราเลยลองเสิร์ชใน google ดูตาม list รายชื่อศูนย์/บริษัทส่งคนที่ได้มาจากรพ. ก็มี 2-3 ที่ที่เราสนใจ และได้ลองโทรถามราคา หลักๆเหมือนเค้าจะแบ่งเป็นดูแลที่ศูนย์กับดูแลที่บ้าน เรากับพ่อเลยตัดอันที่เป็นศูนย์ออกก่อน เพราะคิดว่าอยากหาคนมาดูแลแม่ที่บ้านค่ะ อันนี้เป็น list ที่เราได้มาค่า นำมาแบ่งปัน
ถึงจะโทรไปคุยกับศูนย์มาแล้วแต่เราก็ยังไม่กล้าตัดสินใจ เราเลยโพสถามเพื่อนๆใน social แล้วมีคนแนะนำบริษัท health at home มา (ขออนุญาติย่อเป็น hah นะคะ แอบขกพิมพ์) ซึ่งก็อยู่ในตัวเลือกที่เราดูๆเอาไว้ เราเลยตัดสินใจเริ่มต้นจากที่นี่ ทุกคนที่บ้านก็เห็นด้วย เพราะก่อตั้งโดยหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องผู้สูงอายุโดยตรง มีการทดสอบ ฝึกอบรมจริงจัง น่าเชื่อถือ ราคาสูงประมาณนึง ทุกคนที่บ้านเลยคิดว่าเค้าน่าจะมาดูแลแม่เราได้ดี ซึ่งพอใช้แล้วก็ดีจริงตามที่คิดไว้ ประเด็นคือใช้ไปซักพักเรากับป้ามองว่าการจ้างคนดูแลมันเป็นค่าใช้จ่ายระยะยาว อาจจะไม่ไหวถ้าต้องจ่ายราคานี้ไปยาวๆ ก็เลยเริ่มมองหาตัวเลือกอื่นที่ถูกกว่า
ด้วยความวางใจ เรากับพ่อเลยตัดสินใจหยุดใช้ hah แล้วเปลี่ยนมาจ้างคนดูแลต่างด้าวคนนึงที่ป้าได้คอนแทคมาจากคนรู้จัก ราคาถูกกว่าเดิมเกินครึ่ง เราก็สนใจละก็เชื่อ เพราะเห็นว่ามีคนเคยจ้างเค้ามาก่อน เรื่องการดูแล เค้าทำได้โอเค อย่างพวกการจัดตารางการดูแลต่างๆ เพราะเค้าเคยดูแลผู้ป่วยติดเตียงมาก่อน แต่ปัญหาคือแม่เราไม่ได้ติดเตียง เพราะฉะนั้นการดูแลก็จะเป็นอีกแบบนึง ต้องพาเดิน ต้องพยุง ซึ่งเค้าไม่สามารถปรับให้เข้ากับอาการของแม่เราได้ จริงๆอีกปัญหาที่สำคัญคือเค้าเข้ากับคนที่บ้านเราไม่ได้ ทำให้เกิดความไม่สบายใจในบ้าน เรากับพ่อคิดว่าน่าจะไม่โอเคถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆเลยตัดสินใจหยุดจ้างพี่ต่างด้าวไป
ตอนนั้นก็เริ่มรู้สึกละว่าไม่คุ้มเลยที่จ่ายถูกลงแล้วต้องมาเจอแบบนี้ แต่ก็ยังไม่เข็ด ตัดสินใจไม่จ้างตรงละกัน ลองจ้างคนจากศูนย์ คิดว่าความเป็นศูนย์ก็น่าจะมีมาตรฐานประมาณนึง เราก็เลยไปใช้บริการคนดูแลจากศูนย์ที่นึง คนล่าสุดที่อยู่กับเรา เป็นคนที่ 2 จากศูนย์นี้ ทั้งสองคนคือ มีความเป็นแม่บ้านมากกว่าคนดูแล ไม่มีทักษะการดูแลเลยยย ไม่เคยมีประสบการณ์ดูแลใครมาก่อน อย่างคนแรกจากศูนย์นี้ก็คือก่อนหน้าจะมาดูแลแม่เรา เค้าทำนามาก่อน พอเรารู้ เราก็ไม่สบายใจ ที่ต้องฝากแม่ไว้กับคนที่ไม่มีประสบการณ์ ยังมีเรื่องของมารยาทอีก ซึ่งเราเข้าใจว่ามันอาจจะเป็นธรรมชาติของเค้า แต่บางอย่างก็ไม่เหมาะสมพอจะทำให้คนที่อยู่ด้วยไม่สบายใจ
พอเจอเรื่องอะไรแบบนี้ ทำให้เรากลับไปนึกถึง health at home ที่เราใช้ที่แรก อารมณ์แบบ อ่อ อันนั้นมันคือดีเนอะ พอนึกย้อนกลับไปคือมันต่างกันตั้งแต่แรกเลย อย่างก่อนใช้ hah จะส่งข้อมูลคนดูแลมาให้เราเลือก ได้เห็นหน้าตากับทักษะที่เค้าทำได้ แต่ศูนย์ที่เราใช้ตอนนี้ เราไม่ได้รู้ก่อนเลยว่าเค้าเป็นใคร ทำอะไรได้บ้าง จะรู้ก็คือตอนเค้ามานั่งอยู่ที่บ้านเราแล้ว มันก็แอบน่ากลัวนะ พวกการดูแลก็คือมาดูหน้างานเอา เรื่องมารยาท การวางตัวก็ต่างกัน เรื่องทักษะการดูแลนี่คือผิดกันค่อนข้างมาก ของ hah อย่างน้อยก็คือทำทักษะได้ตรงตามอาการของแม่เรา คือพอจะวางใจตรงนี้ได้แน่นอน ส่วนเรื่องนิสัยหรือความละเอียดต่างๆก็คงแล้วแต่คนอะเนอะ อีกอย่างที่ชัดเจนคือคนของ hah จะใส่เป็นยูนิฟอร์มของเค้า เราว่าอันนี้เป็นอันที่ดีละส่งผลต่อหลายๆอย่าง เวลาพาคนดูแลไปโรงพยาบาลหรือไปข้างนอกด้วย เราก็รู้สึกโอเค รู้สึกว่าคนดูแลของเราเป็น professional ดูมีแบรนด์ ในมุมของการทำงานมันทำให้เค้าโฟกัสกับหน้าที่ มันช่วยให้เค้ารักษาหน้าที่ ความรับผิดชอบในเวลางานของเค้ามากขึ้น
แต่สำหรับเราบริษัทเค้าก็มีข้อเสียนะ หรืออาจจะเพราะจ่ายแพงความคาดหวังก็เลยสูงตามไปด้วย เราคาดหวังว่าคนดูแลของเค้าทุกคนจะเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างงั้น พอคนดูแลหลักลา บริษัทส่งคนมาแทน เค้าก็ไม่ได้ละเอียดเท่าพี่คนที่ดูแลประจำ แต่ก็ยังโอเคที่เราสามารถแจ้งขอเปลี่ยนคนกับเค้าได้ตลอด เค้าก็ยินดีเปลี่ยนให้
รวมๆแล้วความรู้สึกตอนใช้บริการกับทั้ง 2 ที่มันต่างกันนะสำหรับเรา ตอนใช้ hah เรารู้สึกว่าเค้าเป็น professional อะไรซักอย่าง เหมือนมีความเฉพาะทาง วางใจให้เค้าอยู่กับแม่เรา อย่างไปโรงพยาบาลเราก็กล้าให้เค้าพาแม่เรากลับไปบ้านไปก่อน แล้วเรารอรับยาตามกลับบ้านทีหลัง แต่ตอนนี้เราค่อนข้างรู้สึกเหมือนจ้างแม่บ้านมาช่วยมากกว่า ไม่ได้รู้สึกว่าเค้ามาเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ ความสบายใจมันก็ต่างกันไปด้วย ตอนนี้เรารู้สึกกังวลมากขึ้น ต้องคิดเยอะขึ้น ในส่วนของแม่ เราว่าแม่เราพยายามดูแลตัวเองมากขึ้น ต้องเป็นคนคอยบอกคนดูแลว่าเวลานี้ๆๆทำอะไร จริงๆถ้าเราเลือกจะจ่ายเงินแล้ว มันก็ไม่ควรจะเป็นแบบนี้รึเปล่านะ แต่ตอนนี้รู้สึกเหมือนทั้งตัวเองทั้งแม่ต้องเหนื่อยขึ้น คิดเยอะขึ้น
ตอนนี้เรากลับมาใช้ hah อีกรอบแล้ว เลยอยากแชร์เผื่อเป็นประโยชน์กับลูกๆหลานๆที่อยู่ในสภาวะที่ต้องหาตัวช่วยให้พ่อแม่ เราเข้าใจเลยค่ะว่าเครียดมากจริงๆ เราว่าอาจจะลองถามตัวเองดูก่อนว่าคุณกำลังมองหาอะไร ต้องการอะไรจากคนดูแล ถ้าไม่ได้ต้องการให้เค้าทำอะไรมาก อยากหาคนมาอยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อคุณแม่ หาข้าว หาน้ำ เป็นหูเป็นตา ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินแพง จะจ้างแม่บ้านหรืออะไรก็จัดไปเลย แต่ถ้าเค้าเป็นคนป่วยหรือต้องการการดูแลอะไรซักอย่าง แบบที่ว่าถ้าไม่ได้รับการดูแลมันจะส่งผลต่อสุขภาพเค้าในระยะยาว ต้องการคนที่จะมาดูแลคนในครอบครัวเราจริงๆ อันนี้เราว่า health at home น่าจะตอบโจทย์ เราค่อนข้างเชียร์ ดีกว่าต้องไปเสี่ยง ต้องกังวล ต้องเหนื่อยขึ้น ถ้าใครไม่ติดเรื่องทุนทรัพย์ต่างๆเราว่าคุ้มค่ะ สำหรับเราที่กลับมาใช้อีกครั้ง ก็ยังคิดเหมือนเดิมนะคะว่าดีกว่าจริงๆ
[CR] แชร์ประสบการณ์หาผู้ดูแลคุณแม่ที่บ้านค่ะ
เริ่มเรื่องก็คือเราไม่สามารถอยู่กับแม่ได้ตลอดเวลา อาการของแม่ก็จำเป็นที่จะต้องมีคนช่วยพยุง ช่วยทำกิจวัตรประจำวันตลอด ที่สำคัญเลยคือต้องระวังไม่ให้หกล้ม ตอนแรกเราคิดว่าน่าจะพอดูแลกันเองได้ แต่ได้ลองทำจริงๆแล้ว รู้เลยว่าการดูแลคนป่วยเป็นงานที่หนัก บวกกับต้องอาศัยทักษะบางอย่างที่เฉพาะทาง แม่บ้านที่มีอยู่ก็ไม่ไหว แล้วก็ไม่อยากให้แม่ไปอยู่ที่ nursing home ด้วย เรากับพ่อเลยเลือกที่จะจ้างคนมาช่วยดูแลแม่ที่บ้าน ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีศูนย์ มีบริษัทส่งคนดูแลเต็มไปหมดเลย ตอนนั้นเราค่อนข้างเคว้ง ไม่รู้ที่ไหนดี ที่ไหนเชื่อได้ เราเลยลองเสิร์ชใน google ดูตาม list รายชื่อศูนย์/บริษัทส่งคนที่ได้มาจากรพ. ก็มี 2-3 ที่ที่เราสนใจ และได้ลองโทรถามราคา หลักๆเหมือนเค้าจะแบ่งเป็นดูแลที่ศูนย์กับดูแลที่บ้าน เรากับพ่อเลยตัดอันที่เป็นศูนย์ออกก่อน เพราะคิดว่าอยากหาคนมาดูแลแม่ที่บ้านค่ะ อันนี้เป็น list ที่เราได้มาค่า นำมาแบ่งปัน
ถึงจะโทรไปคุยกับศูนย์มาแล้วแต่เราก็ยังไม่กล้าตัดสินใจ เราเลยโพสถามเพื่อนๆใน social แล้วมีคนแนะนำบริษัท health at home มา (ขออนุญาติย่อเป็น hah นะคะ แอบขกพิมพ์) ซึ่งก็อยู่ในตัวเลือกที่เราดูๆเอาไว้ เราเลยตัดสินใจเริ่มต้นจากที่นี่ ทุกคนที่บ้านก็เห็นด้วย เพราะก่อตั้งโดยหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องผู้สูงอายุโดยตรง มีการทดสอบ ฝึกอบรมจริงจัง น่าเชื่อถือ ราคาสูงประมาณนึง ทุกคนที่บ้านเลยคิดว่าเค้าน่าจะมาดูแลแม่เราได้ดี ซึ่งพอใช้แล้วก็ดีจริงตามที่คิดไว้ ประเด็นคือใช้ไปซักพักเรากับป้ามองว่าการจ้างคนดูแลมันเป็นค่าใช้จ่ายระยะยาว อาจจะไม่ไหวถ้าต้องจ่ายราคานี้ไปยาวๆ ก็เลยเริ่มมองหาตัวเลือกอื่นที่ถูกกว่า
ด้วยความวางใจ เรากับพ่อเลยตัดสินใจหยุดใช้ hah แล้วเปลี่ยนมาจ้างคนดูแลต่างด้าวคนนึงที่ป้าได้คอนแทคมาจากคนรู้จัก ราคาถูกกว่าเดิมเกินครึ่ง เราก็สนใจละก็เชื่อ เพราะเห็นว่ามีคนเคยจ้างเค้ามาก่อน เรื่องการดูแล เค้าทำได้โอเค อย่างพวกการจัดตารางการดูแลต่างๆ เพราะเค้าเคยดูแลผู้ป่วยติดเตียงมาก่อน แต่ปัญหาคือแม่เราไม่ได้ติดเตียง เพราะฉะนั้นการดูแลก็จะเป็นอีกแบบนึง ต้องพาเดิน ต้องพยุง ซึ่งเค้าไม่สามารถปรับให้เข้ากับอาการของแม่เราได้ จริงๆอีกปัญหาที่สำคัญคือเค้าเข้ากับคนที่บ้านเราไม่ได้ ทำให้เกิดความไม่สบายใจในบ้าน เรากับพ่อคิดว่าน่าจะไม่โอเคถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆเลยตัดสินใจหยุดจ้างพี่ต่างด้าวไป
ตอนนั้นก็เริ่มรู้สึกละว่าไม่คุ้มเลยที่จ่ายถูกลงแล้วต้องมาเจอแบบนี้ แต่ก็ยังไม่เข็ด ตัดสินใจไม่จ้างตรงละกัน ลองจ้างคนจากศูนย์ คิดว่าความเป็นศูนย์ก็น่าจะมีมาตรฐานประมาณนึง เราก็เลยไปใช้บริการคนดูแลจากศูนย์ที่นึง คนล่าสุดที่อยู่กับเรา เป็นคนที่ 2 จากศูนย์นี้ ทั้งสองคนคือ มีความเป็นแม่บ้านมากกว่าคนดูแล ไม่มีทักษะการดูแลเลยยย ไม่เคยมีประสบการณ์ดูแลใครมาก่อน อย่างคนแรกจากศูนย์นี้ก็คือก่อนหน้าจะมาดูแลแม่เรา เค้าทำนามาก่อน พอเรารู้ เราก็ไม่สบายใจ ที่ต้องฝากแม่ไว้กับคนที่ไม่มีประสบการณ์ ยังมีเรื่องของมารยาทอีก ซึ่งเราเข้าใจว่ามันอาจจะเป็นธรรมชาติของเค้า แต่บางอย่างก็ไม่เหมาะสมพอจะทำให้คนที่อยู่ด้วยไม่สบายใจ
พอเจอเรื่องอะไรแบบนี้ ทำให้เรากลับไปนึกถึง health at home ที่เราใช้ที่แรก อารมณ์แบบ อ่อ อันนั้นมันคือดีเนอะ พอนึกย้อนกลับไปคือมันต่างกันตั้งแต่แรกเลย อย่างก่อนใช้ hah จะส่งข้อมูลคนดูแลมาให้เราเลือก ได้เห็นหน้าตากับทักษะที่เค้าทำได้ แต่ศูนย์ที่เราใช้ตอนนี้ เราไม่ได้รู้ก่อนเลยว่าเค้าเป็นใคร ทำอะไรได้บ้าง จะรู้ก็คือตอนเค้ามานั่งอยู่ที่บ้านเราแล้ว มันก็แอบน่ากลัวนะ พวกการดูแลก็คือมาดูหน้างานเอา เรื่องมารยาท การวางตัวก็ต่างกัน เรื่องทักษะการดูแลนี่คือผิดกันค่อนข้างมาก ของ hah อย่างน้อยก็คือทำทักษะได้ตรงตามอาการของแม่เรา คือพอจะวางใจตรงนี้ได้แน่นอน ส่วนเรื่องนิสัยหรือความละเอียดต่างๆก็คงแล้วแต่คนอะเนอะ อีกอย่างที่ชัดเจนคือคนของ hah จะใส่เป็นยูนิฟอร์มของเค้า เราว่าอันนี้เป็นอันที่ดีละส่งผลต่อหลายๆอย่าง เวลาพาคนดูแลไปโรงพยาบาลหรือไปข้างนอกด้วย เราก็รู้สึกโอเค รู้สึกว่าคนดูแลของเราเป็น professional ดูมีแบรนด์ ในมุมของการทำงานมันทำให้เค้าโฟกัสกับหน้าที่ มันช่วยให้เค้ารักษาหน้าที่ ความรับผิดชอบในเวลางานของเค้ามากขึ้น
แต่สำหรับเราบริษัทเค้าก็มีข้อเสียนะ หรืออาจจะเพราะจ่ายแพงความคาดหวังก็เลยสูงตามไปด้วย เราคาดหวังว่าคนดูแลของเค้าทุกคนจะเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างงั้น พอคนดูแลหลักลา บริษัทส่งคนมาแทน เค้าก็ไม่ได้ละเอียดเท่าพี่คนที่ดูแลประจำ แต่ก็ยังโอเคที่เราสามารถแจ้งขอเปลี่ยนคนกับเค้าได้ตลอด เค้าก็ยินดีเปลี่ยนให้
รวมๆแล้วความรู้สึกตอนใช้บริการกับทั้ง 2 ที่มันต่างกันนะสำหรับเรา ตอนใช้ hah เรารู้สึกว่าเค้าเป็น professional อะไรซักอย่าง เหมือนมีความเฉพาะทาง วางใจให้เค้าอยู่กับแม่เรา อย่างไปโรงพยาบาลเราก็กล้าให้เค้าพาแม่เรากลับไปบ้านไปก่อน แล้วเรารอรับยาตามกลับบ้านทีหลัง แต่ตอนนี้เราค่อนข้างรู้สึกเหมือนจ้างแม่บ้านมาช่วยมากกว่า ไม่ได้รู้สึกว่าเค้ามาเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ ความสบายใจมันก็ต่างกันไปด้วย ตอนนี้เรารู้สึกกังวลมากขึ้น ต้องคิดเยอะขึ้น ในส่วนของแม่ เราว่าแม่เราพยายามดูแลตัวเองมากขึ้น ต้องเป็นคนคอยบอกคนดูแลว่าเวลานี้ๆๆทำอะไร จริงๆถ้าเราเลือกจะจ่ายเงินแล้ว มันก็ไม่ควรจะเป็นแบบนี้รึเปล่านะ แต่ตอนนี้รู้สึกเหมือนทั้งตัวเองทั้งแม่ต้องเหนื่อยขึ้น คิดเยอะขึ้น
ตอนนี้เรากลับมาใช้ hah อีกรอบแล้ว เลยอยากแชร์เผื่อเป็นประโยชน์กับลูกๆหลานๆที่อยู่ในสภาวะที่ต้องหาตัวช่วยให้พ่อแม่ เราเข้าใจเลยค่ะว่าเครียดมากจริงๆ เราว่าอาจจะลองถามตัวเองดูก่อนว่าคุณกำลังมองหาอะไร ต้องการอะไรจากคนดูแล ถ้าไม่ได้ต้องการให้เค้าทำอะไรมาก อยากหาคนมาอยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อคุณแม่ หาข้าว หาน้ำ เป็นหูเป็นตา ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินแพง จะจ้างแม่บ้านหรืออะไรก็จัดไปเลย แต่ถ้าเค้าเป็นคนป่วยหรือต้องการการดูแลอะไรซักอย่าง แบบที่ว่าถ้าไม่ได้รับการดูแลมันจะส่งผลต่อสุขภาพเค้าในระยะยาว ต้องการคนที่จะมาดูแลคนในครอบครัวเราจริงๆ อันนี้เราว่า health at home น่าจะตอบโจทย์ เราค่อนข้างเชียร์ ดีกว่าต้องไปเสี่ยง ต้องกังวล ต้องเหนื่อยขึ้น ถ้าใครไม่ติดเรื่องทุนทรัพย์ต่างๆเราว่าคุ้มค่ะ สำหรับเราที่กลับมาใช้อีกครั้ง ก็ยังคิดเหมือนเดิมนะคะว่าดีกว่าจริงๆ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้