บอกเล่าเรื่องการรักษาตัวโรคซึมเศร้าที่ผ่านมาค่ะ

สวัสดีค่ะ ถ้าใครเคยอ่านๆกระทู้เก่าๆเราเรื่อง อดีตนักศึกษาแพทย์(ต่างประเทศ)ที่กำลังต่อสู้กับโรคซึมเศร้าและจะกลับมาเริ่มเรียนแพทย์ใหม่ที่ไทย ที่ตอนนี้มีทั้งหมด 3 EP. ก็จะสังเกตได้ว่าเราได้รับทั้งกระแสบวกและลบ ซึ่งเรารับได้ค่ะ เพราะทุกๆการตั้งกระทู้มันก็ต้องมีทั้งคนที่คิดเหมือนกันกับเรา และคนที่ไม่เข้าใจเรา หรือเข้าใจแต่อาจมาแนะนำเราเพราะความเป็นห่วง ขอบคุณทุกๆความคิดเห็นมากนะคะ เราจะนำทุกๆความคิดเห็นดีๆที่มันส่งผลบวกกับเรามาปรับใช้ ส่วนอันไหนที่มันแย่ ทำให้เราหมดกำลังใจก็คงต้องตัดมันออกไป เพราะเรามีสิทธิ์ที่จะเลือกเก็บแต่สิ่งดีๆได้ค่ะ ให้เรามีความสุข และหาพลังบวกเพิ่มเสมอๆ แต่ทุกคนที่มาแสดงความคิดเห็นไม่ว่าจะบวกหรือลบ ก็ย่อมเป็นสิทธิ์ของเขาที่จะแสดงความคิดเห็นอะไรก็ได้ เราเข้าใจตรงนี้ดีค่ะ 

แต่วันนี้จะไม่พูดถึงเรื่องอื่นๆแต่จะมาเล่าประสบการณ์การรักษาโรคของเราที่ผ่านมานะคะ และก็เรารับปรึกษาปัญหาทางด้านจิตเวชโดยเฉพาะโรคซึมเศร้าด้วย เพราะเราผ่านมาเอง เราอาจยังไม่ใช่จิตแพทย์แต่ก็ศึกษาเรื่องนี้มาพอสมควร คงจะสามารถช่วยคนได้มากขึ้น เราเคยช่วยพูดคุยจนคนคนหนึ่งหยุดความคิดที่จะฆ่าตัวตายได้ ไม่รู้เพราะเขาเปลี่ยนใจเอง หรือเพราะเรา แต่ตอนนั้นมีความสุขมากค่ะ ที่อย่างน้อยตอนนี้ เราได้ช่วยคนได้แล้ว และก็มีน้องๆพี่ๆวัยเรียนต่างๆรวมถึงวัยทำงานมาขอคำปรึกษาเรื่องโรคเครียด, ซึมเศร้า ซึ่งเขาบอกว่ารู้สึกดีหลังจากได้คุยกับเรา แค่นี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ เรามีความสุขมาก แม้ไม่ได้อะไรตอบแทน

Hello ทุกๆคนที่ติดตามเราถึงตอนนี้นะคะ
คงจะทราบมาบ้างว่าเรามีโรคซึมเศร้า + โรควิตกกังวล + ภาวะแพนิค
(Major depressive disorder + Anxiety disorder + panic condition)
คำว่า”โรค”จะรุนแรงกว่า”ภาวะ”ค่ะ ซึ่งก็ชัดเจนเลย เราดีขึ้นกับแพนิคเร็วกว่าอันอื่นๆที่เป็นโรค

1. Panic
ภาวะแพนิคแทบไม่พบ ไม่ว่าจะเป็นตอนไปข้างนอกหรือตอนสอบ 

2. Depression 
ตอนนี้เรารู้สึกอาการซึมเศร้าต่างๆมันลดลง
แล้ว เราเริ่มออกไปข้างนอกมากขึ้น เริ่มมีความสุขแบบไม่ต้องฝืนมากขึ้น แต่ก็ยังมีบางวันดิ่งๆบ้างแต่น้อยมาก ดีขึ้นมากค่ะ(ผลจากโรคซึมเศร้า (depression)) ที่ยังต้องรักษาอีกซักพัก

3. Anxiety 
ส่วนในเรื่อง โรควิตกกังวล (anxiety) เรายังไม่ดีขึ้นมากนัก ยังวิตกกังวลบ่อยๆ เช่นตอนสอบก็จะดูนาฬิกาบ่อยๆ กังวลว่าจะหมดเวลา และก็กังวลอื่นๆอีกมากมาย แต่ก็ดีขึ้นบ้าง แต่มันทำให้เราไม่มีสมาธิและโฟกัสอะไรไม่ค่อยได้ จากที่เมื่อก่อนเราเป็นคนสมาธิดีมาก อ่านหนังสือทั้งวันได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว จิตแพทย์ของเราเลยเพิ่มยา RITALIN ให้ซึ่งตัวนี้จะเพิ่มความสามารถในการโฟกัส ตัวยาจะออกฤทธิ์ค่อนข้างเร็ว
(หลังจากกินไป10-20นาที) ออกฤทธิ์นานถึง 6 ชั่วโมง 
ยานี้ไว้สำหรับคนที่เป็นสมาธิสั้น (ADHD) Attention Deficit Hyperactivity Disorder ด้วย

ซึ่งเวลาเราได้ยาอะไรมา เราจะไปอ่านศึกษาเพิ่มว่ามันออกฤทธิ์อย่างไร ทำงานอย่างไร มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง เพื่อเข้าใจยาและตัวเองมากขึ้น
เราเล่าอาการให้จิตแพทย์ฟังอย่างละเอียด เพราะเราจดบันทึกอาการตัวเองทุกๆวัน เราอยากหาย เพราะจะได้ตามฝันเราได้ คุณหมอบอกว่าเรามีพัฒนาการค่อนข้างดีมาก จะหายขาดได้ในไม่ช้า และแนะนำให้เราพักมากๆ ทานยาให้ครบ

ตอนนี้โดยรวมเราดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่อาการที่เริ่มมีคนทักมาคือ เราชอบพูดวนไปมา ซึ่งจิตแพทย์บอกว่าเป็นผลจาก depression ถ้าเราดีขึ้นมันจะหายไปได้และดีขึ้นในที่สุด

สรุปการรักษาของเราที่ผ่านมา
Session 1 : 24 Oct 2019 - ได้รับ Lexapro(10mg) วันละครึ่งเม็ด4วันแรก จากนั้นวันละ1เม็ด + Rivotril (2mg) วันละครึ่งเม็ด
Session 2 : 7 Nov 2019 - ได้รับ Lexapro(10mg) วันละ1เม็ด + Rivotril (2mg) วันละ1เม็ด
Session 3 : 28 Nov 2019 - ได้รับ Lexapro (10mg)วันละ1เม็ดกับอีกครึ่ง + Rivotril (2mg) วันละ1เม็ด + Ritalin(10mg) ทาน1เม็ด
Session 4 : 30 Dec 2019 - ได้รับ Lexapro (10mg) วันละ2เม็ด + Rivotril (2mg) วันละ1เม็ด + Ritalin(10mg) ทาน1เม็ด
***Ritalin ไม่ทานทุกวัน ทานเฉพาะตอนต้องการโฟกัส และก่อนสอบ

หวังว่าทุกคนจะได้รับความรู้เกี่ยวกับโรคนี้มากขึ้นนะคะ ไม่มากก็น้อย ขอบคุณมี่ติดตามอ่านค่ะ

***เพิ่มเติมเกี่ยวกับยาในกลุ่ม antidepressants ซึ่งมีหลายตัวขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละบุคคลและในเรื่องของราคา ตามแต่คุณหมอจะจ่ายให้ อย่างตัวที่เราได้รับคือ Lexapro ข้อดีคือ ผลข้างเคียงน้อย, ส่งผลกระทบต่อตับไตน้อยกว่าตัวอื่นๆ, ออกฤทธิ์เร็ว, ไม่ค่อย react กับยาตัวอื่นที่ทานร่วมกันซึ่งเป็นข้อดีของคนที่มีโรคประจำตัวอื่นๆและต้องทานยานี้ จะไม่เกิดอันตรายและไม่ทำให้ประสิทธิภาพของยาทั้งหมดด้อยลง
ส่วนข้อเสียคือมีราคาแพง ต่างกับตัวอื่นค่อนข้างมาก session 4 เราจ่ายไป 9000 กว่าบาท (รพ เอกชน) ซึ่งถือว่าราคาค่อนข้างสูง
ซึ่งที่เรากล่าวถึงประเด็นนี้เพราะเราคุยและให้คำปรึกษากับหลายๆคนที่มีโรคซึมเศร้า แล้วเต่ละคนก็ได้ยาต่างๆกันมา เลยสงสัยและไปหาข้อมูลเพิ่มเติม
แต่ถามว่าตัวอื่นๆที่ นะ รัฐจ่ายให้มันไม่ดีหรอ อันนี้คิดว่าไม่ใช่ เพราะยาที่จะผ่านการรับรองแล้วว่าสามารถจ่ายให้คนไข้ได้ต้องมีมาตรฐานและรักษาคนไข้ได้เช่นกัน ไม่ได้เป็นยาที่แย่กว่าหรืออันตรายใดๆ หากทำตามที่คุณหมอแนะนำ แต่ตัวที่แพงกว่าก็มีสิทธิ์ที่จะหายได้ไวกว่าและทรมานเรื่อง side effects น้อยกว่า และป้องกันกรณีคนไข้มีโรคประจำตัวมากมายต้องกินยาเยอะ ไม่ให้ยาต่างๆมันตีกัน แต่ทั้งนี้ยาที่รพ รัฐจ่ายก็ย่อมรักษาได้ดีเช่นกัน และหายได้ในที่สุดเช่นกันค่ะ ไม่ใช่ยาที่ด้อยกว่าอะไรขนาดนั้นแต่อย่างใด

***ยาต้านเศร้าคืออะไร (antidepressants) มีหลายตัวค่ะ ซึ่งหลักๆ จะ prevents the reuptake of serotonin (a neurotransmitter), which results in more serotonin in the brain to attach to receptors สรุปสั้นๆก็คือเพิ่มระดับ serotonin ในสมองเราค่ะ, serotonin เป็นสารสื่อประสาทตัวที่ทำให้เรามีความสุข ในคนปกติมันจะอยู่ในระดับปกติ เลยมีความสุขได้อย่างปกติ แต่คนที่เป็นซึมเศร้า(ซึ่งเกิดไก้จากหลายสาเหตุ กรรมพันธ์ก็มีส่วนเกี่ยวค่ะ) อย่างตัวเราคืออยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เศร้าและเครียดกดดันมานานติดต่อกัน ระดับ serotonin ในสมองเลยลดลงไปจนสมองชินแล้วว่าเรามี serotonin ระดับนี้ ทำให้มันต่ำอยู่แทบจะตลอด มีความสุขได้ยากขึ้น จึงเกิดโรคซึมเศร้าขึ้นมา ซึ่งถ้ามาถึงในระดับที่ออกกำลังกายหรือทำอะไรที่เคยชอบก็ไม่มีความสุขอีกแล้วโดยมีอาการติดต่อกันเป็นหลายๆเดือนหรือปีก็ยังไม่ดีขึ้น ตรงนี้ต้องรับยาเพื่อปรับ serotonin ให้สมดุลค่ะ ร้วมกับการออกกำลังกาย ปรับทัศนคติให้คิดบวกมากขึ้น ทำอะไรที่ทำให้มีความสุขมากขึ้น พูดคุยกับคนที่เราไว้ใจ พักผ่อนให้เพียงพอ

ข้อมูลทั้งหมดมาจากการที่เราศึกษามาเอง ทั้งจากการอ่านหนังสือต่างๆและตาม internet และสอบถามจิตแพทย์ของเรา มารวมๆกัน
ซึ่งหากผิดพลาดประการใดก็ต้องขออภัยด้วยนะคะ ขอบคุณที่อ่านและติดตามค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่