กระทู้นี้ต้องการเล่าเรื่องที่ไม่ใช่สไตล์ How to นะคะ มาฟังบันทึกสนุกๆกันค่ะ
การเดินป่า เลอกวาเดาะ ของชิครั้งนี้เกิดขึ้นจากความที่เราคิดว่า
"เราว่างแล้ว"
ไม่ได้ว่างจากการทำงานนะคะ
แต่เป็นช่วงที่ว่างจากการฝึกซ้อม
ช่วงสิ้นปีก็แข่งไตรกีฬาไปหมดแล้ว เหลือเพียงเดือนธันวาที่เราอยากจะพักการซ้อมไว้
ก็เลย
คิดถึงการเดินป่าขึ้นมา
ตัดสินใจจะไป "เลอกวาเดาะ"
บังเอิญมาก ที่มีเพื่อนในเฟสคนนึงโพสหาตี้ไปเดินเลอกวาเดาะ แบบทริปหารเฉลี่ย
ก็เลยตกลงจะไป แต่คนก็ยังไม่พอ 1 คันรถตู้เหมาอยู่ดี ก็ต้องไปโพสหาในกรุ๊ปเดินป่า ก็ได้มาอีก 4 คนจนครบ 10
เราออกเดินทางจากขนส่งเชียงใหม่นั่งรถรอบ 2 ทุ่ม ไปถึงสามแยกตากตอนตี 1:30
รถตู้จากกรุงเทพและคณะมารับที่เซเว่นสามแยกตาก
อากาศหนาวมาก เป็นช่วงที่อากาศในไทยเย็นลงมากช่วงนั้น
คือคิดแล้วก็กลัว ว่าเครื่องกันหนาวเราจะพอมั้ย
ปกติชิเป็นคนขี้หนาวมาก เป็นคนเหนือที่ขี้หนาวสุดๆ เกลียดอากาศหนาว แล้วก็คิดว่าทำไมชั้นต้องเลือกมาเดินป่าหน้าหนาวด้วยนะเนี่ย
คิดถูกคิดผิดก็ไม่รู้ แต่ก็มาอยู่สามแยกตากแล้ว ...ช่างเหอะ
รถมารับตี 2 กว่า
ใครเป็นใครไม่รู้ รู้แต่หนาวและเวียนหัวมาก
เส้นทางจากตัวเมืองตากไปอำเภอท่าสองยางคือแม่ฮ่องสอนยังอาย อาจจะเป็นเพราะเราได้นั่งหลังแถวสุดท้ายด้วย
และเบาะก็เอนทำมุมป้านสุดริด
นอนไม่ได้จนกระทั่งตี 2 ลืมตาตื่นมา
เชี่ยยยย หมอกเต็มถนน
คนขับต้องจิตแข็งแค่ไหน กว่าจะฝ่าหมอกและพาพวกเราไปให้ถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย (เวอร์มากกกก)
ตี 4 ก็มาถึงหน้าตลาดชาวบ้านที่ไหนสักที่ (เคยรู้อะไรกับเค้าบ้างมั้ยหะ)
รู้แต่ว่าหนาวและตลาดยังไม่เปิด ก็นอนหลับกันในรถรอเวลา
6 โมงเช้า คนอื่นตื่นไปซื้อของกินในตลาดเตรียมไว้ทำอาหารมื้อเย็น
ส่วนเราไม่ไหวเลย ไม่ได้นอนและหนาวมากมาย ก็เลยนอนต่อไป (ได้หรือวะ)
รถพามาถึงอุทยานแห่งชาติแม่เมย ให้พวกเราได้เปลี่ยนชุด อาบน้ำ เตรียมตัวจะเดินขึ้นเขา
แต่ๆๆๆๆ ไม่ได้เริ่มเดินจากตรงนี้นะ
ต้องขับรถจากอช. ไปอีก เกือบชั่วโมง กว่าจะถึงทางเริ่มเดิน
ระหว่างทาง พวกเราได้แวะถ่ายรูปตามจุดชมวิวต่างๆด้วย สามารถแจ้งที่คนขับได้เลยค่ะ
ม่อนครูบาใส เป็นอะไรที่ต้องแวะค่ะ วิวทะเลหมอกยังไม่ได้สวยมากเท่าไหร่
แต่ไม่รู้ทำไม ท้องฟ้าภาพนี้มันสวยมาก
นี่ก็เป็นรูปของพวกเราทั้ง 10 คน ใบแรก
ทำให้เราคิดว่า ยังไงทริปนี้ก็คงไม่เจื่อนแน่นอน
แวะอีกม่อนนึง แล้วถึงเดินทางไปจุดเริ่มเดินป่า
เรียกว่า บ้านป่าเกร๊คี
เป็นจุดที่ต้องตัดสินใจ ว่าจะเอาอะไรให้ลูกหาบแบก
จุดๆนี้ไม่ต้องคิดแล้วค่ะ ด้วยความที่อายุเยอะขึ้น แล้วชิเคยแบกของล่าสุดเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตอนไปดอยหนอก ดอยหลวงพะเยา ทำให้เรารู้ตัวเลยว่า ร่างกายเราน่าจะเป็นจับกังเหมือนแต่ก่อนไม่ไหวแล้ว เลยให้ลูกหาบแบกไปเลยค่ะ 40 บาท/กิโล
10 โล ก็ประมาณ 400 สำหรับไป-กลับ รีบจ่ายรีบเดินให้มันจบๆ
ส่วนน้องๆคนอื่นที่ยังแบกไหว ก็ฝากเฉพาะเต้นท์และอาหารกองกลางค่ะ
อย่าให้ได้เห็นนะว่า ไม่ไหวบอกไหวอะ ฮ่าๆๆๆ
การเดินขึ้นยอดเลอกวาเดาะ ไม่ยากเลยค่ะ ถ้าเทียบกับการขึ้นเขาที่อื่นๆ
เพราะระยะทางแค่ 3.8 โล ใช้เวลาเดินประมาณ 3 ชั่วโมงนิดๆ ซึ่งเหมือนเดินแป๊บๆก็ถึง
แต่เขามีความชันมาก ไม่แปลกที่จะมีเชือกให้ดึงตัวขึ้นไปในแต่ละจุด
พวกเราเดินผ่านธารน้ำในช่วงแรก แล้วก็เป็นเขาที่ชันขึ้นไปเลย
หากใครที่ไม่ได้ออกกำลังกายมา จะมาออกเอาตอนนี้ คุณคิดผิด
สักพักก็มีน้องในทีมเกมส์ไปคนนึง
ข้าวเช้าก็กินเกมได้ไง
ช่วยกันแบกมาได้เกือบครึ่งทาง
จนต้องร้องขอชีวิต เรียกลูกหาบที่แบกของขึ้นมาพร้อมกัน จ้างเค้าแบกเพิ่มไปอีก ฮ่าๆๆๆ
พวกเราค่อยๆเดินไปเรื่อยๆ ขึ้นเขาไปเรื่อยๆ
จนชิทิ้งห่างออกมาไกลเลย
ก็เราไม่ได้แบกของ ตัวเลยเบาหนิ
อยู่สูงใช้ได้เลย
ชิทำคลิปใน youTube ด้วยค่ะ เป็นช่องของชิเอง
สามารถคลิกไปดูบรรยากาศจริงๆกันได้ ว่าเดินขึ้นเขาก็ไม่ใช่ของใกล้ๆ
เสียงหอบชัดดมากกกก
ขิทำเพจ เที่ยวหัวหกก้นขวิดด้วย ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะค้า
ขึ้นมาถึงแคมป์ 1 ก่อนใคร
ลูกหาบก็ยังไม่มา ก็เดินเล่นสำรวจพื้นที่ตรงนี้ก่อน
เจอห้องน้ำด้วย ทั้งๆที่ในหัวตอนก่อนมาเตรียมใจไว้แล้วว่า ไม่มีห้องน้ำใช้
งี้ก็สบายดิ
ห้องน้ำมีอยู่ 4 ห้องด้วยกัน แต่น้ำไม่มี ต้องเปิดแทงค์ข้างๆแล้วยกถังน้ำเข้ามาอาบเอง
พอเพื่อนในกรุ๊ปตามกันขึ้นมา ก็มีคนขึ้นไปดูแคมป์ 2 ที่สูงขึ้นไปอีก
เผื่อถ้าไปนอนบนนั้น อีกวันตอนขึ้นยอดพระธาตุก็จะย่นระยะทางไปอีกนิด
แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะที่กางเตนท์เต็มหมด มาวันอาทิตย์ด้วยสิ
เราเลยกางกันอยู่แคมป์ 1 ให้เต้นท์หันหน้าไปทางทิศตะวันตก
ช่วงเย็นตะวันตกดินสวยมากกกกกกกกจ้าแม่
กางเต้นท์ส่วนตัว แล้วก็โซนภัตราคารเสร็จเรียบร้อย ก็ยังเหลือเวลาออกไปสำรวจพื้นที่อีกนิด
อยากชมวิวตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกกันด้วยค่ะ
เดินผ่านแคมป์สองไปนิดนึงจะเจอพระพุทธรูปใหญ่มากเลยค่ะ
แถวนี้จะเป็นชุมชน บ้านลูกหาบ เค้าหาบของขึ้นมาให้เราแล้วนอนกันที่โถงไม้ที่ใกล้ๆนี่ค่ะ ตรงแคมป์ 2
ตรงนี้ไม่มีห้องน้ำด้วย เราก็คิดว่าดีแล้วที่เราไปอยู่ที่แคมป์ 1
ทางเดินขึ้นไปยอดพระธาตุจะเป็นทางชัน และเดินยาก ต้องใช้ความระมัดระวังค่ะ
จะใช้เวลาชั่วโมงกว่าในการขึ้น
วันนี้พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว พวกเราจึงตัดสินใจจะไปพรุ่งนี้แทนค่ะ
ซูมภาพเข้าไปใกล้ๆ จะเห็นว่ายังมีคนขึ้นๆลงๆเขาอยู่เพรียบเลย และเขาก็ชันมากๆด้วย
ไม่เหมาะกับคนที่กลัวความสูงนะคะ
ชิโชคดีมากๆ ที่มากับกรุ๊ปนี้
มีน้องที่ทำอาหารอร่อยมากๆคนนึง วันนี้เราได้ทานสุกี้หมูที่เติมได้ไม่อั้น อร่อยมากค่ะ น้ำตาจะไหลเลย
อยู่บนดอยได้ทานอาหารอร่อยขนาดนี้ ดีความสุขมากๆ
แถมช่วงเวลาที่ได้นั่งคุยกันกับคนแปลกหน้า
ใครเป็นใคร มาจากไหน พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกันสนุกสนาน
ปีนึงได้รู้จักคนเพิ่มขึ้นเกือบ 10 คนใน 1 คืนก็คุ้มมากๆแล้ว
[CR] เลอกวาเดาะกับคนแปลกหน้า 10 ชีวิต
การเดินป่า เลอกวาเดาะ ของชิครั้งนี้เกิดขึ้นจากความที่เราคิดว่า
"เราว่างแล้ว"
ไม่ได้ว่างจากการทำงานนะคะ
แต่เป็นช่วงที่ว่างจากการฝึกซ้อม
ช่วงสิ้นปีก็แข่งไตรกีฬาไปหมดแล้ว เหลือเพียงเดือนธันวาที่เราอยากจะพักการซ้อมไว้
ก็เลยคิดถึงการเดินป่าขึ้นมา
ตัดสินใจจะไป "เลอกวาเดาะ"
บังเอิญมาก ที่มีเพื่อนในเฟสคนนึงโพสหาตี้ไปเดินเลอกวาเดาะ แบบทริปหารเฉลี่ย
ก็เลยตกลงจะไป แต่คนก็ยังไม่พอ 1 คันรถตู้เหมาอยู่ดี ก็ต้องไปโพสหาในกรุ๊ปเดินป่า ก็ได้มาอีก 4 คนจนครบ 10
เราออกเดินทางจากขนส่งเชียงใหม่นั่งรถรอบ 2 ทุ่ม ไปถึงสามแยกตากตอนตี 1:30
รถตู้จากกรุงเทพและคณะมารับที่เซเว่นสามแยกตาก
อากาศหนาวมาก เป็นช่วงที่อากาศในไทยเย็นลงมากช่วงนั้น
คือคิดแล้วก็กลัว ว่าเครื่องกันหนาวเราจะพอมั้ย
ปกติชิเป็นคนขี้หนาวมาก เป็นคนเหนือที่ขี้หนาวสุดๆ เกลียดอากาศหนาว แล้วก็คิดว่าทำไมชั้นต้องเลือกมาเดินป่าหน้าหนาวด้วยนะเนี่ย
คิดถูกคิดผิดก็ไม่รู้ แต่ก็มาอยู่สามแยกตากแล้ว ...ช่างเหอะ
รถมารับตี 2 กว่า
ใครเป็นใครไม่รู้ รู้แต่หนาวและเวียนหัวมาก
เส้นทางจากตัวเมืองตากไปอำเภอท่าสองยางคือแม่ฮ่องสอนยังอาย อาจจะเป็นเพราะเราได้นั่งหลังแถวสุดท้ายด้วย
และเบาะก็เอนทำมุมป้านสุดริด
นอนไม่ได้จนกระทั่งตี 2 ลืมตาตื่นมา
เชี่ยยยย หมอกเต็มถนน
คนขับต้องจิตแข็งแค่ไหน กว่าจะฝ่าหมอกและพาพวกเราไปให้ถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย (เวอร์มากกกก)
ตี 4 ก็มาถึงหน้าตลาดชาวบ้านที่ไหนสักที่ (เคยรู้อะไรกับเค้าบ้างมั้ยหะ)
รู้แต่ว่าหนาวและตลาดยังไม่เปิด ก็นอนหลับกันในรถรอเวลา
6 โมงเช้า คนอื่นตื่นไปซื้อของกินในตลาดเตรียมไว้ทำอาหารมื้อเย็น
ส่วนเราไม่ไหวเลย ไม่ได้นอนและหนาวมากมาย ก็เลยนอนต่อไป (ได้หรือวะ)
รถพามาถึงอุทยานแห่งชาติแม่เมย ให้พวกเราได้เปลี่ยนชุด อาบน้ำ เตรียมตัวจะเดินขึ้นเขา
แต่ๆๆๆๆ ไม่ได้เริ่มเดินจากตรงนี้นะ
ต้องขับรถจากอช. ไปอีก เกือบชั่วโมง กว่าจะถึงทางเริ่มเดิน
ระหว่างทาง พวกเราได้แวะถ่ายรูปตามจุดชมวิวต่างๆด้วย สามารถแจ้งที่คนขับได้เลยค่ะ
ม่อนครูบาใส เป็นอะไรที่ต้องแวะค่ะ วิวทะเลหมอกยังไม่ได้สวยมากเท่าไหร่
แต่ไม่รู้ทำไม ท้องฟ้าภาพนี้มันสวยมาก
นี่ก็เป็นรูปของพวกเราทั้ง 10 คน ใบแรก
ทำให้เราคิดว่า ยังไงทริปนี้ก็คงไม่เจื่อนแน่นอน
แวะอีกม่อนนึง แล้วถึงเดินทางไปจุดเริ่มเดินป่า
เรียกว่า บ้านป่าเกร๊คี
เป็นจุดที่ต้องตัดสินใจ ว่าจะเอาอะไรให้ลูกหาบแบก
จุดๆนี้ไม่ต้องคิดแล้วค่ะ ด้วยความที่อายุเยอะขึ้น แล้วชิเคยแบกของล่าสุดเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตอนไปดอยหนอก ดอยหลวงพะเยา ทำให้เรารู้ตัวเลยว่า ร่างกายเราน่าจะเป็นจับกังเหมือนแต่ก่อนไม่ไหวแล้ว เลยให้ลูกหาบแบกไปเลยค่ะ 40 บาท/กิโล
10 โล ก็ประมาณ 400 สำหรับไป-กลับ รีบจ่ายรีบเดินให้มันจบๆ
ส่วนน้องๆคนอื่นที่ยังแบกไหว ก็ฝากเฉพาะเต้นท์และอาหารกองกลางค่ะ
อย่าให้ได้เห็นนะว่า ไม่ไหวบอกไหวอะ ฮ่าๆๆๆ
การเดินขึ้นยอดเลอกวาเดาะ ไม่ยากเลยค่ะ ถ้าเทียบกับการขึ้นเขาที่อื่นๆ
เพราะระยะทางแค่ 3.8 โล ใช้เวลาเดินประมาณ 3 ชั่วโมงนิดๆ ซึ่งเหมือนเดินแป๊บๆก็ถึง
แต่เขามีความชันมาก ไม่แปลกที่จะมีเชือกให้ดึงตัวขึ้นไปในแต่ละจุด
พวกเราเดินผ่านธารน้ำในช่วงแรก แล้วก็เป็นเขาที่ชันขึ้นไปเลย
หากใครที่ไม่ได้ออกกำลังกายมา จะมาออกเอาตอนนี้ คุณคิดผิด
สักพักก็มีน้องในทีมเกมส์ไปคนนึง
ข้าวเช้าก็กินเกมได้ไง
ช่วยกันแบกมาได้เกือบครึ่งทาง
จนต้องร้องขอชีวิต เรียกลูกหาบที่แบกของขึ้นมาพร้อมกัน จ้างเค้าแบกเพิ่มไปอีก ฮ่าๆๆๆ
พวกเราค่อยๆเดินไปเรื่อยๆ ขึ้นเขาไปเรื่อยๆ
จนชิทิ้งห่างออกมาไกลเลย
ก็เราไม่ได้แบกของ ตัวเลยเบาหนิ
อยู่สูงใช้ได้เลย
ชิทำคลิปใน youTube ด้วยค่ะ เป็นช่องของชิเอง
สามารถคลิกไปดูบรรยากาศจริงๆกันได้ ว่าเดินขึ้นเขาก็ไม่ใช่ของใกล้ๆ
เสียงหอบชัดดมากกกก
ขิทำเพจ เที่ยวหัวหกก้นขวิดด้วย ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะค้า
ขึ้นมาถึงแคมป์ 1 ก่อนใคร
ลูกหาบก็ยังไม่มา ก็เดินเล่นสำรวจพื้นที่ตรงนี้ก่อน
เจอห้องน้ำด้วย ทั้งๆที่ในหัวตอนก่อนมาเตรียมใจไว้แล้วว่า ไม่มีห้องน้ำใช้
งี้ก็สบายดิ
ห้องน้ำมีอยู่ 4 ห้องด้วยกัน แต่น้ำไม่มี ต้องเปิดแทงค์ข้างๆแล้วยกถังน้ำเข้ามาอาบเอง
พอเพื่อนในกรุ๊ปตามกันขึ้นมา ก็มีคนขึ้นไปดูแคมป์ 2 ที่สูงขึ้นไปอีก
เผื่อถ้าไปนอนบนนั้น อีกวันตอนขึ้นยอดพระธาตุก็จะย่นระยะทางไปอีกนิด
แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะที่กางเตนท์เต็มหมด มาวันอาทิตย์ด้วยสิ
เราเลยกางกันอยู่แคมป์ 1 ให้เต้นท์หันหน้าไปทางทิศตะวันตก
ช่วงเย็นตะวันตกดินสวยมากกกกกกกกจ้าแม่
กางเต้นท์ส่วนตัว แล้วก็โซนภัตราคารเสร็จเรียบร้อย ก็ยังเหลือเวลาออกไปสำรวจพื้นที่อีกนิด
อยากชมวิวตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกกันด้วยค่ะ
เดินผ่านแคมป์สองไปนิดนึงจะเจอพระพุทธรูปใหญ่มากเลยค่ะ
แถวนี้จะเป็นชุมชน บ้านลูกหาบ เค้าหาบของขึ้นมาให้เราแล้วนอนกันที่โถงไม้ที่ใกล้ๆนี่ค่ะ ตรงแคมป์ 2
ตรงนี้ไม่มีห้องน้ำด้วย เราก็คิดว่าดีแล้วที่เราไปอยู่ที่แคมป์ 1
ทางเดินขึ้นไปยอดพระธาตุจะเป็นทางชัน และเดินยาก ต้องใช้ความระมัดระวังค่ะ
จะใช้เวลาชั่วโมงกว่าในการขึ้น
วันนี้พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว พวกเราจึงตัดสินใจจะไปพรุ่งนี้แทนค่ะ
ซูมภาพเข้าไปใกล้ๆ จะเห็นว่ายังมีคนขึ้นๆลงๆเขาอยู่เพรียบเลย และเขาก็ชันมากๆด้วย
ไม่เหมาะกับคนที่กลัวความสูงนะคะ
ชิโชคดีมากๆ ที่มากับกรุ๊ปนี้
มีน้องที่ทำอาหารอร่อยมากๆคนนึง วันนี้เราได้ทานสุกี้หมูที่เติมได้ไม่อั้น อร่อยมากค่ะ น้ำตาจะไหลเลย
อยู่บนดอยได้ทานอาหารอร่อยขนาดนี้ ดีความสุขมากๆ
แถมช่วงเวลาที่ได้นั่งคุยกันกับคนแปลกหน้า
ใครเป็นใคร มาจากไหน พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกันสนุกสนาน
ปีนึงได้รู้จักคนเพิ่มขึ้นเกือบ 10 คนใน 1 คืนก็คุ้มมากๆแล้ว
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้