[CR] เลอกวาเดาะ ขุนเขาทะเลหมอก ที่สุดของชีวิต

“มันสวยมาก ขอให้โชคดีนะ” เพื่อนคนหนึ่งซึ่งเพิ่งกลับจากยอดเขาเลอกวาเดาะ บ้านเกร๊ะคี ตำบลแม่วะหลวง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก พูดกับผม เมื่อผมบอกว่าอีกไม่นานนักจะตามรอยไปสัมผัสภูเขาลูกนี้บ้าง เพราะรูปที่เขาถ่ายมานั้นมันยั่วยวนจนอดใจให้ไม่ตามไปไม่ไหวจริงๆ

เลอกวาเดาะ ดอยชื่อภาษากะเหรี่ยงอ่านยากแห่งนี้ได้รับการพูดถึงมาพักแล้วล่ะ ลองพิมพ์ เลอกวาเดาะ ในช่องค้นหาของกูเกิ้ลหรือเฟซบุ๊กดูสิ ดังสุดฤทธิ์สุดเดชก็ปีที่ผ่านมา ถึงขนาดมีทริปมีทัวร์มากันพัลวัน ด้วยลักษณะยอดเขาสูงแหลมกับทางเดินบนสันเขาที่ท้าทายคนชอบธรรมชาติ แถมมีจุดเด่นคือบนยอดเป็นที่ประดิษฐานพระธาตุสีทองอร่ามที่ชาวบ้านบ้านเกร๊ะคีร่วมใจสร้างเอาไว้ จนได้ชื่อว่าเป็นขุนเขาแห่งศรัทธา

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

เมื่อความอยากมันทนไม่ไหว เห็นคนอื่นไปมานักต่อนัก ผมจึงต้องขอตามไปบ้าง รวบสมาชิกหารเฉลี่ย จัดทริปวันธรรมดาปลายเดือนตุลาคม เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่ยวายในวันหยุด โทรศัพท์ติดต่อ อบต.แม่วะหลวง ที่รับหน้าเสื่อดูแลการท่องเที่ยวภูเขาลูกนี้ พอทุกอย่างเรียบร้อยแบบง่ายดายก็จองตั๋วรถทัวร์กันโลดสิ



(1)
พวกเราหกคนเริ่มต้นเดินทางจากบ้านหลังที่สอง หมอชิต ด้วยรถทัวร์ กทม. - แม่สอด รอบสามทุ่ม นอนหลับๆ ตื่นๆ ไปถึง บขส. แม่สอด ก่อนสว่าง สบทบกับเพื่อนที่รออยู่ทางนั้นอีกสี่ชีวิต รวมกันเป็นสิบคน



จุดหมายต่อไปคือแยกเข้าอุทยานแห่งชาติแม่เมย บ้านแม่สลิด อำเภอท่าสองยาง ระยะทางไม่ไกลหร้อกกกก 120 กิโลเมตร เท่านั้นเอง (ฮา...) 



ปกติมีรถสองแถว แม่สอด-แม่สะเรียง วิ่งตั้งแต่เช้าตรู่จาก บขส.แม่สอด แต่เพราะพวกเราตั้งสิบคน ของอีกบานเบอะ เลยคุยกันว่าเหมารถทั้งคันน่าจะสะดวกกว่า เลียบๆ เคียงๆ ถามรถแถวนั้นก็ตกลงได้มาหนึ่งคัน ราคา 1,800 บาท หารสิบคนแพงกว่านั่งสองแถวธรรมดาเล็กน้อย (รถสองแถวแม่สอดถึงแม่สลิด คนละ 140 บาท)



เพราะเหมารถนี่แหละ เราเลยมีเวลาเหลือเฟือสำหรับแวะระหว่างทางที่ตลาดแม่ต้าน ตัวอำเภอท่าสองยาง เพื่อช้อปปิ้งยามเช้า ตระเตรียมทั้งของกินวันนี้พรุ่งนี้ให้เรียบร้อย ที่นี่มีขายทุกอย่างครับ แถมมีมินิมาร์ทสีเขียว-แดงอีกด้วย



พวกเราออกจากแม่สอด แวะแม่ต้าน เอ้อระเหยไปเรื่อย ถึงบ้านแม่สลิดหลวงเก้าโมงเช้า พอถึงที่ก็มีรถโฟร์วีลซึ่งติดต่อไว้จากบ้านเกร๊ะคีมารอรับอยู่แล้ว ขนของเปลี่ยนรถกันเลย ซึ่งทางหมู่บ้านไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวนำรถส่วนตัวทุกชนิดเข้าไปเองนะครับ ต้องใช้บริการรถของชุมชนเท่านั้น



จากตรงนี้กว่าจะถึงจุดเริ่มเดินวัดป่าเกร๊ะคี ก็อีก 40 กิโลเมตร ใช้เวลาชั่วโมงนิดๆ ระหว่างทางจะผ่านอุทยานแห่งชาติแม่เมย ทั้งที่ทำการฯ จุดชมวิวม่อนต่างๆ รวมถึงน้ำตกแม่ระเมิง เราสามารถแวะได้เรื่อยๆ 



จากนั้นก็ต้องผจญถนนฝุ่นแดง ลูกรัง ที่ตัดผ่านพื้นที่ไร่และภูเขาลูกแล้วลูกเล่า กระเด้งกระดอนกันไปสนุกสนานดี



สิบเอ็ดโมงครึ่งถึงวัดป่าเกร๊ะคี เป็นจุดสุดท้ายในการเตรียมตัวพร้อมเดิน พวกเราขอลูกหาบไว้หนึ่งคน แบกน้ำหนัก 25 กิโลกรัม ส่วนเกินจากนั้นแบ่งกันไปสิครับ ชิลๆ (ฮา...)



กว่าจะเริ่มเดินกันก็เที่ยง ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ถือว่าไม่มากนัก เดินช่วงแรกก็ตัดเข้าป่าเขียวๆ กันเลย พอครึ่งชั่วโมงก็มาเจอลำธารไหลเย็นฉ่ำที่เราต้องเลาะขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดพักแรกซึ่งเป็นช่วงพักทำใจก่อนขึ้นเขา



ทางขึ้นที่นี่ทำบันไดคอนกรีตไว้เป็นช่วงๆ บางช่วงเป็นบันไดดินมีเชือกขึงให้ยึดให้จับ โดยรวมถือว่าทางชันพอสมควรแต่ความลำบากไม่ยากนัก คงเพราะเป็นเส้นทางที่ชาวบ้านใช้ขึ้นลงเพื่อไปกราบสักการะพระธาตุด้านบนเป็นปกติด้วยแหละ ไม่ใช่เฉพาะเส้นทางของนักท่องเที่ยวเดินป่าเท่านั้น

แต่ที่ไม่ง่ายเลยคือ... ฝนกระหน่ำลงมาตอนบ่ายทำให้เละเทะกันถ้วนหน้า ต้องฝันฝ่ากันไปทีละก้าวสองก้าว คืบสองคืบ จนสักพักก็หยุดสนิท คือตกลงมาให้เปียกเล่นๆ ว่างั้น!



เวลาบ่ายสองโมงครึ่ง เห็นยอดพระธาตุอยู่ไม่ไกลมากแล้ว



ตรงนี้เรียกว่าจุดชมวิวอมก๋อย เพราะมองออกไปไกลสุดสายตาคือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ เป็นวิวสวยชื่นใจวิวแรกที่เราได้เห็นบนเส้นทางนี้



หายเหนื่อยค่อยขึ้นเป้เดินต่อ ลงเขาหนึ่งรอบ ขึ้นเขาอีกรอบ ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็มาโผล่ตรงแนวสันเขา ที่เห็นทั้งแคมป์พักแรม และยอดเลอกวาเดาะกับพระธาตุองค์สีทองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล



ในที่สุด 15.40 น. พวกเราก็มาถึงจุดตั้งแคมป์ ใช้เวลาราวสามชั่วโมงครึ่ง บนนี้จัดทำพื้นที่กางเต็นท์ไว้อย่างดี มีศาลาไม้หนึ่งหลัง ห้องน้ำสังกะสีสร้างใหม่สามสี่ห้อง ถือว่าเป็นจุดตั้งแคมป์ที่สบายมากๆ



นอกจากนี้ก็เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธูป และรอยพระพุทธบาทจำลองด้วย



ส่วนพระธาตุเลอกวาเดาะอยู่เขาถัดไปอีกยอด คะเนระยะทางสัก 600-700 เมตร ไม่ไกลมาก แต่ทางก็อย่างที่เห็นครับคือต้องขึ้นสุดลงสุดผ่านสันเขาแคบๆ ใครกลัวความสูงมีขาสั่นแน่นอน



ด้วยความเป็นกลุ่มเดียวบนเขา พวกเราเลยสบายๆ ขี้เกียจขึ้นพระธาตุกันตั้งแต่เย็นนี้ หันมาใช้เวลานั่งเล่น นั่งคุย เตรียมทำอาหาร กิจกรรมแคมป์ค้างแร



พอใกล้เย็น ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี เป็นวิวที่สวยประทับใจมาก



พวกเรากินข้าว พูดคุยเฮฮาตามประสา (ทริปนี้งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดนะ) จนสักสี่ทุ่มสายฝนเริ่มโปรยเปาะแปะทำให้ต้องแยกย้ายมุดเข้าเต็นท์ พอเที่ยงคืนฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ผมนอนอยู่ในเต็นท์ด้วยรอยยิ้ม ภาวนาว่าตกมาเยอะๆ ยิ่งเยอะยิ่งดี แต่ตีสองตีสามขอให้หยุดได้แล้วนะ

... ดูเหมือนว่าคำขอของผมเป็นจริง



(2)
ตั้งนาฬิกาปลุกตีสี่ครึ่ง ไร้วี่แววเสียงฝนพรำ ข้างนอกเงียบสงบ แต่งตัวเตรียมพร้อม ไฟฉาย น้ำดื่ม ฟ้ายังไม่ทันสว่างพวกเราก็เรียงแถวเดินเท้าขึ้นสู่ยอดเลอกวาเดาะ แน่นอนว่าช่วงมืดๆ แบบนี้เรามองไม่เห็นเส้นทางหรอกครับ

จนกระทั่งฟ้าเริ่มสว่างมองเห็นอะไรบ้างแล้ว พอมองย้อนกลับไปด้านหลังถึงกลับต้องกลืนน้ำลายว่าเราเดินกันมาได้อย่างไร ทั้งชัน ทั้งเสียว ชวนให้ขาแข้งสั่นจริงๆ



แต่กับวิวสวยที่เห็นพร้อมแสงยามเช้า ณ เวลานี้ ก็พอบอกได้เหมือนกันว่าคุ้มค่ามากมาย



ผมเดินไปเรื่อย ถ่ายรูปไปเรื่อย จนสักหกโมงครึ่งพระอาทิตย์กำลังจะพ้นเหลี่ยมเขาก็ได้ยินเสียงเรียกจากเพื่อนที่อยู่บนพระธาตุแล้วว่าให้ขึ้นมาเร็วๆ ซึ่งเมื่อตะกายถึงยอดแล้วหัวใจก็พองโตโดยพลัน ทั้งแสงเช้า ทั้งทะเลหมอก ทั้งผืนป่า ทั้งบรรยากาศ คือสุดยอดแท้



เลอกวาเดาะเป็นภาษากะเหรี่ยงแปลว่าจุดชมวิว หรือที่ที่มีวิวสวยๆ ชื่อนั้นเหมาะกับเขาลูกนี้เหลือเกิน มองไปทางไหนก็ต้องร้องว้าว สวยงามทุกทิศทาง
ความพิเศษของวันนี้คือยิ่งแดดออกแรงมากเท่าไหร่ ทะเลหมอกก็ดูเหมือนจะหนานุ่มมากขึ้นเท่านั้น รูปมุมนี้ตรงนี้ที่เคยถ่ายไปแล้ว อีกครึ่งชั่วโมงเราต้องถ่ายซ้ำใหม่ทั้งเซ็ตเพราะมันสวยกว่าเมื่อกี้อีกเยอะเลย



เมื่อวานคุยเล่นๆ กับเพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งว่าทะเลหมอกสวยสุดหัวใจที่เคยเจอคือที่ กิ่วแม่ปาน ดอยอินทนนท์ เชียงใหม่ กับ ภูชี้ดาว ภูชี้เดือน เชียงราย ซึ่งผมไม่คิดจะให้ที่ไหนมากกว่านั้นอีกแล้ว แต่ถึงตอนนี้ ต้องสารภาพว่าผมพบคำว่าที่สุดในชีวิตครั้งใหม่แล้วล่ะ



ผมอยู่บนยอดพระธาตุจนคนสุดท้ายประมาณแปดโมงครึ่ง ระหว่างทางเดินลงเขากลับไปยังลานกางเต็นท์ก็ต้องชะงักกับมวลมหาทะเลหมอกที่กำลังถูกลมพัดลอยข้ามสันเขาจนดูเหมือนระลอกคลื่นทะเล ไม่สามารถหาคำมาอธิบาย ไม่มีคำใดจริงๆ



กลับมาถึงจุดตั้งแคมป์ มองย้อนกลับไปองค์พระธาตุก็เป็นแบบที่เห็นนี่แหละ



เวลาที่เหลือ เราทำกิจกรรมชาวแคมป์แบบไม่เร่งรีบ เริ่มเดินลงกันประมาณสิบเอ็ดโมง ถึงวัดป่าเกร๊ะคีก็อาบน้ำอาบท่า รถโฟร์วีลคันเดิมพาเรามาส่งที่บ้านแม่สลิดหลวง โดยมีลุงสองแถวคันเดิมเช่นกันที่เรานัดหมายไว้มารอรับพากลับ บขส.แม่สอด อีกต่อ เพื่อขึ้นรถทัวร์กลับ กทม. ทันเวลารอบสามทุ่มตรงแบบสบายๆ

แม้จะเดินทาง (ทางรถ) ค่อนข้างไกล แต่ต้องยอมรับว่าเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่นี่มีความสวยงามมาก และเดินทาง (ทางเท้า) ไม่ยากจนเกินไป ชาวบ้านบ้านเกร๊ะคีก็ดูแลต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างดี จนต้องบอกว่าเป็นอีกขุนเขาที่ทำให้ผมประทับใจมากมาย

จากเริ่มต้นที่เห็นภาพในโซเชียลมีเดียและคิดว่าแค่อยากมาให้เห็นกับตาสักครั้ง บางทีจากสิ่งที่เห็นที่ได้รับอาจกลายเป็นว่าครั้งเดียวไม่พอ เพราะที่นี่คือที่สุดของชีวิตจริง

สำหรับรายละเอียดต่างๆ และค่าใช้จ่ายอ่านต่อในคอมเมนต์ได้เลยครับ


รีวิวอื่นของผม หรืออยากคุยเรื่อยเปื่อย สอบถามข้อมูล (ถ้าผมมีให้นะ) ชวนเที่ยว ก็ยินดียิ่งครับ
>>> https://www.facebook.com/alifeatraveller
ชื่อสินค้า:   เลอกวาเดาะ
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่