ต้องเล่าก่อนนะคะว่ากระทู้นี้ไม่ได้พูดถึงคนอินเดีย หรือประเทศอินเดียในแง่ร้ายเลย เพราะสำหรับเราการเจอเรื่องราวที่ทำให้หัวร้อนแบบนี้ ก็เป็นเสน่ห์เฉพาะของทริปอินเดีย ทริปนี้เป็นทริปอินเดียทริปแรก แต่จะขอบอกก่อนว่าถึงแม้เจ้าของกระทู้จะเคยไปเรียนที่อินเดียในระยะเวลาสั้น (3 เดือน) มาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ทริปนี้ง่ายขึ้นเลย 55 เลยอยากทำกระทู้นี้ขึ้นมาให้ทุกคนได้อ่านทริก คำลวง และประสบการณ์ร้ายๆ (แต่ก็ยังรัก) ที่เราเจอมา แต่จะบอกก่อนนะคะว่าเราแอบเข้าใจคนอินเดียว่าการที่เค้ามาทริกเรานั้นเป็นการทำมาหากินของเค้า ไม่ใช่ว่าจะหลอกเราไปทำร้ายหรือชิงทรัพย์อะไร บางคนอาจจะเคยได้อ่านเจอจากหนังสือ lonely planet ว่าคนอินเดียมีทริกอะไรมาหลอกเราบ้าง แต่จะบอกส่าการเจอกับตัวก็ทำให้เราอึ้งได้เหมือนกัน
ทริปนี้เราเดินทางกันสองคนค่ะ วันที่ 30 พฤศจิกายน - 15 ธันวาคม 2562 ซึ่งตามความเข้าใจของคนทั่วไปแล้วจะต้องบอกว่าเป็นหน้าหนาว แต่จะเป็นยังไงจะเล่าในเนื้อหาค่ะ โดยเรามีแพลนการเดินทางคร่าวๆตามนี้ค่ะ
1. กรุงเทพฯ - พาราณสี, อุตรประเทศ
2. คาจูราโห, มัธยประเทศ
3. อัครา, อุตรประเทศ
4. นิวเดลี
5. ออรังคาบัด, มหาราษฏระ
6. มุมไบ,มหาราษฏระ - กรุงเทพฯ
และเนื่องจากเป็นการเดินทางสไตล์แบคแพคเกอร์ ที่อาจจะไม่ได้เน้นความสะดวกสบายเป็นหลัก เราจึงเดินทางข้ามเมืองด้วยรถไฟ ซึ่งจะโหดขนาดไหนจะค่อยๆเล่าให้ฟังนะคะ
งั้นจะขอเริ่มจากเมืองพาราณสี, รัฐอุตรประเทศ
เวลาที่คนพูดถึงพาราณสี เราก็มักจะคิดถึงแม่น้ำคงคา, สถานที่สำคัญสุดท้ายของชีวิตคนฮินดู (สถานที่ประกอบพิธีฌาปนกิจ), พิธีบุชาไฟ แล้วยิ่งเป็นช่วงหน้าหนาว เราก็จะคิดไปว่าเราจะได้ล่องเรือในแม่น้ำคงคา ดูวิวข้างทางชิลๆ จิบชายามเช้า ซึ่งจริงๆแล้วประสบการณ์ที่เราเจอมาก็ไม่ได้แย่ไปซะหมด แต่การเริ่มทริปแบบนี้ก็ทำให้เราค่อยๆเรียนรู้ประเทศนี้ไปด้วย
พาราณสีในยามเช้าจาก rooftop ของโรงแรม
1. เริ่มจากการที่เราเนี่ยถึงพาราณสีในช่วงค่ำ และหน้านาวค่อนข้างมืดเร็ว สิ่งแรกที่เราต้องเจอตั้งแต่ลงเครื่องมาเลยเนี่ยก็คือ เราต้องหารถที่จะไปส่งเราที่ที่พัก ซึ่งจากระยะทางแล้ว เราจำเป็นต้องใช้รถแท็กซี่ ขอแนะนำให้ทุกคนติดตั้งแอพพลิเคชั่น UBER และ Ola ไว้ตั้งแต่ที่ไทยเลย ถ้าเป็นไปได้เบอร์โทรศัพท์ที่ผูกกับบันชีขอให้ใช้เป็นเบอร์ที่เราใช้ที่อินเดีย (ถ้าเป็นไปได้) คือเราจะใช้แอพฯ พวกนี้ในการเปรียบเทียบราคาที่เหมาะสม กับราคาที่คนขับแทกซี่เสนอ เพราะส่วนใหญ่พอเห็นว่าเราเป็นนักท่องเที่ยวก็จะเรียกราคาที่สูงเกินจริง พอเรามีแอพฯพวกนี้แล้ว เราจะเรียกรถจากแอพฯก็ได้ หรือจะใช้เราคานี้ยื่นต่อรองไปเลยก็ได้ค่ะ
2. นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะจองที่พักบริเวณริมแม่น้ำคงคา ซึ่งจุดที่แท็กซี่สามารถเข้ามาส่งเราได้เนี่ยไม่ใช่หน้าโรงแรมแน่นอน แต่จะเป็นจุดที่ห่างออกไปประมาณ 1 กม. และทางที่เราต้องเดินค่อนข้างโหดร้าย ไม่ใช่ถนนเรียบๆปกติ แต่เป็นถนนหินๆลูกรัง มีทั้งร้านค้าที่เปิดข้างทาง คนเดินหนาแน่ น้องวัวที่เดินตามใจชอบพร้อมกับปล่อยของเสียออกมา สามล้อ และรถเข็นของขาย เป็นการเดินที่ต้องใช้สติมากพอสมควร อีกข้อแนะนำในข้อนี้คือ ถ้าหลีกเลี่ยงได้อย่าใช้กระเป๋าเดินทางแบบล้อลากเลยค่ะ จะสะดวกในการเดินมากกว่า
3. นอกจากเดินริมถนนแล้วเรายังต้องเข้าซอยที่ค่อนข้างลึกลับซับซ้อนไปจนกว่าจะถึงริมแม่น้ำ ซึ่งในซอยแคบๆนั้น ก็จะเป็นบ้านคนที่มีคนอาศัยอยู่ ร้านค้า ร้านอาหาร นอกจากนี้คนที่นี่เค้ายังขับมอเตอร์ไซในซอยแคบๆ แล้วก็มักจะขับกันไวมากๆ ตั้งสติแล้วฟังเสียงแตรแล้วหาที่หลบกันให้ดีค่ะ
4. อย่างที่บอกว่าน้องวัวจะเดินอยู่ในทุกที่พร้อมปล่อยของเสียออกมา เราไม่ต้องตกใจนะคะถ้าจะเจออึตามถนน ค่อยๆเดิน ค่อยๆมองหลบไปนะคะ นอกจากน้องวัวแล้วเนี่ย น้องหมา น้องลิงก็ปล่อยของเสียออกมาเยอะมากๆ แนะนำว่าหากใครไม่สบายใจเรื่องกลิ่น ให้เตรียมมาส์กปิดหน้าไปด้วยค่ะ หยดยาดมไว้ด้วยก็ยิ่งดีเลยค่ะ แนะนำๆ เพราะถ้าใครธาตุอ่อนเนี่ยเราว่ามีอ้วกแตกแน่นอน (ขอไม่ลงรูปประกอบนะคะ55)
5. ในทุกวันเวลาประมาณ 6 โมงเย็นที่ริมแม่น้ำคงคาบริเวณท่าท่าทศอัศวเมธ (DashAshwamedh ) จะมีพิธีบูชาไฟ (พิธีอารตี) ที่มาหลายพันปี เราสามารถไปจับจองที่ชมได้ หากอยากได้มุมถ่ายรูปสวยๆ แนะนำให้ไปเร็วหน่อยค่ะ มีทั้งที่นั่งตามบันได และบนเรือ ระหว่างพิธีเนี่ยคนขายของก็จะเข้ามาขายของกับนักท่องเที่ยวเป็นระยะ หากเราไม่ต้องการก็ปฏิเสธไปได้ตรงๆค่ะ อาจจะมีความลำคานเล็กน้องแต่ยังไม่เป็นปัญหาค่ะ
พิธีบูชาไฟและคนที่มาชมก็จะเยอะประมาณนี้ค่ะ
6. ตอนเราเดินกลับที่พักเนี่ยก็จะมีคนมาเสนอว่านั่งเรือไหม ซึ่งตอนนั้นดึกแล้วก็จะไม่มีใครไปหรอกค่ะ แต่เค้าก็จะเข้ามาเสนอว่าพรุ่งนี้เช้าเนี่ยถ้ามาต้องขึ้นเรือฉันนะ ซึ่งตอนนั้นเรายังไม่ทันทริกนี้ เราก็ตอบแบบขอไปทีว่า later แต่พอเช้ามาเนี่ย เราก็ต้องมาท่าน้ำที่เดิมเพื่อจะล่องเรือไปดูวิถีชีวิตริมแม่น้ำคงคาของคนที่นี่ แล้วเราต้องต้องมาเจอกับคนดีคนเดิมเมื่อคืนที่ชวน55 ซึ่งต่อให้เราจะเจอหลายๆคนที่ราคาถูกกว่าเนี่ย เค้าก็จะตื้อเราว่าเราไปสัญญากับเค้าเมื่อคืนเล้ว เราก็ต้องไปกับเค้านะ ซึ่งเราก็คิด เอ้ะอาจจะผิดที่เรา เลยยอมขึ้นเรือเค้าไปแบบจำใจ แต่เอาจริงๆนะคะ สำหรับค่าเรือพายเนี่ยมันก็ไม่ได้แพงจนเราจ่ายไม่ได้ แต่เราอาจจะอ่านรีวิวคนอื่นที่ได้ถูกกว่าเลยแอบนอย เพราะฉนั้นเรื่องนี้สอนว่า อย่าได้สัญญากับใครที่นี่นะคะ เค้าจำได้55
น้องคนพายซึ่งไม่ได้เป็นคนตื้อเรานะคะ เค้ามีนายหน้าเก็บหัวคิวอีกที โอเคค่ะยอมที่จ่ายก็ไม่ได้แพง เหมา 2 คน 400 รูปีต่อ 1 ชั่วโมง
วิวสวยๆอากาศดีๆ (มั้ง?)55 นอกจากนั่งชมถ่ายรูปแล้วเนี่ย สามารถซื้อขนมให้อาหารนกได้
น้องนกก็จะรุมตอมเราประมาณนี้ไปตลอดทาง
7. นอกจะเราจะได้ดูท่าน้ำต่างๆแล้ว 1 ในไฮไลท์ของเราที่นี่น่าจะเป็นเรื่องที่คนที่นี่เค้าจะซักผ้าริมแม่น้ำคงคา ใช้น้ำในแม่น้ำเนี่ยค่ะ ซักด้วยการฟาดแบบโบราณ เนี่องจากเราชาวแบคแพคเกอร์ไม่ได้นอนในโรงแรมแพงๆ ก็เดาไว้ก่อนเลยว่าผ้าปู ผ้าเช็ดตัวของเราเนี่ยน่าจะมาจากที่นี่แน่ๆ ยังไงถ้าใครผิวระคายเคืองง่ายก็เตรียมผ้าขนหนู กับถุงนอนมานะคะ
ขอฮาวทูทำให้ผ้าขาวค่ะ เราซักเครื่องแล้วยังหมองเลย 55
8. นอกจากตัวพาราณสีแล้ว ถ้ามีเวลาเหลือเต็มๆสัก 1 วัน เราสามารถนั่งรถไปเที่ยวสารนาถพุทธสังเวชนียสถานแห่งที่ 3 (1 ใน 4 แห่งของชาวพุทธ) ได้ด้วยระยะไม่ไกลนั่งตุ๊กๆใช้เวลาประมาน 30 นาที เราสามารถชมธรรมเมกขสถูป เป็นพุทธสถานขนาดใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุด สันนิษฐานว่าเป็นสถานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาประกาศพระสัจจธรรมเป็นครั้งแรก มาถึงตรงนี้ยังไม่มีเรื่องเจ็บปวด แต่อยากจะให้คนไทยที่ไปเที่ยวพกพาสปอร์ตค่ะ เนื่องจากการไปเที่ยวที่อินเดีย เราจะมีสิทธิพิเศษในการจ่ายค่าเข้าชมได้ในราคาเท่ากับคนอินเดียเลย ส่วนใหญ่จะประมาณ 40 รูปี หรืออาจจะต่ำกว่า ต่างกับคนต่างชาติประเทศอื่นๆที่ต้องจ่ายถึง 500 รูปี หรือมากกว่า
ให้เราดูราคาที่ BIMSTEC ค่ะ ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในสมาชิก (แก้ค่ะ)
ธรรมเมกขสถูป
หัวสิงห์ยอดเสาอโศกในสารนาถ โบราณวัตถุที่สำคัญที่สุดของอินเดีย หัวสิงห์นี้ถูกใช้เป็นตราประจำชาติอินเดียในปัจจุบัน (จาก wikipedia)
9. ขอข้ามไปก่อนจะถึงเมืองต่อไป เราได้นอน night train จากพาราณีสีไปคาจูราโห โดยรถไฟจะใช้เวลาประมาน 12 ชั่วโมง 40 นาที และเนื่องจากเป็นครั้งแรกของเราที่จะได้โดยสารรถไฟอินเดีย เราเลยรีบมาที่สถานีเพื่อรอดูตารางรถไฟ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลา 2 ชั่วโมงก่อนการเดินทางแล้ว แต่รถไฟขบวนที่เราจะไปยังไม่ขึ้นบนบอร์ดเลยว่าชานชลาไหน ตอนนี้เราแอบใจตุ้มๆต่อมๆแล้วว่ายังไง แต่ตาเราเหลือบไปเห็น tourist information เราเลยเดินเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ แต่เจ้าหน้าที่กลับสื่อสารภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง ยังพอจับใจความได้ว่ารถไฟจะขึ้นบอร์ดก่อนเวลา 40 นาที เราก็ใจจดใจจ่อ ลุ้นแทบตาย ซึ่งจริงๆแล้วรถไฟขึ้นโชว์ก่อนเวลาขึ้นเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น
หน้าสถานีรถไฟเมืองพาราณสี
บรรยากาศผู้คนที่สถานีรถไฟรอขึ้นขบวน night train
10. และก่อนจากพาราณสีไปเรายังเจอเรื่องเจ็บๆแสบๆบนรถไฟอีก คือ เนื่องจากการเดินทางด้วย night train เราต้องอยู่กินบนรถไฟค่อนข้างนาน เราเลยคิดว่าต้องเตรียมเสบียงน้ำ อาหาร และขนมให้พร้อม เราก็ซื้ออาหารจากสถานีรถไฟซึ่งเป็นร้านของการรถไฟเลย ราคาก็ถูกมากๆ พอเราขึ้นไปบนรถไฟเนี่ยก็จะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋ว เจ้าหน้าที่คนนี้เค้าเสนออาหารเซ็ต และยังถามอีกว่าเราต้องการเบียร์ไหม ซึ่งเราค่อนข้างแปลกใจว่า การดื่มเบีย์ที่นี่เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ว่าเราจะหาดื่มได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเมืองศักดิ์สิทธิ์แบบพาราณสี เราจึงสั่งเซตอาหารไปในราคา 400 รูปีและหวังว่าจะเป็นชุดอาหารที่อลังการ แต่ที่ได้มาเนี่ย ดูยังไงก็ไม่ถึง 100 รูปี ตอนนี้เราก็มั่นใจแล้วว่าโดนหลอกแน่ๆ
แซนวิชผักราคา 40 รูปี
ข้าวผัดมังสาวิรัตราคา 60 รูปี ส่วนอาหารเซตโดนหลอกไม่มีรูปประกอบนะคะ คงอึ้งจนไม่ได้ถ่าย55
ขอจบการนำเสนอประสบการณNความเจ็บปวดหัวร้อนที่อินเดียไว้ที่พาราณสีก่อนนะคะ แล้วเราจะไปกันต่อที่เมืองแห่งภาพสลักกามาสูตราสุดอีโรติก (คาจูราโห) ในคอมเม้นค่ะ
เที่ยวอินเดีย 16 วัน 4 รัฐ 6 เมือง รวบรวมประสบการณ์ร้ายๆ (แต่ก็รัก?) 😅
ทริปนี้เราเดินทางกันสองคนค่ะ วันที่ 30 พฤศจิกายน - 15 ธันวาคม 2562 ซึ่งตามความเข้าใจของคนทั่วไปแล้วจะต้องบอกว่าเป็นหน้าหนาว แต่จะเป็นยังไงจะเล่าในเนื้อหาค่ะ โดยเรามีแพลนการเดินทางคร่าวๆตามนี้ค่ะ
1. กรุงเทพฯ - พาราณสี, อุตรประเทศ
2. คาจูราโห, มัธยประเทศ
3. อัครา, อุตรประเทศ
4. นิวเดลี
5. ออรังคาบัด, มหาราษฏระ
6. มุมไบ,มหาราษฏระ - กรุงเทพฯ
และเนื่องจากเป็นการเดินทางสไตล์แบคแพคเกอร์ ที่อาจจะไม่ได้เน้นความสะดวกสบายเป็นหลัก เราจึงเดินทางข้ามเมืองด้วยรถไฟ ซึ่งจะโหดขนาดไหนจะค่อยๆเล่าให้ฟังนะคะ
งั้นจะขอเริ่มจากเมืองพาราณสี, รัฐอุตรประเทศ
เวลาที่คนพูดถึงพาราณสี เราก็มักจะคิดถึงแม่น้ำคงคา, สถานที่สำคัญสุดท้ายของชีวิตคนฮินดู (สถานที่ประกอบพิธีฌาปนกิจ), พิธีบุชาไฟ แล้วยิ่งเป็นช่วงหน้าหนาว เราก็จะคิดไปว่าเราจะได้ล่องเรือในแม่น้ำคงคา ดูวิวข้างทางชิลๆ จิบชายามเช้า ซึ่งจริงๆแล้วประสบการณ์ที่เราเจอมาก็ไม่ได้แย่ไปซะหมด แต่การเริ่มทริปแบบนี้ก็ทำให้เราค่อยๆเรียนรู้ประเทศนี้ไปด้วย