พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 เกี่ยวกับป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ณ โรงแรมรินคำ จังหวัดเชียงใหม่
           “…สมควรที่จะปลูกแบบป่าสำหรับใช้ไม้หนึ่ง ป่าสำหรับใช้ผลหนึ่ง ป่าสำหรับใช้เป็นฟืนอย่างหนึ่ง อันนี้แจกออกไปเป็นกว้างๆใหญ่ๆ การที่จะปลูกต้นไม้สำหรับได้ประโยชน์ดังนี้ ในคำวิเคราะห์ของกรมป่าไม้ รู้สึกว่าจะไม่ใช่ป่าไม้ จะเป็นสวนมากกว่าเป็นป่าไม้ แต่ว่าในความหมายของการช่วยเพื่อต้นน้ำลำธารนั้น ป่าไม้เช่นนี้จะเป็นสวนผลไม้ก็ตาม หรือเป็นสวนไม้ฟืนก็ตาม นั่นแหละเป็นป่าไม้ที่ถูกต้อง เพราะทำหน้าที่เป็นป่า คือเป็นต้นไม้และทำหน้าที่เป็นทรัพยากรในด้านสำหรับเป็นผลที่มาเป็นประโยชน์แก่ประชาชนได้…”

น้อมนำคำสอนของพ่อปลูกลงดินให้งอกงามเราจะสร้างป่า3อย่างให้ได้ประโยชน์4อย่าง ป่าเศรษฐกิจ ป่ากินได้ ป่าใช้สอย เพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำสร้างความมั่งคงให้แก่ครอบครัวจนงอกงามจากหนึ่งเป็นสองเป็นสามต่อๆไปไม่รู้จบ เมื่อต้นกล้าเบ่งบานเป็นไม้ใหญ่สร้างความมั่นคงร่มเย็นต่อไปอย่างยั่งยืน 
ป่าเศรษฐกิจ ปลูกไม้มีค่ามีความต้องการนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างแพร่หลายหวังผลในระยะยาวแต่ระยะกลางก็สามารถนำมาให้เกิดมูลค่าได้เช่นกัน จากเมล็ดพันธุ์ จากกิ่งก้าน เป็นต้น ไม้เหล่านี้ได้แก่ สักทอง ประดู่ป่า ประดู่แดง ยางนา ตะเคียน พยุง มะค่า ไม้แดง มะฮอกกานี กฤษณา
ป่ากินได้คือป่าที่ปลูกแล้วกินได้ทั้งใบและผลหรือต้นเช่น กล้วย ฝรั่ง ชมพู่ แคบ้าน แคนา ขี้เหล็ก มะตูม ฝาง ผักหวานป่า หมากเม่า มะกอก มะรุม ขนุน ส้ม ลำไย มะม่วง มะพร้าว ชะม่วง ติ้ว กาแฟ เชอร์รี่ มะนาว มะกรูด มะขาม มะขามป้อม มะยงชิด ละมุด ตะลิงปลิง มัลเบอรี่ ชะอมฯลฯ
ป่าใช้สอยเช่นไผ่ ไม้โตเร็วตะกู กระถินเทพา ยูคาลิปตัส กระถินเทพณรงค์ 
ต่อจากตอนที่แล้ว
https://ppantip.com/topic/39466859/comment2