(รูปที่เจดีย์กุโสดอว์ รายละเอียดใน EP 2จ้า
https://ppantip.com/topic/39462475/comment2)
รีวิวนี้เราจะพาเพื่อนสายบุญ หรือเพื่อนสายคูลๆ ไปเที่ยวพุกามและมัณฑะเลย์กันคะ ไปสัมผัสวัฒนธรรม ของเพื่อนบ้านเราที่ประเทศพม่าสายบุญหรือคูลขนาดไหน ตามมาเลยคะ
ทริปนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้เยือนประเทศพม่า ก่อนจะไปเราก็คิดไปต่างๆนาๆว่า ไปพม่ามันจะดีหรอวะ มันจะปลอดภัยไหม จะลำบากหรือกันดานขนาดไหน สารพัดจะคิดอะ ดังนั้นเราเลยชวนกันไปทั้งบ้านเลยคะ เพื่อนร่วมทริปนี้จึงมีทั้งหมด 6 คนคะ
( รูปจากเจดีย์ชินพิวเม รายละเอียดใน EP2
https://ppantip.com/topic/39462475/comment2 )
ถ้าใครเคยอ่านรีวิวอื่นๆของมี้ ส่วนใหญ่ไม่ขับรถเองก็เช่ารถพร้อมคนขับ นั่งไปสวยๆตลอดทริป เราไม่ค่อยชอบต่อรถเพราะสมบัติบ้าเราเยอะ แล้วก็ขี้ร้อนด้วย ไปพม่าคราวนี้เราเลยเหมารถพร้อมคนขับ
(ทำไมต้องเหมารถ ทำไมไม่ขับเอง: ที่พม่าวิ่งกันคนละเลนส์กับบ้านเรา ไม่ถนัดเราก็ไม่อยากเสี่ยง ก่อนจะไปเราเคยสงสัยว่าคนที่ พุกามหรือคนที่มัณฑะเลย์พูดภาษาอังกฤษหรือพูดภาษาไทยกันแน่ แต่พอไปถึงถึงบางอ้อเลยคะ คนที่นั่นส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เพราะฉะนั้นไปกับคนขับรถ ที่เป็นทั้งไกด์และคนขับเนี่ยดีสุดละ ปลอดภัย มีคนช่วยแปลให้พร้อม ไม่ต้องพูดกันให้เมื่อยมือ)
การเดินทางสำหรับทริปนี้: เราเดินทางไปกับสายการบิน Air Asia จองผ่าน Expedia.com เราออกเดินทางจากภูเก็ต – ดอนเมือง – มัณฑะเลย์ (บินจากดอนเมืองไปมัณฑะเลย์ใช้เวลา 1:45 นาที) ออกจากภูเก็ต 8.00 น.ถึงพม่า 12.00 น. ที่ประเทศพม่าจะช้ากว่าเราครึ่งชั่วโมงคะ
ทริปนี้เหมารถไปกับ บริษัท GBG – Face book “GBG Travels & Tours, Car Rental Service Mandalay” เหมารถพร้อมคนขับ เดินทางทั้งหมด 6 วัน ซึ่งเดินทางตั้งแต่วันที่ 25- 30 กันยายน 2562 ทั้งหมด 6 คน เราได้รถเป็น Toyata Alphard มาพร้อมกับคนขับสุดหล่อ ใจดี แถมเก่งภาษาอังกฤษด้วยคะ ชื่อ Sai Lao ค่ารถและค่าตัวคนขับทั้งหมดราคา 595,000 จ๊าต (คิดเป็นเงินไทย 11,750 บาท หารกัน 6 คน ตกคนละ 1,958 บาท ราคานี้รวมค่าน้ำมัน ค่าจอดรถ ค่าทางผ่าน ค่าที่พักคนขับรถหมดแล้ว และให้บริการเราตั้งแต่ 7.30 – 20.00 น.)
(รูปจากวิหารมหาอ่องมเยบองซาน รายละเอียดใน EP2
https://ppantip.com/topic/39462475/comment2 )
รถที่ได้คล้าย mini van นั่งสบาย
ก่อนจะตามไปดูว่าเราไปไหนบ้าง ขอเกริ่นก่อนว่า ทริปนี้เราบินตามไปทีหลัง ในวันที่ 26 เพราะฉะนั่นเราจะรีวิวได้แค่ 5 วัน (เดียวเพื่อนๆสงสัยว่าไหนบอกว่าเหมารถไป 6 วัน) ส่วนวันที่ 25 ครอบครัวเราเค้าตั้งใจไปล้างหน้าพระมหามัยมุนีกัน
เราแวะตลาดก่อนเข้าภูเขาโปปา แปลกที่เค้าเอาดอกจำปามาใส่ขวดโหลไว้ แอบสงสัยว่าเอาไปไหว้พระหรอ แต่จริงๆ เค้าเอาไว้เป็นของที่ระลึกไว้ประดับตกแต่งบ้านคะ
ภาพจากภูเขาโปปา Popa Mountain
DAY 1 : เรามาถึงที่ มัณฑะเลย์ตอน เที่ยงกว่าๆ มุ่งหน้าไปพุกามเลยคะ ใช้เวลาเดินทางเกือบๆ 4 ชั่วโมง ระหว่างทางแวะเที่ยว ภูเขาโปปา Popa Mountain ซึ่งเป็นที่สถิตของมหาคีรีนัตของพุกาม มีทั้งหมด 37 นัต
(นัต หรือ มินนัต เป็น วิญญาณ ภูตผี ของผู้ที่เสียชีวิตจากการถูกฆ่า ถูกทรมานแล้ววิญญาณมาปรากฏกายให้เห็น ซึ่ง สมัยก่อนชาวบ้านนับถือผีกัน จึงได้ตั้งศาลเพื่อให้เป็นสิริมงคลให้คุ้มครองตนและครอบครัว ต่อมาในยุคที่ศาสนาเข้ามาพระเจ้าอโนรธามังช่อ ได้ยกให้เป็นนัตหลวง สร้างรวมกันทั้ง 37 นัตไว้ที่ภูเขาโปปา)
มีลิงตลอดทางขึ้นเขาเลยให้ระวังสัมภาระที่ถือมาด้วยนะคะ แม่เราลิงโดดใส่หัว ขโมยแว่นตาไปด้วย คนที่เค้าดูแลสถานที่ เค้าช่วยเอาอาหารไปล่อให้ลิงคืนของ มันก็คืนมาจริงๆนะคุณ คืนมาแต่เลนส์แว่นคะ!! (คืนมาทำไม!!!)
ด้านในแต่ละชั้นจะมีรูปปั้นของนัตต่างๆ
วิวจากด้านบนคะ
มาทำไมภูเขาโปปา สำหรับเราก็ดีตรงที่ได้มาดูความเชื่อของคนที่นี่ ได้รู้ว่านัตเป็นแบบนี้เอง ดูความเป็นอยู่ของชาวบ้าน และวิวด้านบนสวยดีด้วยคะ อีกด้านที่เราไม่ค่อยชอบตรงที่ลิงเจ้าถิ่นเยอะมาก แต่มันก็ไม่ได้ดูน่ากลัวอย่างลิงบ้านเราที่เขี้ยวยาวๆ ที่นี้ตัวมันจะเล็กๆน่ารัก (ไม่ต้องมายิ้มทักชั้นก็ได้ คือเรากลัวลิง และลิงก็กลัวเรา ที่บ้านเราบอกว่าอย่าไปสนใจมัน มันจะไม่สนใจเรา เราและลิงก็เลยแกล้งทำเป็นไม่สนใจกัน ในขณะเดียวกัน สายตาที่แอบมองก็จ้องมองกัน พลาง!! วิ่งก็ไม่ได้ )
ที่พักของเราคืนนี้ La Casa Di Bagan Nan Eain Thu Hotel เราจอง 2 ห้อง นอนได้ 6 คน ทั้งหมดในราคา 1,496 บาท (คนนึง 250 บาทถูกมากกก) ราคานี้ได้อาหารเช้าด้วยนะคะ โดยส่วนตัวเราว่าห้องอาจจะเก่าไปนิดนึง แต่เรานอนแค่เปลบเดียว เพราะเราจะตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่เค้าก็มีข้อดีตรงอาหารเช้าอร่อยกว่าที่อื่นเนี่ยสิ
ถ้าท้องว่างเราจะนอนไม่หลับ ออกไปหาอะไรทานแถวๆโรงแรม โดยพาพี่ Sai Lao คนขับของเราไปกินด้วย ที่ร้าน Shar Le Le Tea House เหมือนร้านน้ำชาบ้านเรา ขายอาหารจำพวก โรตี ปอเปี๊ยะ แล้วก็พวกคล้ายๆหมี่ผัด ส่วนร้านข้างๆมีไก่บ้านย่างขายด้วย
กินกันไปเยอะมาก ทั้งหมด 12,100 จ๊าต(คิดเป็นเงินไทย 238 บาท) เมืองไทยสามร้อยกิน 2 คนยังไม่อิ่ม นิกินกันตั้ง 7 คนแนะอิ่มมากพูดเลย
Day 2:
เราให้โรงแรมเป็นคนโทรติดต่อรถม้าให้ นัดมารับตี 5.00 น. (เช้ามาก) จริงๆถ้าไปให้ทันเห็นพระอาทิตย์กำลังขึ้น ไปเวลานี้เกือบจะไม่ทันเพราะ ระยะทางค่อนข้างไกล ประมาณสิบกว่าโลได้ มันก็มีจังหวะที่ม้าเมื่อย ก็จะวิ่งไปเรื่อยๆตามอารมณ์ (เสียดายเดือนที่เราไป บอลลูนเค้ายังไม่อนุญาตให้ขึ้น เค้าบอกว่าขึ้นได้ในช่วงเดือน ตุลาคม เป็นต้นไป ถ้ามาตอนบอลลูนขึ้นจะได้บรรยากาศไปอีกแบบ)
ทำไมต้องนั่งรถม้า ตอนแรกก็สงสารม้านะ ตัวนิดเดียวต้องมาลากพวกเราตัวใหญ่ๆ แต่มันคืออาชีพของชาวบ้านที่นี้คะ ก็ถือว่าอุดหนุนเค้า คนขับรถม้าบอกเราว่าพวกเค้าทำอาชีพนี้กันมากว่า 80 ปีแล้ว เป็นธุรกิจสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นประมาณนั้น พอนั่งๆไปก็เริ่มชิน คิดว่าม้าก็คงชินเหมือนกัน ก็วิ่งแบบนี้ทุกวัน เค้าบอกว่าต้องพาม้ามาออกกำลังกายไม่งั้นมันจะไม่สบาย อะพาน้องมาทำงานไปด้วยออกกำลังกายด้วย ช่วนหาเงินให้เจ้าของ ม้าเองจะได้กินอิ่ม
ราคารถม้า ปกติคันนึงนั่งได้แค่ 2 คน ราคา 25,000 จ๊าต (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 495 บาท) แต่เค้าใจดีเห็นว่าเราเป็นคนไทย ให้เรานั่ง 3 คน แต่มันไม่ดีเลยม้าจะหนักและเหนื่อย (สงสาร) ถ้าช่วงฝนตก เป็นหลุมน้ำ ติดหล่มลำบากหน่อย
บรรยากาศระหว่างทาง พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น สวยมากคะ (เมื่อก่อนเค้าอนุญาตให้นักท่องเที่ยวปีนขึ้นไปดูพระอาทิตย์จากบนเจดีย์ได้ แต่ตอนนี้เค้าไม่ให้ปีนขึ้นไปแล้วคะ)
ทางจะเป็นดินแดงหน่อย ถ้าไม่อยากนั่งรถม้า เปลี่ยนเป็นเช่ามอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าขี่ก็ได้คะ แต่ถ้าขี่ไม่ถนัดเราก็ไม่แนะนำ เพราะทางมันดูลื่นๆ หรือไม่ก็นั่งรถยนต์มาก็ได้เหมือนกัน แต่จะไม่ได้บรรยากาศย้อนยุคเหมือนกับการนั่งรถม้า
วันที่ 2 ของเราสัมผัสได้เลยว่าคนที่นี้น่ารักมาก แล้วพวกเค้าก็ชอบคนไทยมาก พอรู้ว่าเราเป็นคนไทยนะจะบริการอย่างดีเลย มันลบความคิดของเราไปเลยอะว่ามาพม่าจะปลอดภัยรึเปล่า จิตใจคนที่นี้ดีเหมือนคนไทยชนบทเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เค้ามีน้ำใจกับเราเยอะเลย ซึ่งจะแตกต่างกับพม่าที่เราเห็นที่บ้านเราคนละขั่วเลยคะ)
เนินภูเขาเตี้ยๆนี้ หรือ Nyaung Lat Phet Kan Hill เป็นจุดชมวิวที่ทางการอนุญาตให้มาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นี้ เมื่อก่อนคนจะขึ้นไปชมได้จากบนยอดเจดีย์แต่ตอนนี้เจดีย์หลายๆที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว เพื่อความปลอดภัยทางการจึงไม่อนุญาตให้ปีนขึ้นไป และเปิด Nyuang ขึ้นเป็นจุดชมวิวแทน
แสงเช้าของวันนี้ เรามาถึงช้าไปนิดนึง พระอาทิตย์ขึ้นไปเรียบร้อย แต่แสงที่กระทบเจดีย์และน้ำยังคงสวยอยู่ดี
มุมเดิมได้หลายรูป ถ่ายทันฝูงนกด้วย ให้ความรู้สึกถึงธรรมชาติ ชนบทๆ ดีอะ
หันมาอีกด้านจะเป็นวิวทุ่งนาให้อีกอารมณ์นึง ว่าทำไมเห็นพวกนักเล่นกล้อง ถึงยืนกันได้เป็นนานสองนาน มันสวยและมีเส่นห์มากเลยคะ ทุ่งเจดีย์ สวยกว่าที่กล้องเราจะเก็บมาหมด สมกับเป็นเมืองแห่งทุ่งเจดีย์
ตอนแรกเราจะไม่แวะวัดนี้ เพราะเห็นยอดเจดีย์แหว่ง (น่าจะเป็นผลตอนที่แผ่นดินไหวตอนนี้เค้ากำลังบูรณะอยู่คะ) วัดนี้ชื่อ Sulamani Temple เราชอบวัดนี้มาก ตรงที่เป็นวัดใหญ่ด้านในสวยงาม แล้วก็ถ่ายรูปมุมไหนก็สวยอะ
คือมันดีอะ ดูความประณีตของขอบประตู ลวดลายที่อยู่ตรงกำแพง มันผสมความเป็นไทยและขอมเข้าด้วยกันอะ โครตมีเสน่ห์เลย
อีกวัดที่เราแวะคือ Bagan Pagoda เราชอบวัดนี้ตรงที่พระพุทธรูปที่อยู่ด้านในดูสวยงดงามกว่าวัดอื่นๆที่เราไปมา รวมไปถึงจิตรกรรมฝาผนังวิจิตรงดงามจัง มันบ่งบอกถึงความปราณีตความตั้งใจในการสร้างวัดมากเลยคะ ส่วนผนังที่แหว่งๆเสียหายเป็นผลมาจากแผ่นดินไหว
(ปล. เพื่อนคนไหนชอบใส่ผ้าใบไปเที่ยวแต่สำหรับทริปนี้เราแนะนำให้ใส่รองเท้าแตะนะ เพราะต้องถอดรองเท้า เข้าๆออกๆวัดบ่อยมาก แล้วต้องถอดทิ้งไว้ที่ด้านหน้าวัด เราเคยจะใส่ถุงหรือ ถือหิ้วไปในวัดที่มีตำรวจยืนเฝ้าเค้าไม่ให้หิ้วเข้าไป เค้าถือว่ารองเท้าเป็นของสกปรก เป็นของต่ำ ไม่ให้เอาเข้าไปในวัด)
ภาพจากวัดเจดีย์วิหารธรรมยางจี (Dhammayangi Pagoda)
จริงแล้วเจดีย์นี้ไม่ค่อยจะวิจิตรสวยงามอย่างเจดีย์อื่นๆ ด้านในจะดูอัปๆหน่อย ภายในยังสร้างไม่ทันเสร็จ พระเจ้านรปติสิธูสิ้นพระชนม์ก่อน
[img]
https://f.ptcdn.info/153/067/000/q1y3xs6iciL0EP38wPdW
[CR] เที่ยวพุกาม มัณฑะเลย์ เที่ยวสบายๆ สายบุญ สายคูล สายไหนก็ได้
(รูปที่เจดีย์กุโสดอว์ รายละเอียดใน EP 2จ้า https://ppantip.com/topic/39462475/comment2)
รีวิวนี้เราจะพาเพื่อนสายบุญ หรือเพื่อนสายคูลๆ ไปเที่ยวพุกามและมัณฑะเลย์กันคะ ไปสัมผัสวัฒนธรรม ของเพื่อนบ้านเราที่ประเทศพม่าสายบุญหรือคูลขนาดไหน ตามมาเลยคะ
ทริปนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้เยือนประเทศพม่า ก่อนจะไปเราก็คิดไปต่างๆนาๆว่า ไปพม่ามันจะดีหรอวะ มันจะปลอดภัยไหม จะลำบากหรือกันดานขนาดไหน สารพัดจะคิดอะ ดังนั้นเราเลยชวนกันไปทั้งบ้านเลยคะ เพื่อนร่วมทริปนี้จึงมีทั้งหมด 6 คนคะ
( รูปจากเจดีย์ชินพิวเม รายละเอียดใน EP2 https://ppantip.com/topic/39462475/comment2 )
ถ้าใครเคยอ่านรีวิวอื่นๆของมี้ ส่วนใหญ่ไม่ขับรถเองก็เช่ารถพร้อมคนขับ นั่งไปสวยๆตลอดทริป เราไม่ค่อยชอบต่อรถเพราะสมบัติบ้าเราเยอะ แล้วก็ขี้ร้อนด้วย ไปพม่าคราวนี้เราเลยเหมารถพร้อมคนขับ
(ทำไมต้องเหมารถ ทำไมไม่ขับเอง: ที่พม่าวิ่งกันคนละเลนส์กับบ้านเรา ไม่ถนัดเราก็ไม่อยากเสี่ยง ก่อนจะไปเราเคยสงสัยว่าคนที่ พุกามหรือคนที่มัณฑะเลย์พูดภาษาอังกฤษหรือพูดภาษาไทยกันแน่ แต่พอไปถึงถึงบางอ้อเลยคะ คนที่นั่นส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เพราะฉะนั้นไปกับคนขับรถ ที่เป็นทั้งไกด์และคนขับเนี่ยดีสุดละ ปลอดภัย มีคนช่วยแปลให้พร้อม ไม่ต้องพูดกันให้เมื่อยมือ)
การเดินทางสำหรับทริปนี้: เราเดินทางไปกับสายการบิน Air Asia จองผ่าน Expedia.com เราออกเดินทางจากภูเก็ต – ดอนเมือง – มัณฑะเลย์ (บินจากดอนเมืองไปมัณฑะเลย์ใช้เวลา 1:45 นาที) ออกจากภูเก็ต 8.00 น.ถึงพม่า 12.00 น. ที่ประเทศพม่าจะช้ากว่าเราครึ่งชั่วโมงคะ
ทริปนี้เหมารถไปกับ บริษัท GBG – Face book “GBG Travels & Tours, Car Rental Service Mandalay” เหมารถพร้อมคนขับ เดินทางทั้งหมด 6 วัน ซึ่งเดินทางตั้งแต่วันที่ 25- 30 กันยายน 2562 ทั้งหมด 6 คน เราได้รถเป็น Toyata Alphard มาพร้อมกับคนขับสุดหล่อ ใจดี แถมเก่งภาษาอังกฤษด้วยคะ ชื่อ Sai Lao ค่ารถและค่าตัวคนขับทั้งหมดราคา 595,000 จ๊าต (คิดเป็นเงินไทย 11,750 บาท หารกัน 6 คน ตกคนละ 1,958 บาท ราคานี้รวมค่าน้ำมัน ค่าจอดรถ ค่าทางผ่าน ค่าที่พักคนขับรถหมดแล้ว และให้บริการเราตั้งแต่ 7.30 – 20.00 น.)
(รูปจากวิหารมหาอ่องมเยบองซาน รายละเอียดใน EP2 https://ppantip.com/topic/39462475/comment2 )
รถที่ได้คล้าย mini van นั่งสบาย
ก่อนจะตามไปดูว่าเราไปไหนบ้าง ขอเกริ่นก่อนว่า ทริปนี้เราบินตามไปทีหลัง ในวันที่ 26 เพราะฉะนั่นเราจะรีวิวได้แค่ 5 วัน (เดียวเพื่อนๆสงสัยว่าไหนบอกว่าเหมารถไป 6 วัน) ส่วนวันที่ 25 ครอบครัวเราเค้าตั้งใจไปล้างหน้าพระมหามัยมุนีกัน
เราแวะตลาดก่อนเข้าภูเขาโปปา แปลกที่เค้าเอาดอกจำปามาใส่ขวดโหลไว้ แอบสงสัยว่าเอาไปไหว้พระหรอ แต่จริงๆ เค้าเอาไว้เป็นของที่ระลึกไว้ประดับตกแต่งบ้านคะ
ภาพจากภูเขาโปปา Popa Mountain
DAY 1 : เรามาถึงที่ มัณฑะเลย์ตอน เที่ยงกว่าๆ มุ่งหน้าไปพุกามเลยคะ ใช้เวลาเดินทางเกือบๆ 4 ชั่วโมง ระหว่างทางแวะเที่ยว ภูเขาโปปา Popa Mountain ซึ่งเป็นที่สถิตของมหาคีรีนัตของพุกาม มีทั้งหมด 37 นัต
(นัต หรือ มินนัต เป็น วิญญาณ ภูตผี ของผู้ที่เสียชีวิตจากการถูกฆ่า ถูกทรมานแล้ววิญญาณมาปรากฏกายให้เห็น ซึ่ง สมัยก่อนชาวบ้านนับถือผีกัน จึงได้ตั้งศาลเพื่อให้เป็นสิริมงคลให้คุ้มครองตนและครอบครัว ต่อมาในยุคที่ศาสนาเข้ามาพระเจ้าอโนรธามังช่อ ได้ยกให้เป็นนัตหลวง สร้างรวมกันทั้ง 37 นัตไว้ที่ภูเขาโปปา)
มีลิงตลอดทางขึ้นเขาเลยให้ระวังสัมภาระที่ถือมาด้วยนะคะ แม่เราลิงโดดใส่หัว ขโมยแว่นตาไปด้วย คนที่เค้าดูแลสถานที่ เค้าช่วยเอาอาหารไปล่อให้ลิงคืนของ มันก็คืนมาจริงๆนะคุณ คืนมาแต่เลนส์แว่นคะ!! (คืนมาทำไม!!!)
ด้านในแต่ละชั้นจะมีรูปปั้นของนัตต่างๆ
วิวจากด้านบนคะ
มาทำไมภูเขาโปปา สำหรับเราก็ดีตรงที่ได้มาดูความเชื่อของคนที่นี่ ได้รู้ว่านัตเป็นแบบนี้เอง ดูความเป็นอยู่ของชาวบ้าน และวิวด้านบนสวยดีด้วยคะ อีกด้านที่เราไม่ค่อยชอบตรงที่ลิงเจ้าถิ่นเยอะมาก แต่มันก็ไม่ได้ดูน่ากลัวอย่างลิงบ้านเราที่เขี้ยวยาวๆ ที่นี้ตัวมันจะเล็กๆน่ารัก (ไม่ต้องมายิ้มทักชั้นก็ได้ คือเรากลัวลิง และลิงก็กลัวเรา ที่บ้านเราบอกว่าอย่าไปสนใจมัน มันจะไม่สนใจเรา เราและลิงก็เลยแกล้งทำเป็นไม่สนใจกัน ในขณะเดียวกัน สายตาที่แอบมองก็จ้องมองกัน พลาง!! วิ่งก็ไม่ได้ )
ที่พักของเราคืนนี้ La Casa Di Bagan Nan Eain Thu Hotel เราจอง 2 ห้อง นอนได้ 6 คน ทั้งหมดในราคา 1,496 บาท (คนนึง 250 บาทถูกมากกก) ราคานี้ได้อาหารเช้าด้วยนะคะ โดยส่วนตัวเราว่าห้องอาจจะเก่าไปนิดนึง แต่เรานอนแค่เปลบเดียว เพราะเราจะตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่เค้าก็มีข้อดีตรงอาหารเช้าอร่อยกว่าที่อื่นเนี่ยสิ
ถ้าท้องว่างเราจะนอนไม่หลับ ออกไปหาอะไรทานแถวๆโรงแรม โดยพาพี่ Sai Lao คนขับของเราไปกินด้วย ที่ร้าน Shar Le Le Tea House เหมือนร้านน้ำชาบ้านเรา ขายอาหารจำพวก โรตี ปอเปี๊ยะ แล้วก็พวกคล้ายๆหมี่ผัด ส่วนร้านข้างๆมีไก่บ้านย่างขายด้วย
กินกันไปเยอะมาก ทั้งหมด 12,100 จ๊าต(คิดเป็นเงินไทย 238 บาท) เมืองไทยสามร้อยกิน 2 คนยังไม่อิ่ม นิกินกันตั้ง 7 คนแนะอิ่มมากพูดเลย
Day 2:
เราให้โรงแรมเป็นคนโทรติดต่อรถม้าให้ นัดมารับตี 5.00 น. (เช้ามาก) จริงๆถ้าไปให้ทันเห็นพระอาทิตย์กำลังขึ้น ไปเวลานี้เกือบจะไม่ทันเพราะ ระยะทางค่อนข้างไกล ประมาณสิบกว่าโลได้ มันก็มีจังหวะที่ม้าเมื่อย ก็จะวิ่งไปเรื่อยๆตามอารมณ์ (เสียดายเดือนที่เราไป บอลลูนเค้ายังไม่อนุญาตให้ขึ้น เค้าบอกว่าขึ้นได้ในช่วงเดือน ตุลาคม เป็นต้นไป ถ้ามาตอนบอลลูนขึ้นจะได้บรรยากาศไปอีกแบบ)
ทำไมต้องนั่งรถม้า ตอนแรกก็สงสารม้านะ ตัวนิดเดียวต้องมาลากพวกเราตัวใหญ่ๆ แต่มันคืออาชีพของชาวบ้านที่นี้คะ ก็ถือว่าอุดหนุนเค้า คนขับรถม้าบอกเราว่าพวกเค้าทำอาชีพนี้กันมากว่า 80 ปีแล้ว เป็นธุรกิจสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นประมาณนั้น พอนั่งๆไปก็เริ่มชิน คิดว่าม้าก็คงชินเหมือนกัน ก็วิ่งแบบนี้ทุกวัน เค้าบอกว่าต้องพาม้ามาออกกำลังกายไม่งั้นมันจะไม่สบาย อะพาน้องมาทำงานไปด้วยออกกำลังกายด้วย ช่วนหาเงินให้เจ้าของ ม้าเองจะได้กินอิ่ม
ราคารถม้า ปกติคันนึงนั่งได้แค่ 2 คน ราคา 25,000 จ๊าต (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 495 บาท) แต่เค้าใจดีเห็นว่าเราเป็นคนไทย ให้เรานั่ง 3 คน แต่มันไม่ดีเลยม้าจะหนักและเหนื่อย (สงสาร) ถ้าช่วงฝนตก เป็นหลุมน้ำ ติดหล่มลำบากหน่อย
บรรยากาศระหว่างทาง พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น สวยมากคะ (เมื่อก่อนเค้าอนุญาตให้นักท่องเที่ยวปีนขึ้นไปดูพระอาทิตย์จากบนเจดีย์ได้ แต่ตอนนี้เค้าไม่ให้ปีนขึ้นไปแล้วคะ)
ทางจะเป็นดินแดงหน่อย ถ้าไม่อยากนั่งรถม้า เปลี่ยนเป็นเช่ามอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าขี่ก็ได้คะ แต่ถ้าขี่ไม่ถนัดเราก็ไม่แนะนำ เพราะทางมันดูลื่นๆ หรือไม่ก็นั่งรถยนต์มาก็ได้เหมือนกัน แต่จะไม่ได้บรรยากาศย้อนยุคเหมือนกับการนั่งรถม้า
วันที่ 2 ของเราสัมผัสได้เลยว่าคนที่นี้น่ารักมาก แล้วพวกเค้าก็ชอบคนไทยมาก พอรู้ว่าเราเป็นคนไทยนะจะบริการอย่างดีเลย มันลบความคิดของเราไปเลยอะว่ามาพม่าจะปลอดภัยรึเปล่า จิตใจคนที่นี้ดีเหมือนคนไทยชนบทเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เค้ามีน้ำใจกับเราเยอะเลย ซึ่งจะแตกต่างกับพม่าที่เราเห็นที่บ้านเราคนละขั่วเลยคะ)
เนินภูเขาเตี้ยๆนี้ หรือ Nyaung Lat Phet Kan Hill เป็นจุดชมวิวที่ทางการอนุญาตให้มาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นี้ เมื่อก่อนคนจะขึ้นไปชมได้จากบนยอดเจดีย์แต่ตอนนี้เจดีย์หลายๆที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว เพื่อความปลอดภัยทางการจึงไม่อนุญาตให้ปีนขึ้นไป และเปิด Nyuang ขึ้นเป็นจุดชมวิวแทน
แสงเช้าของวันนี้ เรามาถึงช้าไปนิดนึง พระอาทิตย์ขึ้นไปเรียบร้อย แต่แสงที่กระทบเจดีย์และน้ำยังคงสวยอยู่ดี
มุมเดิมได้หลายรูป ถ่ายทันฝูงนกด้วย ให้ความรู้สึกถึงธรรมชาติ ชนบทๆ ดีอะ
หันมาอีกด้านจะเป็นวิวทุ่งนาให้อีกอารมณ์นึง ว่าทำไมเห็นพวกนักเล่นกล้อง ถึงยืนกันได้เป็นนานสองนาน มันสวยและมีเส่นห์มากเลยคะ ทุ่งเจดีย์ สวยกว่าที่กล้องเราจะเก็บมาหมด สมกับเป็นเมืองแห่งทุ่งเจดีย์
ตอนแรกเราจะไม่แวะวัดนี้ เพราะเห็นยอดเจดีย์แหว่ง (น่าจะเป็นผลตอนที่แผ่นดินไหวตอนนี้เค้ากำลังบูรณะอยู่คะ) วัดนี้ชื่อ Sulamani Temple เราชอบวัดนี้มาก ตรงที่เป็นวัดใหญ่ด้านในสวยงาม แล้วก็ถ่ายรูปมุมไหนก็สวยอะ
คือมันดีอะ ดูความประณีตของขอบประตู ลวดลายที่อยู่ตรงกำแพง มันผสมความเป็นไทยและขอมเข้าด้วยกันอะ โครตมีเสน่ห์เลย
อีกวัดที่เราแวะคือ Bagan Pagoda เราชอบวัดนี้ตรงที่พระพุทธรูปที่อยู่ด้านในดูสวยงดงามกว่าวัดอื่นๆที่เราไปมา รวมไปถึงจิตรกรรมฝาผนังวิจิตรงดงามจัง มันบ่งบอกถึงความปราณีตความตั้งใจในการสร้างวัดมากเลยคะ ส่วนผนังที่แหว่งๆเสียหายเป็นผลมาจากแผ่นดินไหว
(ปล. เพื่อนคนไหนชอบใส่ผ้าใบไปเที่ยวแต่สำหรับทริปนี้เราแนะนำให้ใส่รองเท้าแตะนะ เพราะต้องถอดรองเท้า เข้าๆออกๆวัดบ่อยมาก แล้วต้องถอดทิ้งไว้ที่ด้านหน้าวัด เราเคยจะใส่ถุงหรือ ถือหิ้วไปในวัดที่มีตำรวจยืนเฝ้าเค้าไม่ให้หิ้วเข้าไป เค้าถือว่ารองเท้าเป็นของสกปรก เป็นของต่ำ ไม่ให้เอาเข้าไปในวัด)
ภาพจากวัดเจดีย์วิหารธรรมยางจี (Dhammayangi Pagoda)
จริงแล้วเจดีย์นี้ไม่ค่อยจะวิจิตรสวยงามอย่างเจดีย์อื่นๆ ด้านในจะดูอัปๆหน่อย ภายในยังสร้างไม่ทันเสร็จ พระเจ้านรปติสิธูสิ้นพระชนม์ก่อน
[img]https://f.ptcdn.info/153/067/000/q1y3xs6iciL0EP38wPdW
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้