ตอนนี้คือวันที่ 11 ตุลาคม 2562 เวลา 12.00 น. ทริปคันไซกำลังจะเริ่มต้น... เราเพิ่งตื่นนอนและกำลังเตรียมตัวออกจากบ้านเพื่อไปสนามบิน เราอยู่ในญี่ปุ่นนี่แหละแต่เป็นทางใต้ ฟ้าสดใส พายุไม่เฉียดมาเลย จริงๆเรารู้เรื่องพายุฮากิบิสตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เช็คพยากรณ์อากาศบ่อยๆและถึงแม้แถบคันไซจะไม่ได้โดนพายุโดยตรง แต่เราก็ภาวนาขอให้สถานการณ์ไม่เลวร้ายไปมากกว่านี้และภาวนาสุดๆว่าขออย่าให้ทริปนี้ล่ม...
เวลาบ่ายโมงกว่าๆเราก็ได้รับอีเมลจากทางสายการบินด้วยข้อความว่า ``Your flight was cancelled `` TT
เราขอตั้งสติด้วยการออกไปซื้อกาแฟแก้วหนึ่งก่อนกลับมานั่งแหมะหน้าคอมพิวเตอร์ตัวเก่า หัวสมองมึนตึ๊บ! เรารีบหาไฟลท์ที่ยังไม่ถูกแคนเซิล ซึ่งไฟลท์ที่ยังสามารถจองได้คือคืนวันนี้ตอนประมาณสี่ทุ่ม แต่ถ้าจองไปแล้วดันโดนแคนเซิลมันก็ซ้ำรอยเดิมดิ? คิด คิด คิด คิด คิด คิดดดดด ถ้าเดินทางบนฟ้าไม่ได้ งั้นบนดินละกัน นิ้วมือเราพิมพ์รัวๆรีบหารถไฟชินกันเซ็นและพบว่ายังรถไฟยังวิ่งอยู่ เรารีบปิดคอมฯแล้วลากกระเป๋าออกจากบ้านทันที ใจเต้นตึกๆรีบวิ่งไปยังสถานีรถไฟชินกังเซ็น ถ้าบอกว่าเสี่ยงไหมก็คิดว่าเสี่ยงมากๆ แข่งกับฟ้ากับฝนยังพอทนแต่นี่พายุ ถ้าสาวเท้าช้ากว่านี้มีหวังรถไฟจะต้องหยุดวิ่งอย่างแน่นอน ส่วนเหตุผลที่เราต้องรีบไปวันนี้เพราะเราต้องไปรอรับเพื่อนๆจะมาถึงญี่ปุ่นในวันพรุ่งนี้ ทั้งนี้เราก็เช็คกับเพื่อนแล้วว่าเที่ยวบินจากไทยยังไม่มีประกาศอะไรออกมา ....
วิ่ง วิ่ง วิ่ง แล้วก็วิ่ง สุดท้ายก็ถึงสถานีรถไฟ เรารีบซื้อตั๋วชินกังเซ็นที่ถูกที่สุด เป็นแบบไม่กำหนดที่นั่งราคาหกพันบาท ราคาสุดแสนจะเจ็บปวด ตั๋วชินกังเซ็นขาเดียวราคาเท่ากับตั๋วเครื่องบินไป-กลับเลย เฮ่อ.. แต่ก็นั่นแหละ เรารีบขึ้นไปบนรถไฟชินกังเซ็นแต่แล้วก็ไม่มีที่นั่ง... !! เฮ่ย!!! เราต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ ปกติชินกังเซ็นมันต้องมีที่ให้นั่งดิ ทำไมมันโบกี้ตั๋วไม่กำหนดที่นั่งมันเต็มทุกที่แบบนี้ แถมยังมีคนยืนอยู่ตามประตูเต็มเลย... เราถามคนข้างๆได้ความว่า ปกติก็สามารถนั่งได้เพียงแต่ว่าวันนี้คนเยอะก็เลยต้องยืนกันแบบนี้ อาจเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ด้วยแหละ คนกลับบ้านกันเยอะ
(เพิ่มราคาอีก 600 บาทจะได้ตั๋วแบบกำหนดที่นั่ง ซึ่งโบกี้นั้นที่ว่างเยอะมากๆ ถ้ามีสติกว่านี้ก็คงดี... )
หลังจากยืนเก้ๆกังๆแบบทรงตัวไม่ได้สักพัก ก็มีเสียงประกาศจากรถไฟชินกังเซ็นว่ารถไฟจะหยุดวิ่งตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป .... โอ้โห ถ้าเราตัดสินใจช้ากว่านี้อีกนิดเดียวก็คงติดแหง่กอยู่ที่บ้านพร้อมกับวันลาพักร้อนที่จะถูกใช้ไปแบบไม่มีประโยชน์ ผ่านไปไม่กี่สถานีเราก็ได้ที่นั่ง พร้อมทั้งส่งข้อความไปบอกเพื่อนที่ไทยว่าเราขึ้นรถไฟแล้วแต่อาจจะไปถึงโอซาก้าช้าหน่อย ผ่านไปประมาณ 1 ชม.... เราได้รับข้อความจากเพื่อนกลับมาว่าเที่ยวบินกรุงทพฯ-คันไซ ไฟลท์ดึกที่จองมาโดนเลื่อน ตึ่งตึง! เพื่อนบอกว่าจะนอนค้างที่กรุงเทพฯก่อนหนึ่งคืน จากนั้นเพื่อนก็รีบจัดการจองโรงแรมแถวสนามบินสุวรรณภูมิทันที เมื่อการเดินทางของทุกคนถูกเลื่อนออกไป ตัวเราเองก็ต้องจัดการแจ้งกับที่พักที่จะไปเช็คอินว่าเราจะเช็คอินกันช้าหน่อยและยังไม่ทราบเวลาที่แน่นอน เนื่องจากไฟลท์บินโดนเลื่อนและไม่รู้ว่าจะมาถึงกันเมื่อไร เราถึงโอซาก้าเรียบร้อยตามแพลนเดิมที่จะต้องมาแสตนบายนอนคนเดียวก่อนเพื่อนรอรับเพื่อนวันต่อไป จบคืนวันแรกทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แยกย้ายกันพักผ่อนเพื่อนที่จะลุ้นกันว่าการเดินทางในวันถัดไปจะเป็นอย่างไร
วันต่อมาในที่สุดก็ได้เดินทางเสียที...
เพื่อนส่งข้อความมาบอกว่าเดินทางถึงสุวรรณภูมิกันตั้งแต่เช้า หลังจากเช็คอินเสร็จเรียบร้อยก็เข้าไปนั่งรอในเกต สถานการณ์ตอนนี้ไม่มีใครคอนเฟิร์มอะไรได้เลย ไม่ชัวร์ว่าจะได้เดินทางตามเวลาหรือไม่ เมื่อมาคุยกับเพื่อนตอนหลัง เพื่อนบอกว่ามีคนญี่ปุ่นหลายคนที่ติดค้างอยู่ที่สนามบินเหมือนกัน น่าจะรอกลับบ้านที่ญี่ปุ่นแต่ยังไม่สามารถกลับได้ด้วยสภาวะอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย หน้าตาหลายๆคนเหนื่อยล้าและอิดโรย ... เราเองก็คิดว่าคงมีอีกหลายๆคนที่ได้รับผลกระทบในการเดินทางจากพายุในครั้งนี้ ผ่านเวลาไปไม่นานเพื่อนก็บอกว่ามีเจ้าหน้าที่เรียกให้ขึ้นเครื่องแล้ว เราเองก็ขอให้ทุกคนและทุกเที่ยวบินเดินทางโดยสวัสดิภาพ จากนั้นเราก็อัพเดทกับที่พักว่าเรากับเพื่อนจะถึงในช่วงๆค่ำๆและจะพยายามไปให้ทันเวลานัด เนื่องจากที่พักแห่งนี้ไม่ใช่ Self-check in เราก็เลยไม่สามารถเข้าห้องพักเองได้เลย อีกใจก็รู้สึกขอบคุณพนักงานมากๆที่นอกจากจะเข้าใจในความไม่สะดวกของเราแล้ว เขายังอวยพรให้เราระมัดระวังในการเดินทางและขอให้เราปลอดภัยในทุกครั้ง กลับมาที่พาร์ทของเราที่ต้องออกจากโฮสเทลที่จองไว้และนำกระเป๋าเดินทางของตนเองไปเก็บไว้ในล็อกเกอร์ที่สถานีนัมบะก่อน วันนั้น 12 ตุลาคม 2562 ฝนตกทั้งวัน เราเองก็ไม่อยากถือร่ม แนะนำให้ว่าถ้าไม่อยากเปียกฝนให้ลงไปเดินในชั้นใต้ดินค่ะ จะมีทางเดินลัดเลาะไป ทะลุไปยังห้างและที่อื่นๆมากมาย หรือถ้าไม่อยากเดินขึ้นไปด้านบนก็ช้อปปิ้งหรือหาอาหารทานภายในสถานีก็ได้ บอกก่อนว่าตรงนี้เราไม่จำเป็นต้องใช้บัตรรถไฟแตะเพื่อเข้าไปในสถานีนะคะ
19.30 น. เพื่อนๆที่มาจากไทยถึงสนามบินคันไซโดยสวัสดิภาพ แต่ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง เราชวนกันลากกระเป๋าแล้ววิ่ง วิ่ง วิ่ง!!! เพราะภารกิจของเราจะต้องออกเดินทางไปยังที่พักในจังหวัดเกียวโต ที่สำคัญเราต้องออกจากที่นี่ก่อนเวลา 20.00 น. เหตุก็เพราะมีป้ายติดไว้ว่ารถหลายสายจะหยุดวิ่งหลังจากสองทุ่มเป็นต้นไป TT แม้ว่าช่วงเวลาหนึ่งทุ่มเราจะลองถามเจ้าที่รถไฟแล้วว่าหลังสองทุ่มยังจะพอเดินทางได้ไหม ก็ไม่มีใครจะยืนยันอะไรได้เลย เพราะฝนฟ้าอากาศก็เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้จริงๆ อย่างไรก็ตามเราก็สามารถซื้อตั๋วและขึ้นรถไฟExpress คิตตี้น่ารักๆ ไปยังสถานีเกียวโตได้ทันเวลาในเที่ยว 19.46 น. ... เอาเป็นว่าคืนนี้ได้เข้าเช็คอินและเข้าพักได้อย่างรอดปลอดภัยไปอีกหนึ่งวัน
วันที่ 13 – 17 เราเที่ยวที่ไหนกันบ้างไปดู !!!
แนะนำเล็กๆน้อยๆสำหรับทริปนี้
1.
ทำประกันการเดินทางเถอะค่ะ นี่จองตั้งแต่ต้นปีไม่คิดหรอกว่าจะมีพายุ พอไฟลท์เราโดนแคนเซิลเราก็ขอคืนเงินได้เต็มจำนวน (*น่าจะขึ้นอยู่กับรายละเอียของแต่ละสายการบิน) ดีกว่าเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่ายจริงๆ ปกติเราไม่ซื้อประกันการเดินทางเลย แต่เห็นว่าทริปนี้ค่อนข้างใหญ่ก็เลยซื้อประกัน สุดท้ายก็ได้ใช้จริงๆ... ปล.เราทำเรื่องขอคืนเงินและได้รับเงินคืนเข้าบัตรเครดิตในยอดของเดือนถัดไปทันทีค่ะ รวดเร็วมากๆ
2.
เช็คอีเมลบ่อยๆโดยเฉพาะเมื่อใกล้ถึงวันเดินทาง เผื่อมีเหตุไม่คาดฝันเราจะได้เตรียมตัวได้ค่ะ
3.
กรณีโดนเลื่อนไฟลท์อะไรก็ไม่อุ่นใจเท่ากับได้คุยกับเจ้าหน้าที่สายการบิน ออกตัวว่าอันนี้ส่วนตัวมากๆอย่างเพื่อนเราที่ไทยก็ไปรอที่สุวรรณภูมิอย่างมีหวังเล็กๆ แม้จะเข้าใจว่าสุดท้ายอาจจะไม่ได้เดินทางแต่การเกาะติดสถานการณ์หรือถามเรื่องราวอัพเดทกับเคาเตอร์สายการบิน ก็ช่วยทำให้เราวางแผนได้ถูกว่าเราจะทำยังไงต่อกับการเดินทางครั้งนี้
4.สถานการณ์แบบนี้แนะนำ
ซื้อตั๋วรถไฟชินกังเซ็นแบบกำหนดที่นั่งเถอะค่ะ เพราะเราเองก็มีกระเป๋าลากและสัมภาระค่อนข้างเยอะ ยืนเบียดคนอยู่ 40 นาที เล่นเอาเหนื่อยมากๆเลย เก็บแรงไว้ก่อนเพราะอาจมีเรื่องอีกมายมาย ฮ่าๆๆ
5.
เช็คพยากรณ์อากาศและหาแผนสำรองไว้สำหรับเรื่องไม่คาดฝันด้วย ระหว่างทริปก็มีฝนตกบ้างนะคะ แต่เราก็มีสลับปรับเปลี่ยนวันเที่ยว สลับที่เที่ยวในบางวัน จะได้เที่ยวได้โดยไม่ต้องกังวลค่ะ
6.
หาโรงแรมสำรองไว้บ้าง เช่น กรณีนี้หากรถไฟหยุดวิ่งจนทำให้เรากับเพื่อนไม่สามารถไปเกียวโตได้ทัน เราก็จะหาดูโรงแรมใกล้สนามบินคันไซไว้บ้าง จะได้ประหยัดเงินเราด้วย ดีกว่าไปหาเอาข้างหน้าในเวลากระชั้นชิดจะยิ่งทำให้เราเสียเงินมากขึ้นไปอีก
7.
ปลอดภัยไว้ก่อน แม้ว่าเราจะแพลนทริปมายาวนานแค่ไหน ตั้งใจกับการเดินทางครั้งนี้มากเท่าไร สุดท้ายแล้วความปลอดภัยก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดนะคะ
8.
เตรียมใจไว้ด้วยว่าทุกอย่างอาจไม่เป็นอย่างที่คิด เช่น เรื่องที่เราเลือกเดินทางด้วยรถไฟชินกังเซ็น ในใจก็กลัวนะว่ารถไฟอาจจะหยุดกลางทางหรือเปล่า ถ้าหยุดกลางทางจะทำยังไง เป็นต้น เรากับเพื่อนโชคดีที่ตรงที่ยังติดอยู่ในสถานที่ที่สื่อสารได้ทำให้การแก้ไขสถานการณ์ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่ถ้าเกิดเราเจอเหตุการณ์แบบนี้ในประเทศอื่น ประเทศที่เราอาจจะไม่สามารถสื่อสารได้เข้าใจแล้วล่ะก็ แนะนำว่าการเตรียมการดีๆก่อนก้าวออกจากบ้านในสถานการณ์ฉุกเฉินนะคะ สุดท้ายนี้แค่อยากบอกว่า``มีสติกับทุกการเดินทาง`` นะคะ
เพื่อนๆคนไหนเคยเจอเหตุการณ์ธรรมชาติไม่เป็นใจแบบนี้ก็มาแชร์กันบ้างน้า นี่ถ้าไปติดประเทศอื่นก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะทำยังไง อาจจะต้องปวดหัวมากกว่านี้แน่ๆ
ทริปคันไซ หวั่นไหวเพราะฮากิบิส
เวลาบ่ายโมงกว่าๆเราก็ได้รับอีเมลจากทางสายการบินด้วยข้อความว่า ``Your flight was cancelled `` TT
เราขอตั้งสติด้วยการออกไปซื้อกาแฟแก้วหนึ่งก่อนกลับมานั่งแหมะหน้าคอมพิวเตอร์ตัวเก่า หัวสมองมึนตึ๊บ! เรารีบหาไฟลท์ที่ยังไม่ถูกแคนเซิล ซึ่งไฟลท์ที่ยังสามารถจองได้คือคืนวันนี้ตอนประมาณสี่ทุ่ม แต่ถ้าจองไปแล้วดันโดนแคนเซิลมันก็ซ้ำรอยเดิมดิ? คิด คิด คิด คิด คิด คิดดดดด ถ้าเดินทางบนฟ้าไม่ได้ งั้นบนดินละกัน นิ้วมือเราพิมพ์รัวๆรีบหารถไฟชินกันเซ็นและพบว่ายังรถไฟยังวิ่งอยู่ เรารีบปิดคอมฯแล้วลากกระเป๋าออกจากบ้านทันที ใจเต้นตึกๆรีบวิ่งไปยังสถานีรถไฟชินกังเซ็น ถ้าบอกว่าเสี่ยงไหมก็คิดว่าเสี่ยงมากๆ แข่งกับฟ้ากับฝนยังพอทนแต่นี่พายุ ถ้าสาวเท้าช้ากว่านี้มีหวังรถไฟจะต้องหยุดวิ่งอย่างแน่นอน ส่วนเหตุผลที่เราต้องรีบไปวันนี้เพราะเราต้องไปรอรับเพื่อนๆจะมาถึงญี่ปุ่นในวันพรุ่งนี้ ทั้งนี้เราก็เช็คกับเพื่อนแล้วว่าเที่ยวบินจากไทยยังไม่มีประกาศอะไรออกมา ....
วิ่ง วิ่ง วิ่ง แล้วก็วิ่ง สุดท้ายก็ถึงสถานีรถไฟ เรารีบซื้อตั๋วชินกังเซ็นที่ถูกที่สุด เป็นแบบไม่กำหนดที่นั่งราคาหกพันบาท ราคาสุดแสนจะเจ็บปวด ตั๋วชินกังเซ็นขาเดียวราคาเท่ากับตั๋วเครื่องบินไป-กลับเลย เฮ่อ.. แต่ก็นั่นแหละ เรารีบขึ้นไปบนรถไฟชินกังเซ็นแต่แล้วก็ไม่มีที่นั่ง... !! เฮ่ย!!! เราต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ ปกติชินกังเซ็นมันต้องมีที่ให้นั่งดิ ทำไมมันโบกี้ตั๋วไม่กำหนดที่นั่งมันเต็มทุกที่แบบนี้ แถมยังมีคนยืนอยู่ตามประตูเต็มเลย... เราถามคนข้างๆได้ความว่า ปกติก็สามารถนั่งได้เพียงแต่ว่าวันนี้คนเยอะก็เลยต้องยืนกันแบบนี้ อาจเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ด้วยแหละ คนกลับบ้านกันเยอะ
(เพิ่มราคาอีก 600 บาทจะได้ตั๋วแบบกำหนดที่นั่ง ซึ่งโบกี้นั้นที่ว่างเยอะมากๆ ถ้ามีสติกว่านี้ก็คงดี... )
หลังจากยืนเก้ๆกังๆแบบทรงตัวไม่ได้สักพัก ก็มีเสียงประกาศจากรถไฟชินกังเซ็นว่ารถไฟจะหยุดวิ่งตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป .... โอ้โห ถ้าเราตัดสินใจช้ากว่านี้อีกนิดเดียวก็คงติดแหง่กอยู่ที่บ้านพร้อมกับวันลาพักร้อนที่จะถูกใช้ไปแบบไม่มีประโยชน์ ผ่านไปไม่กี่สถานีเราก็ได้ที่นั่ง พร้อมทั้งส่งข้อความไปบอกเพื่อนที่ไทยว่าเราขึ้นรถไฟแล้วแต่อาจจะไปถึงโอซาก้าช้าหน่อย ผ่านไปประมาณ 1 ชม.... เราได้รับข้อความจากเพื่อนกลับมาว่าเที่ยวบินกรุงทพฯ-คันไซ ไฟลท์ดึกที่จองมาโดนเลื่อน ตึ่งตึง! เพื่อนบอกว่าจะนอนค้างที่กรุงเทพฯก่อนหนึ่งคืน จากนั้นเพื่อนก็รีบจัดการจองโรงแรมแถวสนามบินสุวรรณภูมิทันที เมื่อการเดินทางของทุกคนถูกเลื่อนออกไป ตัวเราเองก็ต้องจัดการแจ้งกับที่พักที่จะไปเช็คอินว่าเราจะเช็คอินกันช้าหน่อยและยังไม่ทราบเวลาที่แน่นอน เนื่องจากไฟลท์บินโดนเลื่อนและไม่รู้ว่าจะมาถึงกันเมื่อไร เราถึงโอซาก้าเรียบร้อยตามแพลนเดิมที่จะต้องมาแสตนบายนอนคนเดียวก่อนเพื่อนรอรับเพื่อนวันต่อไป จบคืนวันแรกทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แยกย้ายกันพักผ่อนเพื่อนที่จะลุ้นกันว่าการเดินทางในวันถัดไปจะเป็นอย่างไร
วันต่อมาในที่สุดก็ได้เดินทางเสียที...
เพื่อนส่งข้อความมาบอกว่าเดินทางถึงสุวรรณภูมิกันตั้งแต่เช้า หลังจากเช็คอินเสร็จเรียบร้อยก็เข้าไปนั่งรอในเกต สถานการณ์ตอนนี้ไม่มีใครคอนเฟิร์มอะไรได้เลย ไม่ชัวร์ว่าจะได้เดินทางตามเวลาหรือไม่ เมื่อมาคุยกับเพื่อนตอนหลัง เพื่อนบอกว่ามีคนญี่ปุ่นหลายคนที่ติดค้างอยู่ที่สนามบินเหมือนกัน น่าจะรอกลับบ้านที่ญี่ปุ่นแต่ยังไม่สามารถกลับได้ด้วยสภาวะอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย หน้าตาหลายๆคนเหนื่อยล้าและอิดโรย ... เราเองก็คิดว่าคงมีอีกหลายๆคนที่ได้รับผลกระทบในการเดินทางจากพายุในครั้งนี้ ผ่านเวลาไปไม่นานเพื่อนก็บอกว่ามีเจ้าหน้าที่เรียกให้ขึ้นเครื่องแล้ว เราเองก็ขอให้ทุกคนและทุกเที่ยวบินเดินทางโดยสวัสดิภาพ จากนั้นเราก็อัพเดทกับที่พักว่าเรากับเพื่อนจะถึงในช่วงๆค่ำๆและจะพยายามไปให้ทันเวลานัด เนื่องจากที่พักแห่งนี้ไม่ใช่ Self-check in เราก็เลยไม่สามารถเข้าห้องพักเองได้เลย อีกใจก็รู้สึกขอบคุณพนักงานมากๆที่นอกจากจะเข้าใจในความไม่สะดวกของเราแล้ว เขายังอวยพรให้เราระมัดระวังในการเดินทางและขอให้เราปลอดภัยในทุกครั้ง กลับมาที่พาร์ทของเราที่ต้องออกจากโฮสเทลที่จองไว้และนำกระเป๋าเดินทางของตนเองไปเก็บไว้ในล็อกเกอร์ที่สถานีนัมบะก่อน วันนั้น 12 ตุลาคม 2562 ฝนตกทั้งวัน เราเองก็ไม่อยากถือร่ม แนะนำให้ว่าถ้าไม่อยากเปียกฝนให้ลงไปเดินในชั้นใต้ดินค่ะ จะมีทางเดินลัดเลาะไป ทะลุไปยังห้างและที่อื่นๆมากมาย หรือถ้าไม่อยากเดินขึ้นไปด้านบนก็ช้อปปิ้งหรือหาอาหารทานภายในสถานีก็ได้ บอกก่อนว่าตรงนี้เราไม่จำเป็นต้องใช้บัตรรถไฟแตะเพื่อเข้าไปในสถานีนะคะ
19.30 น. เพื่อนๆที่มาจากไทยถึงสนามบินคันไซโดยสวัสดิภาพ แต่ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง เราชวนกันลากกระเป๋าแล้ววิ่ง วิ่ง วิ่ง!!! เพราะภารกิจของเราจะต้องออกเดินทางไปยังที่พักในจังหวัดเกียวโต ที่สำคัญเราต้องออกจากที่นี่ก่อนเวลา 20.00 น. เหตุก็เพราะมีป้ายติดไว้ว่ารถหลายสายจะหยุดวิ่งหลังจากสองทุ่มเป็นต้นไป TT แม้ว่าช่วงเวลาหนึ่งทุ่มเราจะลองถามเจ้าที่รถไฟแล้วว่าหลังสองทุ่มยังจะพอเดินทางได้ไหม ก็ไม่มีใครจะยืนยันอะไรได้เลย เพราะฝนฟ้าอากาศก็เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้จริงๆ อย่างไรก็ตามเราก็สามารถซื้อตั๋วและขึ้นรถไฟExpress คิตตี้น่ารักๆ ไปยังสถานีเกียวโตได้ทันเวลาในเที่ยว 19.46 น. ... เอาเป็นว่าคืนนี้ได้เข้าเช็คอินและเข้าพักได้อย่างรอดปลอดภัยไปอีกหนึ่งวัน
วันที่ 13 – 17 เราเที่ยวที่ไหนกันบ้างไปดู !!!
แนะนำเล็กๆน้อยๆสำหรับทริปนี้
1.ทำประกันการเดินทางเถอะค่ะ นี่จองตั้งแต่ต้นปีไม่คิดหรอกว่าจะมีพายุ พอไฟลท์เราโดนแคนเซิลเราก็ขอคืนเงินได้เต็มจำนวน (*น่าจะขึ้นอยู่กับรายละเอียของแต่ละสายการบิน) ดีกว่าเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่ายจริงๆ ปกติเราไม่ซื้อประกันการเดินทางเลย แต่เห็นว่าทริปนี้ค่อนข้างใหญ่ก็เลยซื้อประกัน สุดท้ายก็ได้ใช้จริงๆ... ปล.เราทำเรื่องขอคืนเงินและได้รับเงินคืนเข้าบัตรเครดิตในยอดของเดือนถัดไปทันทีค่ะ รวดเร็วมากๆ
2.เช็คอีเมลบ่อยๆโดยเฉพาะเมื่อใกล้ถึงวันเดินทาง เผื่อมีเหตุไม่คาดฝันเราจะได้เตรียมตัวได้ค่ะ
3.กรณีโดนเลื่อนไฟลท์อะไรก็ไม่อุ่นใจเท่ากับได้คุยกับเจ้าหน้าที่สายการบิน ออกตัวว่าอันนี้ส่วนตัวมากๆอย่างเพื่อนเราที่ไทยก็ไปรอที่สุวรรณภูมิอย่างมีหวังเล็กๆ แม้จะเข้าใจว่าสุดท้ายอาจจะไม่ได้เดินทางแต่การเกาะติดสถานการณ์หรือถามเรื่องราวอัพเดทกับเคาเตอร์สายการบิน ก็ช่วยทำให้เราวางแผนได้ถูกว่าเราจะทำยังไงต่อกับการเดินทางครั้งนี้
4.สถานการณ์แบบนี้แนะนำซื้อตั๋วรถไฟชินกังเซ็นแบบกำหนดที่นั่งเถอะค่ะ เพราะเราเองก็มีกระเป๋าลากและสัมภาระค่อนข้างเยอะ ยืนเบียดคนอยู่ 40 นาที เล่นเอาเหนื่อยมากๆเลย เก็บแรงไว้ก่อนเพราะอาจมีเรื่องอีกมายมาย ฮ่าๆๆ
5.เช็คพยากรณ์อากาศและหาแผนสำรองไว้สำหรับเรื่องไม่คาดฝันด้วย ระหว่างทริปก็มีฝนตกบ้างนะคะ แต่เราก็มีสลับปรับเปลี่ยนวันเที่ยว สลับที่เที่ยวในบางวัน จะได้เที่ยวได้โดยไม่ต้องกังวลค่ะ
6.หาโรงแรมสำรองไว้บ้าง เช่น กรณีนี้หากรถไฟหยุดวิ่งจนทำให้เรากับเพื่อนไม่สามารถไปเกียวโตได้ทัน เราก็จะหาดูโรงแรมใกล้สนามบินคันไซไว้บ้าง จะได้ประหยัดเงินเราด้วย ดีกว่าไปหาเอาข้างหน้าในเวลากระชั้นชิดจะยิ่งทำให้เราเสียเงินมากขึ้นไปอีก
7.ปลอดภัยไว้ก่อน แม้ว่าเราจะแพลนทริปมายาวนานแค่ไหน ตั้งใจกับการเดินทางครั้งนี้มากเท่าไร สุดท้ายแล้วความปลอดภัยก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดนะคะ
8.เตรียมใจไว้ด้วยว่าทุกอย่างอาจไม่เป็นอย่างที่คิด เช่น เรื่องที่เราเลือกเดินทางด้วยรถไฟชินกังเซ็น ในใจก็กลัวนะว่ารถไฟอาจจะหยุดกลางทางหรือเปล่า ถ้าหยุดกลางทางจะทำยังไง เป็นต้น เรากับเพื่อนโชคดีที่ตรงที่ยังติดอยู่ในสถานที่ที่สื่อสารได้ทำให้การแก้ไขสถานการณ์ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่ถ้าเกิดเราเจอเหตุการณ์แบบนี้ในประเทศอื่น ประเทศที่เราอาจจะไม่สามารถสื่อสารได้เข้าใจแล้วล่ะก็ แนะนำว่าการเตรียมการดีๆก่อนก้าวออกจากบ้านในสถานการณ์ฉุกเฉินนะคะ สุดท้ายนี้แค่อยากบอกว่า``มีสติกับทุกการเดินทาง`` นะคะ