******
เป้าหมายวันที่สาม บ้านดงสามหมื่น – วัดจันทร์ – บ้านแพมบก (อ.ปาย) ระยะทาง 71 กม.
วันที่ 7 พ.ย.62 เวลา 04.30 น.วันที่ 3 ของการเดินทาง ..... ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น เมื่อคืนผมนอนหลับไม่ค่อยเต็มตื่นนัก เนื่องจากไม่คุ้นเคยกับการนอนในสถานที่แบบนี้เท่าไหร่นัก ผมลุกขึ้นมาเก็บสัมภาระและใช้เวลาทำกิจส่วนตัวประมาณ 06.00 น.ผมก็เข็นจักรยานออกมา ที่นอกอาคารเรียน ผมจอดจักรยานไว้ แล้วเดินไปร่ำลาคุณครูที่บ้านพักครูซึ่งอยู่หลังอาคารเรียน.......
พบเจอแต่คุณครูผู้ชายท่านหนึ่ง กำลังล้างรถมอเตอร์ไซด์วิบากคันหนึ่ง ผมเข้าไปพูดคุยและร่ำลา พร้อมกล่าวขอบคุณคุณและฝากขอบคุณไปยังคุณครูไอซ์ด้วย คุณครูผู้ชายท่านนี้ยังฝากบอกมาอีกด้วยว่า “ถ้ามีโอกาสผ่านมาก็แวะเข้ามาพักได้นะครับ” น้ำใจจากครูบนดอยทุกคน ทำให้ผมต้องจดจำไปอีกนานเลยทีเดียว
ตามข้อมูล ที่บ้านดงสามหมื่นเป็นแหล่งปลูกสตอร์เบอรี่อันดับใหญ่ต้นๆของจังหวัดเชียงใหม่ ชุมชนที่นี่ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยภูเขาเผ่าม้งครับ
พอออกจากบ้านดงสามหมื่นก็ขึ้นงัดเนินทันที แต่ก็ไม่ชันอะไรมากมายนัก ปั่นขึ้นเนินลงเขาสลับกันมาซักพัก ระยะทางที่จะไปยังวัดจันทร์ประมาณ 19 กม. สองข้างทางเป็นป่าสนเต็มรูปแบบ เช้าๆแบบนี้สายหมอกปกคลุมทั่วทั้งเส้นทาง ทัศนียภาพดูสวยงามเมื่อยามเห็นหมอกล่องลอย
ในป่าสน บางช่วงที่ปั่นบนเนินจะเห็นวิวป่าสนไกลสุดลูกหูลูกตา มองแล้วสบายตาสบายใจยิ่งนัก
ไม่นานผมก็ไหลยาวมาถึงบ้านแจ่มน้อย ซึ่งเป็นหมู่บ้านสุดท้าย ก่อนจะถึง อ.กัลยาณิวัฒนา
จากบ้านแจ่มน้อยก็งัดเนินกันอีกนิดหน่อย ปั่นสลับขึ้นเนินกับลงเขาไปเรื่อยๆ ใบหน้าผมอาบด้วยน้ำค้างจากสายหมอกที่ลอยมากระทบใบหน้าตลอดเวลา รถยนต์ที่แล่นสวนไปมา ทุกคันล้วนแต่เปิดไฟหน้ารถหรือไฟตัดหมอกกันหมด บรรยากาศเย็นสบายเหมือนปั่นในความฝันอย่างไรไม่รู้
ไม่นานนักประมาณ 9 โมงเช้าก็มาถึงวัดจันทร์ อ.กัลยานิวัฒนา ผมเข้ามาพักในวัดจันทร์ ถ่ายรูปกับโบสถ์ใส่แว่นตาอันลือชื่อของที่นี่ แล้วเดินสำรวจ
ดูโน่นดูนี่ภายในวัด
ผมเปิดครัวเคลื่อนที่ตรงศาลาไม้ไผ่ที่อยู่ตรงข้างๆโบสถ์นี้เลยครับ มาม่าและข้าวสวยกับผัดเผ็ดปลาดุกที่เหลือจากเมื่อคืน ถูกนำมาทำลายให้หมดเสีย
ในมื้อเช้านี้เลย แต่....ช่วงที่ผมกำลังเอาขาตั้งคู่กลางจักรยานลง เพื่อตั้งรถจักรยานตรงศาลานั้น ก็ปรากฎว่าขาตั้งจักรยานหัก "งานเข้าอีกแล้วตรู"
ไม่ต้องสงสัยเลย ก็เพราะสำภารกที่ขนมาเกินความจำเป็น มันทำให้ขาตั้งต้องรับน้ำหนักที่มากเกิน....เกินจะทานทนอยู่ "บ๊าย บายขาตั้ง" ต่อไปเวลา
จะจอดก็ต้องหาที่พิง สร้างความลำบากเพิ่มขึ้นมาอีก ........เฮ้อ
หลังจากกินมื้อเช้าผมแวะร้านค้าหลังวัด ซื้อเสบียงติดมือไปกินระหว่างทางด้วย แล้วมุ่งหน้าสู่อำเภอปายทันที สองข้างทาง มองเห็นนาข้าวเหลืองอร่ามสวยงาม แลเห็นชาวบ้านกำลังช่วยกันลงแขกเกี่ยวข้าวกันอยู่หลายที่ครับ การลงแขกเกี่ยวข้าว นับว่าเป็นความร่วมมือร่วมใจ แสดงความสามัคคี ซึ่งสามารถพบเห็นได้ตามพื้นที่ชนบทครับ
ไม่นานก็มาถึงองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้วัดจันทร์ (ออป.วัดจันทร์) ซึ่งที่ผมตั้งใจไว้ว่าเมื่อคืนจะปั่นมากางเต็นท์นอนที่นี่ แต่มาไม่ถึง ผมแวะเข้าไปถ่ายรูปนิดหน่อย ไหนๆก็ผ่านมาแล้ว ที่นี่เป็นสถานที่ที่สวยงามครับ มีลานกางเต็นท์ บ้านพัก ให้นักท่องเที่ยวได้พัก มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ อ่างเก็บน้ำสวยๆ ให้นักท่องเที่ยวได้มาชื่นชมบรรยากาศกันด้วยครับ
ออกจาก ออป.วัดจันทร์ หนทางก็เริ่มขึ้นเขาสลับกับลงเขาไปเรื่อยๆครับ สองข้างทางยังเห็นป่าสนเหมือนเดิม สายๆ แบบนี้อากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ
ผมก็ปั่นไปเรื่อยๆ เหมือนกัน แต่เวลาลงเขาที่นี่แต่ละลูกต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษครับ เพราะมันชันมาก โค้งแต่ละโค้ง ถ้าหลุดออกไปนี่
หลับยาวเลยนะครับ ตอนนี้สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนจากป่าสนเขาเป็นป่าดิบแล้ง พอลงที่ราบก็จะเห็นไร่นาของชาวบ้านอยู่ตามสองข้างทางเป็นระยะ ๆ
ผมปั่นขึ้นเนินลงเขาสลับกันอยู่แบบนี้ จนรู้สึกว่าหิวข้าว อากาศที่ร้อนมากจนอยากจะพัก แสงแดดที่เริ่มส่องตรงศีรษะผมทำให้เรี่ยวแรงผมลดลงไปทุกที ผมต้องจอดพักเหนื่อยอยู่หลายครั้ง หมู่บ้านหรือชุมชนไม่มีให้เห็นเลย ผมทนปั่นเรื่อยๆ ไม่นานผมก็มาถึงหน่วยพิทักษ์ป่าแม่สา
ฝั่งตรงข้ามกับที่ทำการหน่วยฯ เหมือนเป็นจุดพัก มีลานหญ้ากว้างพอสมควร มีศาลาเล็กๆ กับมีก๊อกน้ำต่อจากถังซีเมนต์ขนาดใหญ่ให้ใช้ และมีห้องน้ำ
ไว้บริการ บรรยากาศร่มรื่นมาก ติดลำธารแม่สา ผมแวะพักเหนื่อยที่ศาลา ก่อนจะเปิดครัวเคลื่อนที่เพื่อต้มม่ามากิน เพิ่มพลังงานซักหน่อย หลังจากนั้น
ก็เอนกายนอนพักหลบร้อนในศาลา
ประมาณบ่ายสอง ผมเริ่มเดินทางต่อ ออกมาไม่นาน ... มองไปตามเส้นทางข้างหน้า ที่จะมุ่งหน้าไป อ.ปาย ฟ้ามืดมาแต่ไกล ชัดเจน เจอฝนอีกแล้ว
" ครับ แน่นอน ผมกำลังปั่นเข้าหาฝน "
กำลังคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรดี ฝนก็ลงเม็ดเปาะแปะมาพอดี ผมรีบปั่นไปข้างหน้าเพื่อหาที่หลบฝน “ให้ตายซิ ฝนตกลงเม็ดหนักขึ้นๆ มองไปทางไหนก็เห็นแต่เรือกสวนไร่นา ผมพยายามมองหาที่พักที่เป็นเพิงพักหรือทางเหนือเรียกว่า”ตูบ” แต่ก็ไม่เจอเลย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ตามทางที่ปั่นผ่านมาผมเห็นตลอด ฝนตกหนัก จนผมต้องหลบเข้าข้างทาง จอดจักรยานแล้วรีบเอาถุงพลาสติกกันน้ำมาคลุมกระเป๋าท้ายรถทันที ผมอาศัยยืนหลบใต้พุ่มไม้รอให้
ฝนเบาลง พอฝนเบาลง ผมก็รีบออกมาปั่นต่อทันที เพราะไม่อยากไปถึง อ.ปาย ตอนมืด
ผมตัดสินใจลุย ท่ามกลางสายฝนที่ตกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเบาและหนักสลับกัน ปั่นออกมาไม่นานผ่านน้ำพุร้อนเหมืองแร่ เส้นทางช่วงนี้สวยงามมากครับ มองเห็นวิวทิวเขาทาง อ.ปาย สวยงามมาก มองเห็นสายหมอกลอยคลอเคลียกับแนวเขาที่เลียบกับลำน้ำปายไปเรื่อยๆ
ผ่านบ้านเมืองแร่ มีทางแยกซ้ายมือไป อ.ปายได้ แต่ผมปั่นตรงไป เพราะไม่มีข้อมูลว่าถ้าไปทางแยกซ้ายจะลดระยะทางไป อ.ปายได้ เศษกรวดทราย
ที่ติดอยู่ตามขอบล้อ ทำให้การเบรกมีปัญหาอยู่บ้าง ผมต้องเอาน้ำในกระบอกที่เหลืออยู่น้อยนิดมาราดขอบล้อให้เศษกรวดทรายหลุดออกไป ทางบางช่วงลงเนินก็ต้องใช้ความระมัดเพิ่มขึ้น โดยการกำเบรกแบบกำแล้วปล่อย สลับกันไปเรื่อยๆ
จนสุดท้ายก็มาเจอเขาอีกลูกซึ่งมีป้ายข้างทางบอกว่า “จุดชมวิว 1 กม.” ตรงนี้ล่ะครับพี่น้องเอ๊ย หมดแล้วซึ่งกำลังและเรี่ยวแรง ฝนตกลงมาอย่างหนักเหมือนส่งท้าย ผมลงเข็นจักรยานขึ้นเขา เหนื่อยแทบขาดใจ ปวดแขนสะท้านไหล่เลย ฝนตกหนักขนาดจับโทรศัพท์ปัดหน้าจอไม่ไป มันลื่นไปหมด
ผมกัดฟันเข็นจนถึงจุดสูงสุดของเขาลูกนี้ ฝนเริ่มซาเม็ดลง มองเห็นทิวทัศน์ข้างหน้าเป็นภูเขาสลับซับซ้อนสวยงามสวยงามยิ่งนัก
พอหายเหนื่อยผมค่อยๆกำเบรคปล่อยจักรยานไหลลงมาช้าเรื่อยๆ จนมาถึงสามแยกตัดกับ ถ.1095 ตรงหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ มส.19 (แม่ปิง) ในเวลา
ห้าโมงเย็น ผมเห็นป้อมตำรวจตระเวนชายแดนตรงสามแยก ผมปั่นเข้าไปจอดทันที ผมทักทายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ที่ป้อมเพื่อถามทางไปยังบ้านแพมบก เจ้าหน้าที่ก็ให้ข้อมูลมาอย่างดีครับ
ช่วงกำลังพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ พลันสายตาก็เหลือบเห็นเตาถ่านที่กำลังติดไฟของเจ้าหน้าที่ได้ก่อไว้เพื่อประกอบอาหาร ผมเลยขออนุญาตเข้าไป
ผิงไฟทันที ตอนนี้มือผมซีดไปหมดแล้ว
หลังจากสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย ผมก็ออกปั่นต่อไปทันที มุ่งหน้าไปทาง อ.ปาย แวะซื้ออาหารตามสั่งที่ร้านริมทางใส่กล่องติดตัวไปด้วย
พอถึงทางเข้าไปยังบ้านแพมบก ผมเลี้ยวซ้ายตามถนนเข้าหมู่บ้านทันที จากทางเข้าน่าจะประมาณ 6 กม.เห็นจะได้ มองดูเวลาก็ประมาณเกือบทุ่ม ท้องฟ้าเริ่มมืด ปั่นมาซักพักถึงบ้านแพมกลาง คิดในใจว่าไม่น่าจะถึงบ้านแพมบกแน่นอน และทางที่จะไปบ้านแพมบกต้องขึ้นเขาผ่านน้ำตกอีก ผมแวะพูดคุยกับชาวบ้านที่บ้านแพมกลาง จนทราบว่ามีที่พักที่เป็นบ้านหลังเล็กๆ ซึ่งเจ้าของเปิดร้านขายของชำอยู่ในหมู่บ้านนี่เอง ผมเลยไปติดต่อเพื่อเปิดห้องพักทันที
ที่พักอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ซึ่งอยู่เลยจากหมู่บ้านไปนิดหน่อย ผมรีบทำธุระแล้วพักผ่อนในคืนอันเหนื่อยล้า
และแล้วก็เหลือเรากับเขาเท่านั้น กับทริปปั่นจักรยานทัวร์ริ่งเส้นทางป่าสน เชียงใหม่-แม่ริม-สะเมิง-วัดจันทร์-ปาย (ตอนที่ 3)
วันที่ 7 พ.ย.62 เวลา 04.30 น.วันที่ 3 ของการเดินทาง ..... ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น เมื่อคืนผมนอนหลับไม่ค่อยเต็มตื่นนัก เนื่องจากไม่คุ้นเคยกับการนอนในสถานที่แบบนี้เท่าไหร่นัก ผมลุกขึ้นมาเก็บสัมภาระและใช้เวลาทำกิจส่วนตัวประมาณ 06.00 น.ผมก็เข็นจักรยานออกมา ที่นอกอาคารเรียน ผมจอดจักรยานไว้ แล้วเดินไปร่ำลาคุณครูที่บ้านพักครูซึ่งอยู่หลังอาคารเรียน.......
พบเจอแต่คุณครูผู้ชายท่านหนึ่ง กำลังล้างรถมอเตอร์ไซด์วิบากคันหนึ่ง ผมเข้าไปพูดคุยและร่ำลา พร้อมกล่าวขอบคุณคุณและฝากขอบคุณไปยังคุณครูไอซ์ด้วย คุณครูผู้ชายท่านนี้ยังฝากบอกมาอีกด้วยว่า “ถ้ามีโอกาสผ่านมาก็แวะเข้ามาพักได้นะครับ” น้ำใจจากครูบนดอยทุกคน ทำให้ผมต้องจดจำไปอีกนานเลยทีเดียว
ผมก็ปั่นไปเรื่อยๆ เหมือนกัน แต่เวลาลงเขาที่นี่แต่ละลูกต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษครับ เพราะมันชันมาก โค้งแต่ละโค้ง ถ้าหลุดออกไปนี่
หลับยาวเลยนะครับ ตอนนี้สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนจากป่าสนเขาเป็นป่าดิบแล้ง พอลงที่ราบก็จะเห็นไร่นาของชาวบ้านอยู่ตามสองข้างทางเป็นระยะ ๆ
ไว้บริการ บรรยากาศร่มรื่นมาก ติดลำธารแม่สา ผมแวะพักเหนื่อยที่ศาลา ก่อนจะเปิดครัวเคลื่อนที่เพื่อต้มม่ามากิน เพิ่มพลังงานซักหน่อย หลังจากนั้น
ก็เอนกายนอนพักหลบร้อนในศาลา
" ครับ แน่นอน ผมกำลังปั่นเข้าหาฝน "
ฝนเบาลง พอฝนเบาลง ผมก็รีบออกมาปั่นต่อทันที เพราะไม่อยากไปถึง อ.ปาย ตอนมืด
ผมกัดฟันเข็นจนถึงจุดสูงสุดของเขาลูกนี้ ฝนเริ่มซาเม็ดลง มองเห็นทิวทัศน์ข้างหน้าเป็นภูเขาสลับซับซ้อนสวยงามสวยงามยิ่งนัก
ห้าโมงเย็น ผมเห็นป้อมตำรวจตระเวนชายแดนตรงสามแยก ผมปั่นเข้าไปจอดทันที ผมทักทายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ที่ป้อมเพื่อถามทางไปยังบ้านแพมบก เจ้าหน้าที่ก็ให้ข้อมูลมาอย่างดีครับ
ผิงไฟทันที ตอนนี้มือผมซีดไปหมดแล้ว
พอถึงทางเข้าไปยังบ้านแพมบก ผมเลี้ยวซ้ายตามถนนเข้าหมู่บ้านทันที จากทางเข้าน่าจะประมาณ 6 กม.เห็นจะได้ มองดูเวลาก็ประมาณเกือบทุ่ม ท้องฟ้าเริ่มมืด ปั่นมาซักพักถึงบ้านแพมกลาง คิดในใจว่าไม่น่าจะถึงบ้านแพมบกแน่นอน และทางที่จะไปบ้านแพมบกต้องขึ้นเขาผ่านน้ำตกอีก ผมแวะพูดคุยกับชาวบ้านที่บ้านแพมกลาง จนทราบว่ามีที่พักที่เป็นบ้านหลังเล็กๆ ซึ่งเจ้าของเปิดร้านขายของชำอยู่ในหมู่บ้านนี่เอง ผมเลยไปติดต่อเพื่อเปิดห้องพักทันที