เกาหลีกำลังเข้าสู่น่าหนาว อากาศดีมว๊าก แต่!!! ก่อนที่จะได้เข้าประเทศเกาหลีนั้น ก็ต้องผ่านตม. (ตม.เกาหลีสมชื่อมาก แต่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลย) ให้ได้ก่อนถูกป่ะและการที่หนูจะผ่านตม.นั้นไปง่ายๆ สำหรับการมาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรก มันก็ดูจะไม่ตื่นเต้น แต่ อย่าเพิ่งเป็นกังวลไปคนดี เดะจะเล่าให้ฟัง...
ทาวความก่อนว่า เราไปเกาหลีครั้งแรก passport ขาวๆ คลีนๆ และเพิ่งออกนอกประเทศเป็นครั้งแรก (โดยไม่นับการไปเยือนพม่าและเขมรนะของเราในช่วงเด็ก) ซึ่งเท่ากับว่าโอกาสจะผ่านตม.ไปอย่างง่ายๆ นั้นยากมาก (ด้วยความที่ทรงเรามันได้ด้วยอะเนอะ เป็นคนเซอร์ๆ) แล้วนั่นก็ทำให้เราเตรียมใจมาแล้วระดับหนึ่งว่า ไม่น่าจะรอดไปได้ (ง่ายๆ แบบคนที่เคยมาแล้วหรือคนที่เคยไปตปท.ต่างๆ) แต่ก็แอบหวังว่าจะรอด แต่สรุปท้ายแล้ว.....ก็ไม่รอดค่ะ ในด่านแรก
ด่านแรกเจออะไร? เจอตม.หน้าใสใจโหด แต่บอกก่อนว่าเรด้าของพี่เขา แม่นและเป๊ะมากกกก
เมื่อถึงคิวของเรา ตม.ก็จะทักทายด้วยคำถามที่อยากทำความรู้จักเรา ตามประสาคนเพิ่งเคยเจอกัน คำถามนั้นก็ไม่ได้ยากไม่ได้เยอะ ถามพอเป็นพิธี ในส่วนของการตอบคำถาม ก็ตอบในตรงประเด็นและรวดเร็ว อย่าคิดนาน/ จำรายละเอียดของเพื่อนที่ไปด้วยก็ดี เช่น ชื่อ-สกุล หรืออื่นๆ และที่สำคัญ อย่า! เลิ่กลั่ก อย่า! มีพิรุธ อย่า! แสดงว่าหล่อนคิดที่จะเข้าประเทศนี่เพื่อมาทำมิดีมิร้าย หล่อนก็จะรอด แต่ฉันนั้นไม่รอดไง
ถ้าผ่านด่านแรกไปได้ ก็เตรียมตัวรับกระเป๋าที่ช่องรับกระเป๋า Baggage claim ได้เลย แต่!!!
ด่านแรกไม่ผ่านแล้วทำยังไงค่ะ? ก็เชิญค่ะ! ชิดในเลยค่ะ! จะมีคนพาคุณเขาไปนั่งพักเหนื่อยสัก 3-4 ชม. ในห้องแอร์เย็นๆ (หรือที่เขาเรียกกันว่า “ห้องเย็น” นั่นเอง) ซึ่งในห้องนั้นจะไม่ทำให้คุณรู้สึกเย็นเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะมันช่างแสนจะอบอุ่นเสียเหลือเกิน คุณจะพบกับคนไทยมากหน้าหลายตา รายล้อมคุณไปหมดและเมื่อเข้าไปในห้องแล้วตม.จะขอ passport เราไว้เผื่อกรอกข้อมูลต่างๆ พร้อมกับแจกกระดาษ 1 แผ่น ซึ่งนั่นมันไม่ใช่โพยข้อสอบแน่ๆ แต่มันคือแบบสอบถาม ที่ให้เรากรอกรายละเอียดข้อมูลส่วนตัวของเรา (มีแปลเป็นไทยทุกตัว เหมือนออกแบบมาเผื่อคนไทยอย่างเราๆ)
“มาค่ะมา มาลุ้นกันต่อกับด่านที่ 2 ซึ่งด่านนี้ อย่าปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปเชียวนะ เพราะโอกาสไม่ได้มีไว้ให้แก้ตัวบ่อยๆ และนี่คือโอกาสสุดท้ายของหนู So don’t f*ck it up!”
และเมื่อกรอกรายละเอียดในแบบสอบถามเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งรอนิ่งๆ ขอให้คุณตั้งสติให้ดี อยู่กับตัวเองให้มาก อย่าไปสนคนอื่น นึกถึงพ่อแก้วแม่แก้วเข้าไว้ ว่าฉันจะต้องได้ไปเดินเชิดช่ายทั่วกรุงโซลเท่านั้น ไม่ใช่ กรุงเทพที่หนูเพิ่งหนีมา you know?
หลังจากนั้น เอกสารหรือหลักฐานใดๆ ที่เตรียมมาจากบ้านเกิดเมืองนอนของหนู ขอให้จกมัน ขนมัน รื้อมันออกมาให้หมด อย่าไปกัก เพราะนี่คือโอกาสสุดท้ายจริงๆ ที่หนูจะรอดชีวิตแล้วนะลูก ระหว่างที่นั่งรอก็อ่าน/ทวนเอกสารที่เตรียมมาทั้งหมดให้ได้ ถามว่าเวลามีมากพอหรอถึงจะจำได้หมด ณ ตอนนี้แล้ว ยังไงก็ต้องจำให้หมด อย่ามามีข้อแม้กับฉัน จำวั้ยยยยยยย
เอาล่ะ เมื่อถึงคิวจะมีตม.เดินเข้ามาเรียกชื่อ-นามสกุลของคุณด้วยสำเนียง korean ฟังให้ออก จับ keyword ให้ได้ อย่าให้เรียกนานเดะจะเกรี่ยวเยี่ยวราด
“ลุกขึ้นยืน แล้วหยิบเอกสารให้มั่น ยิ้มลูกยิ้ม งามอิ!”
ส่งเอกสารตั่งต่างให้กับตม.ผู้นั้น และเดินตามนางไป นางสั่งให้นั่งตรงไหนก็ไปนั่ง บอกให้นั่งพื้นก็ต้องนั่งนะ เกิ้น!
อ้าวแล้วการตอบคำถามล่ะ? ฉันจะต้องตอบคำถามเป็นภาษาอังกฤษหรอ? จริงๆ หรอ? แล้วฉันจะเอาชีวิตรอดจากที่นี่ยังไงกับภาษาอังกฤษระดับป.1 ที่พกติดตัวข้ามน้ำข้ามทะเลมาล่ะ อย่าเป็นกังวลไปดาหวัน เชื่อนี่ เมื่อนั่งแล้วตม.จะสั่งให้ยกหูโทรศัพท์ที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งในสายนั้นไม่ได้มีแค่ตม.ที่นั่งตรงข้ามเราเพียงคนเดียว แต่จะมีล่ามไทยที่จะมาเป็น Translate ในการแปลภาษาเกาหลีเป็นภาษาไทยและแปลภาษาไทยเป็นภาษาเกาหลี ในการสนทนาถามตอบในครั้งนี้ เพื่อให้เกิดบทสนทนาราบรื่นและต่อเนื่อง
เมื่อทุกอย่างพร้อม ตม. จะเริ่มยิงคำถามใส่เรา ยิงแล้วยิงอีก ผ่านล่ามที่อยู่ในสาย จงตั้งสติฟัง/ตอบคำถามให้ตรงกับเอกสารและความเป็นจริง หลังจากล่ามได้รับคำตอบจากทางเรา Translate ให้ตม.ฟัง เท่านั้นแหละ อีตม.ก็ถอนหายใจเอ๊า ถอนหายใจเอา แกล้งให้ใจเสีย แต่คิดว่าฉันกลัวหรอ เออแกฉันกลัวว่ะ
ในส่วนของคำถามไม่ยากแม้แต่นิดเดียว ขี้หมามากไม่ต้องตื่นเต้นทุกคนสามารถตอบได้ ง่ายกว่าข้อสอบที่เด็กป.1 สอบแข่งกันเข้าโรงเรียนอีก เช่น! หนูมาทำไรที่ประเทศของฉัน ประเทศของฉันมีอะไรถึงอยากจะมากันนักกันหนา หนูมากับใครชื่ออะไร ใครพาหนูมา มากี่วัน ไปเที่ยวที่ไหน (ก็ตอบแบบรวมๆ ยกตัวอย่างสถานที่ดังมาตอบก็ได้ ไม่ต้องไล่ตาม plan 123 เพราะเดะจะงงจนโป๊ะเอา) พักที่ไหน ชื่ออะไร นอกจากนี้ก็จะเป็นคำถาม basic อาทิ ใครปริ้นเอกสารให้ ทำงานที่ไหน เงินเดือนเท่าไร (ก็บอกไปตามเอกสารนั้นๆ) อันนี้แค่ตัวอย่างนะ แต่นี่คิดว่าสามารถมีวิธี manage คำถามต่างๆ ได้ หลังจากนั้นตม.ก็จะเข้าสู่ลูปเดิม คำถามก็วน1 วน2 และวน3 ไปเรื่อยๆ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าหล่อนมาเที่ยวจริงๆ
เมื่อสัมภาษณ์เรียบร้อยแล้ว จะมีอยู่ 2 เว คือ
1. ถ้าตม.เชิญหนูให้กลับไปนั่งที่เดิม นั่นแปลว่าเปอร์เซ็นที่หนูจะรอดชีวิตนั้นสูงมาก แต่อย่าเพิ่งวางใจถ้าตม.ยังไม่พาหนูออกไปจากห้องนี้
2. ถ้าตม.ยื่นเอกสารบางอย่างให้หล่อนเซ็นนั่นเท่ากับว่าหล่อนจบชีวิตที่เกาหลีแล้ว เตรียมตัวหอบผ้าหอบผ่อนกลับบ้านหล่อนไปได้เลย
เอกสารที่เราเตรียมไป
· fiight บินไป-กลับที่ระบุวันและเวลาที่ชัดเจน
· เอกสารรับรองพนักงานที่ทางบริษัทออกให้
· สลิปเงินเดือน แนบไปด้วย (เผื่อไม่เชื่อว่าเราเป็นพนักงานจริงๆ)
· เอกสารการจองที่พักตามจำนวนวันที่อาศัยอยู่ในเกาหลี
· plan เที่ยวคราวๆ
เรื่องที่อยากฝาก
เตรียมเอกสารจากไทยให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็น แพลนเที่ยวคราวๆ เอกสารเที่ยวบินทั้งข้างไปและขากลับที่ระบุเวลาและ flight บินที่ชัดเจน รายละเอียดที่พักที่เราจองไว้ ทั้งชื่อ ที่ตั้ง และตรงกับตามจำนวนวันที่ใช้ชีวิตอยู่ที่เกาหลี *ถ้าเป็พนง.บริษัทก็ขอเอกสารรับรองพนง.จากบริษัทไปด้วย สลิปเงินเดือน(ถ้ามี) ก็พกของเดือนล่าสุดแนบไปด้วย กำเงินวอนที่แลกไป(เผื่อเขาขอดู) แลกไปให้ balance กับจำนวนวันที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น โอเค่ะ
เสื้อผ้าหน้าผมก็มีส่วนสำคัญมาก เพราะมันจะสร้างความน่าเชื่อถือให้เราได้ตั้งแต่ด่านแรก ไม่ใช่แค่ดูดีจากภายในสู่ภายนอกนะพี่ มันใช้ได้ไม่หมด
ซิม : ควรซื้อซิมจากไทยเลย เมื่อถึงเกาหลีจะได้ internet ที่พร้อมใช้งาน ใครจะบอกว่าสนามบิน wifi แรง อันนี้ยอมรับว่าแรงจริง แต่หากได้เข้าไปห้องเย็นแล้วละก็ หนูจะพบกับจุดอับสัญญาณ คือหนูจะไม่สามารถเชื่อมต่อ wifi ได้เลย
ด่านแรก! อย่าเลิ่กลั่ก เดินตามเพื่อนที่มาด้วยกัน อย่าไปเดินตามคนอื่น เมื่อตม.ถามว่ามากับใครจะได้ชี้ถูกตัว
คนไทยขึ้นชื่อว่าน้ำใจงาม แต่เมื่ออยู่เกาหลีก็ตัวใครตัวมันก่อน ผ่านตม.แล้วค่อยว่ากัน
ถ้าเราไปเที่ยวจริงๆ ไม่ได้ไปทำอะไรแบบที่เขากลัวว่าเราจะไปทำ ก็แสดง แสดงมันออกมา ไปรยา พัชราภา อยู่ตรงไหนดึงมันออกมาใช้ อย่าได้กลัว แต่ให้พองามนะ
ปล. โพสนี้แค่อยากแชร์ในสิ่งที่เจอมา ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงถึงใคร หากมีข้อผิดพลาดในเรื่องของภาษาหรือเหตุการณ์ที่เล่ามาก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
รีวิวตม.เกาหลีแบบใจหายแว๊บบบบบบบ!!! (*สำหรับคนที่ไปเกาหลีครั้งแรก)
ทาวความก่อนว่า เราไปเกาหลีครั้งแรก passport ขาวๆ คลีนๆ และเพิ่งออกนอกประเทศเป็นครั้งแรก (โดยไม่นับการไปเยือนพม่าและเขมรนะของเราในช่วงเด็ก) ซึ่งเท่ากับว่าโอกาสจะผ่านตม.ไปอย่างง่ายๆ นั้นยากมาก (ด้วยความที่ทรงเรามันได้ด้วยอะเนอะ เป็นคนเซอร์ๆ) แล้วนั่นก็ทำให้เราเตรียมใจมาแล้วระดับหนึ่งว่า ไม่น่าจะรอดไปได้ (ง่ายๆ แบบคนที่เคยมาแล้วหรือคนที่เคยไปตปท.ต่างๆ) แต่ก็แอบหวังว่าจะรอด แต่สรุปท้ายแล้ว.....ก็ไม่รอดค่ะ ในด่านแรก
ด่านแรกเจออะไร? เจอตม.หน้าใสใจโหด แต่บอกก่อนว่าเรด้าของพี่เขา แม่นและเป๊ะมากกกก
เมื่อถึงคิวของเรา ตม.ก็จะทักทายด้วยคำถามที่อยากทำความรู้จักเรา ตามประสาคนเพิ่งเคยเจอกัน คำถามนั้นก็ไม่ได้ยากไม่ได้เยอะ ถามพอเป็นพิธี ในส่วนของการตอบคำถาม ก็ตอบในตรงประเด็นและรวดเร็ว อย่าคิดนาน/ จำรายละเอียดของเพื่อนที่ไปด้วยก็ดี เช่น ชื่อ-สกุล หรืออื่นๆ และที่สำคัญ อย่า! เลิ่กลั่ก อย่า! มีพิรุธ อย่า! แสดงว่าหล่อนคิดที่จะเข้าประเทศนี่เพื่อมาทำมิดีมิร้าย หล่อนก็จะรอด แต่ฉันนั้นไม่รอดไง
ถ้าผ่านด่านแรกไปได้ ก็เตรียมตัวรับกระเป๋าที่ช่องรับกระเป๋า Baggage claim ได้เลย แต่!!!
ด่านแรกไม่ผ่านแล้วทำยังไงค่ะ? ก็เชิญค่ะ! ชิดในเลยค่ะ! จะมีคนพาคุณเขาไปนั่งพักเหนื่อยสัก 3-4 ชม. ในห้องแอร์เย็นๆ (หรือที่เขาเรียกกันว่า “ห้องเย็น” นั่นเอง) ซึ่งในห้องนั้นจะไม่ทำให้คุณรู้สึกเย็นเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะมันช่างแสนจะอบอุ่นเสียเหลือเกิน คุณจะพบกับคนไทยมากหน้าหลายตา รายล้อมคุณไปหมดและเมื่อเข้าไปในห้องแล้วตม.จะขอ passport เราไว้เผื่อกรอกข้อมูลต่างๆ พร้อมกับแจกกระดาษ 1 แผ่น ซึ่งนั่นมันไม่ใช่โพยข้อสอบแน่ๆ แต่มันคือแบบสอบถาม ที่ให้เรากรอกรายละเอียดข้อมูลส่วนตัวของเรา (มีแปลเป็นไทยทุกตัว เหมือนออกแบบมาเผื่อคนไทยอย่างเราๆ)
“มาค่ะมา มาลุ้นกันต่อกับด่านที่ 2 ซึ่งด่านนี้ อย่าปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปเชียวนะ เพราะโอกาสไม่ได้มีไว้ให้แก้ตัวบ่อยๆ และนี่คือโอกาสสุดท้ายของหนู So don’t f*ck it up!”
และเมื่อกรอกรายละเอียดในแบบสอบถามเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งรอนิ่งๆ ขอให้คุณตั้งสติให้ดี อยู่กับตัวเองให้มาก อย่าไปสนคนอื่น นึกถึงพ่อแก้วแม่แก้วเข้าไว้ ว่าฉันจะต้องได้ไปเดินเชิดช่ายทั่วกรุงโซลเท่านั้น ไม่ใช่ กรุงเทพที่หนูเพิ่งหนีมา you know?
หลังจากนั้น เอกสารหรือหลักฐานใดๆ ที่เตรียมมาจากบ้านเกิดเมืองนอนของหนู ขอให้จกมัน ขนมัน รื้อมันออกมาให้หมด อย่าไปกัก เพราะนี่คือโอกาสสุดท้ายจริงๆ ที่หนูจะรอดชีวิตแล้วนะลูก ระหว่างที่นั่งรอก็อ่าน/ทวนเอกสารที่เตรียมมาทั้งหมดให้ได้ ถามว่าเวลามีมากพอหรอถึงจะจำได้หมด ณ ตอนนี้แล้ว ยังไงก็ต้องจำให้หมด อย่ามามีข้อแม้กับฉัน จำวั้ยยยยยยย
เอาล่ะ เมื่อถึงคิวจะมีตม.เดินเข้ามาเรียกชื่อ-นามสกุลของคุณด้วยสำเนียง korean ฟังให้ออก จับ keyword ให้ได้ อย่าให้เรียกนานเดะจะเกรี่ยวเยี่ยวราด
“ลุกขึ้นยืน แล้วหยิบเอกสารให้มั่น ยิ้มลูกยิ้ม งามอิ!”
ส่งเอกสารตั่งต่างให้กับตม.ผู้นั้น และเดินตามนางไป นางสั่งให้นั่งตรงไหนก็ไปนั่ง บอกให้นั่งพื้นก็ต้องนั่งนะ เกิ้น!
อ้าวแล้วการตอบคำถามล่ะ? ฉันจะต้องตอบคำถามเป็นภาษาอังกฤษหรอ? จริงๆ หรอ? แล้วฉันจะเอาชีวิตรอดจากที่นี่ยังไงกับภาษาอังกฤษระดับป.1 ที่พกติดตัวข้ามน้ำข้ามทะเลมาล่ะ อย่าเป็นกังวลไปดาหวัน เชื่อนี่ เมื่อนั่งแล้วตม.จะสั่งให้ยกหูโทรศัพท์ที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งในสายนั้นไม่ได้มีแค่ตม.ที่นั่งตรงข้ามเราเพียงคนเดียว แต่จะมีล่ามไทยที่จะมาเป็น Translate ในการแปลภาษาเกาหลีเป็นภาษาไทยและแปลภาษาไทยเป็นภาษาเกาหลี ในการสนทนาถามตอบในครั้งนี้ เพื่อให้เกิดบทสนทนาราบรื่นและต่อเนื่อง
เมื่อทุกอย่างพร้อม ตม. จะเริ่มยิงคำถามใส่เรา ยิงแล้วยิงอีก ผ่านล่ามที่อยู่ในสาย จงตั้งสติฟัง/ตอบคำถามให้ตรงกับเอกสารและความเป็นจริง หลังจากล่ามได้รับคำตอบจากทางเรา Translate ให้ตม.ฟัง เท่านั้นแหละ อีตม.ก็ถอนหายใจเอ๊า ถอนหายใจเอา แกล้งให้ใจเสีย แต่คิดว่าฉันกลัวหรอ เออแกฉันกลัวว่ะ
ในส่วนของคำถามไม่ยากแม้แต่นิดเดียว ขี้หมามากไม่ต้องตื่นเต้นทุกคนสามารถตอบได้ ง่ายกว่าข้อสอบที่เด็กป.1 สอบแข่งกันเข้าโรงเรียนอีก เช่น! หนูมาทำไรที่ประเทศของฉัน ประเทศของฉันมีอะไรถึงอยากจะมากันนักกันหนา หนูมากับใครชื่ออะไร ใครพาหนูมา มากี่วัน ไปเที่ยวที่ไหน (ก็ตอบแบบรวมๆ ยกตัวอย่างสถานที่ดังมาตอบก็ได้ ไม่ต้องไล่ตาม plan 123 เพราะเดะจะงงจนโป๊ะเอา) พักที่ไหน ชื่ออะไร นอกจากนี้ก็จะเป็นคำถาม basic อาทิ ใครปริ้นเอกสารให้ ทำงานที่ไหน เงินเดือนเท่าไร (ก็บอกไปตามเอกสารนั้นๆ) อันนี้แค่ตัวอย่างนะ แต่นี่คิดว่าสามารถมีวิธี manage คำถามต่างๆ ได้ หลังจากนั้นตม.ก็จะเข้าสู่ลูปเดิม คำถามก็วน1 วน2 และวน3 ไปเรื่อยๆ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าหล่อนมาเที่ยวจริงๆ
เมื่อสัมภาษณ์เรียบร้อยแล้ว จะมีอยู่ 2 เว คือ
1. ถ้าตม.เชิญหนูให้กลับไปนั่งที่เดิม นั่นแปลว่าเปอร์เซ็นที่หนูจะรอดชีวิตนั้นสูงมาก แต่อย่าเพิ่งวางใจถ้าตม.ยังไม่พาหนูออกไปจากห้องนี้
2. ถ้าตม.ยื่นเอกสารบางอย่างให้หล่อนเซ็นนั่นเท่ากับว่าหล่อนจบชีวิตที่เกาหลีแล้ว เตรียมตัวหอบผ้าหอบผ่อนกลับบ้านหล่อนไปได้เลย
เอกสารที่เราเตรียมไป
· fiight บินไป-กลับที่ระบุวันและเวลาที่ชัดเจน
· เอกสารรับรองพนักงานที่ทางบริษัทออกให้
· สลิปเงินเดือน แนบไปด้วย (เผื่อไม่เชื่อว่าเราเป็นพนักงานจริงๆ)
· เอกสารการจองที่พักตามจำนวนวันที่อาศัยอยู่ในเกาหลี
· plan เที่ยวคราวๆ
เรื่องที่อยากฝาก
เตรียมเอกสารจากไทยให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็น แพลนเที่ยวคราวๆ เอกสารเที่ยวบินทั้งข้างไปและขากลับที่ระบุเวลาและ flight บินที่ชัดเจน รายละเอียดที่พักที่เราจองไว้ ทั้งชื่อ ที่ตั้ง และตรงกับตามจำนวนวันที่ใช้ชีวิตอยู่ที่เกาหลี *ถ้าเป็พนง.บริษัทก็ขอเอกสารรับรองพนง.จากบริษัทไปด้วย สลิปเงินเดือน(ถ้ามี) ก็พกของเดือนล่าสุดแนบไปด้วย กำเงินวอนที่แลกไป(เผื่อเขาขอดู) แลกไปให้ balance กับจำนวนวันที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น โอเค่ะ
เสื้อผ้าหน้าผมก็มีส่วนสำคัญมาก เพราะมันจะสร้างความน่าเชื่อถือให้เราได้ตั้งแต่ด่านแรก ไม่ใช่แค่ดูดีจากภายในสู่ภายนอกนะพี่ มันใช้ได้ไม่หมด
ซิม : ควรซื้อซิมจากไทยเลย เมื่อถึงเกาหลีจะได้ internet ที่พร้อมใช้งาน ใครจะบอกว่าสนามบิน wifi แรง อันนี้ยอมรับว่าแรงจริง แต่หากได้เข้าไปห้องเย็นแล้วละก็ หนูจะพบกับจุดอับสัญญาณ คือหนูจะไม่สามารถเชื่อมต่อ wifi ได้เลย
ด่านแรก! อย่าเลิ่กลั่ก เดินตามเพื่อนที่มาด้วยกัน อย่าไปเดินตามคนอื่น เมื่อตม.ถามว่ามากับใครจะได้ชี้ถูกตัว
คนไทยขึ้นชื่อว่าน้ำใจงาม แต่เมื่ออยู่เกาหลีก็ตัวใครตัวมันก่อน ผ่านตม.แล้วค่อยว่ากัน
ถ้าเราไปเที่ยวจริงๆ ไม่ได้ไปทำอะไรแบบที่เขากลัวว่าเราจะไปทำ ก็แสดง แสดงมันออกมา ไปรยา พัชราภา อยู่ตรงไหนดึงมันออกมาใช้ อย่าได้กลัว แต่ให้พองามนะ
ปล. โพสนี้แค่อยากแชร์ในสิ่งที่เจอมา ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงถึงใคร หากมีข้อผิดพลาดในเรื่องของภาษาหรือเหตุการณ์ที่เล่ามาก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ