เรื่องราวท่ามกลางสงคราม

เรื่องเล่าจากนานกิง "การแข่งตัดคอคนให้ถึง 100 หัว"


(ภาพโนดะ คนซ้าย และมูไค คนขวา จาก http://www.mukai-noda.com/h1.html)

การสังหารหมู่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ก่อนที่กองทัพญี่ปุ่นจะบุกเข้าหนานจิง (นานกิง) เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 1937 หลังจากนั้นทหารญี่ปุ่นได้ลงมือเข่นฆ่า ข่มขืน และทารุณชาวจีนต่อไปจนถึงเดือนมกราคมในปีถัดมา
ยอดผู้เสียชีวิตขั้นต่ำยังไม่แน่ชัด แต่ยอดประเมินอย่างมากตรงกัน อยู่ที่ราว 300,000 คน  ระหว่างที่เกิดกรณีสังหหารหมู่นานกิง มีเหตุการซ้อนอีกเหตุการณ์คือ "การแข่งตัดคอคนให้ถึง 100 หัว" (百人斬り競争)

 เป็นการแข่งขันระหว่างร้อยตรีมูไค โทชิอะกิ (向井敏明) กับร้อยตรีโนดะ ซึโยชิ (野田毅) ทั้งคู่แข่งกันว่าใครจะสามารถใช้ดาบญี่ปุ่นตัดศีรษะคนจีนได้ถึง 100 คนก่อนกัน ระหว่างการยาตราทัพรุกนานกิง มีสื่อญี่ปุ่นรายงานอย่างใกล้ชิดเกือบทุกระยะ จนกระทั่งได้ความว่ามูไคตัดไปได้ 106 หัว ส่วนโนดะได้ไป 105 หัว กรณีนี้มักถูกยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างความโหดเหี้ยมของกองทัพญี่ปุ่นที่กระทำต่อชาวจีนอย่างป่าเถื่อน

หลังจากสิ้นสงคราม กองบัญชาการกลางของสหรัฐในญี่ปุ่น (GHQ) ได้ทราบเรื่องนี้ และควบคุมตัวนายทหารทั้ง 2 ไว้จากนั้นส่งตัวไปให้ทางการจีน ศาลอาชญากรสงคราม ตัดสินว่าทั้งคู่ก่ออาชญกรรมจริง ฐานสังหารพลเรือนและนักโทษสงคราม ให้ประหารชีวิตเสียที่นานกิง

ปัญหาก็คือ หลังสงครามมีการถกเถียงอย่างหนักว่าการการแข่งตัดคอคนให้ถึง 100 หัวเกิดขึ้นจริงหรือไม่ นอกจากจะโต้เถียงในวงวิชาการแล้ว ญาติของนายทหารทั้ง 2 ยังฟ้องร้องนักประวัติศาสตร์และสื่อที่เปิดเผยเรื่องดังกล่าวว่าปั้นเรื่อง แต่ปรากฎว่าศาลกรุงโตเกียวไม่รับฟ้อง เพราะหลักฐานระบุชัดว่าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจริง ซึ่งในข้อมูลฝ่ายญี่ปุ่นยกหลักฐานมางัดค้านดุเดือดมาก มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าการแข่งกันตัดคอได้เกิดขึ้นจริง

                                                                       การตัดศีรษะชาวจีนโดยทหารญี่ปุ่น
เรื่องแรกคือสื่อในญี่ปุ่นรายงานเรื่องนี้มีหลักฐานชัดเจน และผู้ที่เล่าให้สื่อฟังคือก็คือโนดะกับมูไค โดยเฉพาะโนดะถึงกับบอกกับหนังสือพิมพ์โตเกียวนินิชิมบุน (วันที่ 19 เดือนกันยายนปีโชวะที่ 14) ว่า พยายามจะฆ่าให้ถึง 500 หัว แต่ตอนนี้ตัดไปได้แค่ 305 หัว 
ก่อนหน้านั้นโนดะยังกลับบ้านเกิดที่คะโงะชิมะ โพนทะนากับคนที่นั่นว่ามีการแข่งตัดหัวให้ได้ 100 หัว (รายงานในคะโงะชิมะชิมบุนวันที่ 21 และ 26 เดือนมีนาคม ปีโชวะที่ 13) ตัวเขาตัดไปได้ 300 กว่าหัวแล้ว ซึ่งทั้งโนดะและมูไคเป็นคนบ้านเดียวกัน และเดินสายบรรยายวีรเวรวีรกรรมของเขาหลายครั้ง ถึงกับมีผู้แต่งเพลงสรรเสริญ
มูไคบอกกับหนังสือพิมพ์ The Japan Advertiser ว่า "สนุก" กับเรื่องที่ทำลงไป แต่เสียที่ดาบบิ่นเพราะต้องตัดมันทุกแบบ ส่วนโนดะบอกว่า ทหารจีนโง่ เรียกมาตัดหัวก็เดินเข้าแถวกันมา

                                                                               ทหารญี่ปุ่นฝังชาวจีนทั้งเป็น
ข้างต้นนี้ เป็นหลักฐานฝ่ายหนังสือพิมพ์ในยุคร่วมสมัย นอกจากนี้ ยังมีพยานในเหตุการณ์คือ ไซโต ชินจู (佐藤振壽) ช่างภาพข่าวสงครามที่มีชื่อเสียง เล่าว่าได้ยินจากนายทหารทั้ง 2 คนว่าเกิดเรื่องเหี้ยมโหดที่ว่านั้นจริง และที่ต้องย้ำคือทั้งโนดะและมูไคเป็นคนเล่าให้ทั้งสื่อและคนทั่วไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง หลักฐานนี้นี่เองที่ศาลตัดสินว่า "การแข่งตัดคอคนให้ถึง 100 หัว" ไม่ใช่เรื่องที่ถูกปั้นแต่งขึ้น
แต่ก่อนที่จะถูกประหารที่นานกิง มูไคกับโนดะยืนยันด้วยแถลงการณ์ 2 ฉบับว่าไม่ได้เป็นคนลงมือสังหารพลเรือนและนักโทษสงคราม และจะไม่ยอมรับคำตัดสินว่าเขาเป็นอาชญากรสงคราม
ไม่ว่าพวกเขาจะกล่าวยืนยันอย่างไร ก็คงแก้ต่างอะไรไม่ได้อีก คงมีแต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์เท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสิน
ข้อมูลอ้างอิงเกือบทั้งหมดนำมาจาก 百人斬り競争 ใน ja.wikipedia.org ซึ่งมีหลักฐานอ้างอิงเชื่อถือได้
Cr.https://www.m2fnews.com/news/worldnews/19522

วีรกรรมของทหารไทยที่รบท่ามกลางหิมะ


ในสงครามเกาหลีต้องรบกันยาวนานถึง ๓ ปีกับ ๑ เดือน ทหารไทยเสียชีวิตไปทั้งหมด ๑๓๖ คน แต่วีรกรรมของทหารไทยที่รบท่ามกลางหิมะซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อนในชีวิต ก็เป็นที่กล่าวขานด้วยความชื่นชมกันมาก

วีรกรรมที่โด่งของทหารไทยเรื่องหนึ่งก็คือการรบที่เนินเขาพอร์คช็อป ซึ่งข้าศึกโหมเข้าโจมตีเพื่อจะชิงความได้เปรียบขณะมีการประชุมเพื่อหยุดยิงที่หมู่บ้านปันมุนจอม กองกำลังอาสาสมัครจีนได้โหมกำลังเข้าตีเนินนี้ซึ่งทหารไทยยึดอยู่ถึง ๕ ครั้ง แต่ก็ต้องล้มเหลวทุกครั้งจนต้องยกเลิกยุทธการไป 

เพราะทหารไทยต่อต้านอย่างเข้มแข็งแม้กำลังจะน้อยกว่า พลเอก เจมส์ เอ แวน ฟลีท ผู้บัญชาการกองทัพที่ ๘ ของสหรัฐที่ไปเยี่ยมถึงพอร์คชอปฮิลล์ได้กล่าวชื่นชมความแกร่งกล้าของทหารไทยมาก ให้สมญานาม ว่า “พยัคฆ์น้อย” หมายถึงแม้จะร่างเล็กแต่ก็สู้เหมือนเสือ และทำให้ทหารไทยได้รับเหรียญกล้าหาญถึง ๓๙ เหรียญ ในจำนวนนี้มีชื่อ พ.ท.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ซื่งต่อมาก็คือนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ ๑๕ รวมอยู่ด้วย

หลังการหยุดยิงในวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๔๙๖ แล้ว ทหารสหประชาชาติส่วนใหญ่ได้กลับบ้าน แต่ทหารไทยถูกขอให้เข้าสมทบกับทหารสหรัฐ อยู่รักษาการณ์เพื่อป้องกันมิให้สงครามคุขึ้นมาอีก จนกระทั่งหน่วยสุดท้ายถอนออกจากเกาหลีกลับประเทศไทยในวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๑๕

สิ่งที่คนเกาหลีแสดงออกถึงความซาบซึ้งในการเสียสละของทหารไทยในครั้งนี้ ก็คืออนุสาวรีย์ที่ระลึก เป็นรูปปั้นทหารไทยโอบกอดคนเกาหลี ร่วมกันก้าวเดินไปข้างหน้า สู่ความหวังของชีวิต
สิ่งที่ประทับใจทหารไทยมากที่สุดในการไปสงครามครั้งนี้ นอกจากมิตรภาพกับทหารอเมริกันที่ร่วมรบ รวมทั้งไมตรีจิตที่ชาวเกาหลีมอบให้จนเกิดนิยายหลายเรื่อง   โดยส่วนหนึ่งถูกนำมาถ่ายทอดเหตุการณ์ผ่านเรื่องเล่าในภาพยนตร์เรื่อง “อารีดัง”  และบทเพลงที่ชื่อ อารีดัง (อารีรัง) เสียงครวญจากเกาหลี, รักคุณเข้าแล้ว และเสียงครวญจากทหารไทย
Cr.https://mgronline.com/onlinesection/detail/9610000061171

เรื่องตลกในสงครามเกาหลี ขอกระสุนแต่ดันได้ลูกอม 


เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นในปี 1950 สงครามเกาหลีกำลังคุกรุ่น ท่ามกลางการปะทะกันระหว่างเกาหลีใต้ภายใต้การสนับสนุนของสหประชาชาติ (UN) กับเกาหลีเหนือซึ่งสนับสนุนโดยจีน นั้นหนึ่งสมรภูมิที่รบพุ่งใส่กันอย่างดุเดือดก็คือสมรภูมิอ่างเก็บน้ำโชชิน (Battle of the Chosin Reservoir)

ในตอนนั้นทหารสหรัฐฯ ที่ประจำอยู่ที่นั่นต้องเพชิญกับสภาวะที่เลวร้ายและกดดันอย่างรุนแรง ด้วยสภาพอากาศที่ติดลบจนทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นน้ำแข็ง แม้แต่เสบียงอาหารก็ยังแข็งจนแทบจะอุ่นกินไม่ได้ กระสุนปืนครกก็ร่อยหรอ ซ้ำจำนวนกำลังพลก็น้อยกว่าจีนเกือบสิบเท่า พวกเขาเสียเปรียบทุกทางจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี หากว่าไม่มีการส่งทรัพยากรทางอากาศเข้ามาในเร็ว ๆ นี้พวกเขาคงตายหมดแน่

แต่ในสถาการณ์ของสงครามที่อีกฝ่ายมีการดักฟังวิทยุสื่อสาร รวมไปถึงปืนต่อต้านอากาศยานที่วางอยู่ทั่วพื่นที่ ทำให้หน่วยวิทยุต้องใช้รหัสลับในการส่งกระสุนเข้ามา โดยรหัสลับที่ใช้แทนที่คำว่า “กระสุน” คือคำว่า “Tootsie roll” ซึ่งเป็นชื่อยี่ห้อลูกอมรสช๊อกโกแลต

ด้วยความเข้าใจผิดของฝ่ายรับสารหรืออย่างไรไม่ทราบ แต่เมื่อเครื่องบินทิ้งกล่องสัมภาระลงมา สิ่งที่อยู่ด้านในดันไม่ใช่กระสุนปืน แต่เป็น “Tootsie roll” ลูกอมช๊อกโกแลตจริง ๆ เต็มลัง
ทว่าถ้าความเข้าใจผิดนี้ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายใดๆ  เพราะแทนที่มันจะทำให้ทหารหน่วยนี้ท้อแท้ กลับกันอาจจะเป็นเพราะน้ำตาลหวานเจี๋ยบในลูกอมที่ทำให้ทหารหน่วยนี้ปิ๊งไอเดียบรรเจิดขึ้นมาได้ ด้วยความที่เจ้าลูกอมทูซซี่โรลจะมีความอ่อนนุ่มเมื่อเคี้ยวอยู่ปาก แต่จะแข็งโป๊กเมื่อเจอกับสภาพอากาศเย็นติดลบภายนอก

พวกเขาจึงใช้มันในการอุดรอยกระสุนของพาหนะ รวมทั้งใช้ซ่อมแซมอุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือ อาวุธต่างๆ ที่เสียหายแล้วพากันฝ่าแนวข้าศึก ถอยทัพกันออกมาได้อย่างปลอดภัย ซึ่งในภายหลังทหารสหรัฐฯ ที่รอดชีวิตมาจากเหตุการณ์นี้ก็ถูกเรียกว่า “Chosin Few” และบางคนก็ถึงกับเรียกตัวเองว่าเป็น “Tootsie roll Troop” หรือหน่วยลูกอมทูซซีโรล

ปัจจุบันลูกอม Tootsie roll ยังก็ยังมีขายและคงรูปแบบรสชาติดั่งเดิมเอาไว้แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในปี 1907 ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ลูกอมที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก
Cr.flagfrog.com/

นางฟ้าของสัตว์จรจัดในพื้นที่สงครามใช้ชีวิตช่วยชีวิต


เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2560 เว็บไซต์มิเรอร์ เผยหนึ่งเรื่องราวชวนซึ้งใจที่เกิดขึ้นท่ามกลางพื้นที่สงคราม เมื่อมีหญิงสาวรายหนึ่งที่อุทิศตน อาสาเดินทางไปช่วยชีวิตสัตว์จรจัด  ในพื้นที่ของประเทศต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามอันแสนเลวร้าย
          
หญิงคนนี้มีชื่อว่า หลุยส์ แฮสตี้ (Louise Hastie) เรื่องราวเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม 2547 เธอได้เดินทางไปกับกองกำลังอาสาสมัครทางการทหาร Territorial Army ไปในพื้นที่ประเทศอิรัก เธอได้รับการฝึกให้ใช้ปืนในการสังหารเป้าหมาย อีกทั้งยังได้รับการแจ้งว่า ให้บอกลาครอบครัว หรือเขียนจดหมายเตรียมไว้สำหรับคนที่รักไว้ล่วงหน้า เพราะไม่รู้ว่าวันไหนเธออาจจะเคราะห์ร้าย ไม่มีชีวิตรอดกลับบ้าน...

ลำพังแค่ไม่มีสงคราม สัตว์จรจัดอย่างสุนัขและแมวที่อาศัยอยู่กลางทะเลทราย ก็มีช่วงชีวิตที่สั้นมากอยู่แล้ว ในฤดูร้อนอุณหภูมิสูงได้มากถึง 40 องศาเซลเซียส และในฤดูหนาวอุณหภูมิสามารถติดลบได้ถึง -20 องศาเซลเซียส ครั้งหนึ่งหลุยส์เคยมีโอกาสได้ไปเป็นอาสาสมัครการกุศลช่วยผู้คนที่ประสบภัยในอัฟกานิสถาน เธอก็ได้เห็นว่า สุนัขและแมวถูกปล่อยทิ้งให้เผชิญชะตากรรมด้วยตัวเอง

  แต่ถึงแม้ว่าสิ่งที่หลุยส์ทำจะมาพร้อมกับความเสี่ยงอันตราย ที่อาจจะพรากชีวิตเธอไปได้ตลอดเวลา เธอก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะทำตามปณิธานของตนเอง แม้ว่าในวันวันหนึ่งของเธอจะต้องเจอกับกระสุนจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน ผ่านมาที่ฐานปฏิบัติการในพื้นที่ที่เธออยู่ ทำให้เธอต้องหวาดกลัวจนตัวสั่น หรือบางครั้งที่ต้องหมอบลงกับพื้น เมื่อได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่น
          "ในวันแรก ๆ มันน่ากลัวมากจริง ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญจนไม่มีเวลาสนใจในสิ่งอื่นคือ พวกสัตว์ที่น่าสงสารเหล่านั้น เหยื่อที่ไร้เดียงสาท่ามกลางสงครามการต่อสู้อันโหดร้าย" หลุยส์ กล่าว
Cr.pet.kapook.com/

อาจารย์จ้างทหารไปช่วยลูกศิษย์ จากสงคราม


เราคงไม่คิดว่าเรื่องราวแบบ Saving Private Ryan หรือ การส่งทหารเพื่อไปช่วยชีวิตคนที่ติดอยู่ในสงครามจะเกิดขึ้นในยุคนี้
บ่อยครั้งที่เรื่องราวในภาพยนตร์ ถูกสร้างมาจากเรื่องจริง  แต่ในบางครั้ง เรื่องจริงที่เกิดขึ้น มันกลับยิ่งน่าเหลือเชื่อมากกว่าในภาพยนตร์เสียอีก
ไม่นานมานี้ มีการเปิดเผยว่า  ในปี 2014  อาจารย์มหาวิทยาลัย Lund ในประเทศสวีเดน ได้ว่าจ้างทหาร เพื่อปฏิบัติการช่วยเหลือลูกศิษย์ ออกมาจากภัยสงครามโดยได้ทำการว่าจ้างทีมทหารรับจ้างมืออาชีพ จำนวน 4 นาย ให้เข้าไปช่วยเหลือ Jumaah จากกลุ่ม IS ในบ้านเกิด เพื่อให้กลับมาทำวิทยานิพนธ์จนเสร็จ และเรียนจบออกไปมีอนาคตที่ดีต่อไป
และสุดท้าย ปฏิบัติการประสบความสำเร็จ สามารถนำตัว Jumaah และครอบครัว ไปส่งที่สนามบินได้อย่างปลอดภัย  เวลาผ่านไป นาย Jumaah ได้กลับมาทำวิจัย และเรียนจบปริญญาเอกในที่สุด 
Cr.longtunman.com/12007

ขอขอบคุณข้อมูลทั้งหมด

Cr./OldMovieReview
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่