[CR] เวียดนามใต้กะทันหัน 4 วัน 3 คืน South Vietnam ( Ho Chi Minh - Mui Ne - Da Lat )

“เฮ้ยไปเที่ยวไหนดีวะ” คำถามที่เกิดเพราะต้องเลือกที่ไปเที่ยวสักที่ เพราะเราได้ลงทะเบียนเรียนวิชา Culture and excursion หรือเด็กๆจะเรียกกันจนติดปากว่าเจนท่องเที่ยว เราต้องจัดทริปไปเที่ยวสักหนึ่งที่กับกลุ่มของเรากันเองไปด้วยตัวเอง ที่ไหนก็ได้ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือนอกประเทศ “นอกประเทศดิวะ ไปทั้งที” เพื่อนคนนึงพูดขึ้นมา  ทีนี้ปัญหาหลักคือไปประเทศไหนดี ด้วยงบอันน้อยนิดในกระเป๋าตังของพวกเรา ชิมช้อปใช้ก็ใช้ไม่ได้ 5555 จนสุดท้ายมีคนพูดขึ้นมาว่า “เวียดนามปะดูพันทิปมาสวยดี ราคาไม่แพงด้วย” ทุกกคนก็ต่างเออออเลือกเลยโดยไม่ได้ตัดสินใจอะไรทั้งนั้น จึงเกิดขึ้นเป็นกะทันหันทริป เวียดนามใต้ของพวกเรา
หลังจากเราตัดสินใจที่จะไปเที่ยวเวียดนามได้ไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ เพื่อนก็ส่งรูปนี้มาในไลน์กลุ่ม Airasia มีโปร !!! ไม่รอช้าเรารีบจองตั๋วไปกลับสำหรับห้าที่นั่งของกลุ่มเรา โดยเราได้เลือกเดินทางจากกรุงเทพ (ดอนเมือง) ไปลงยัง นครโฮจิมินห์ (ท่าอากาศยานนานาชาติเตินเซินเญิ้ต) เพราะได้มีการคุยๆกันนิดหน่อยว่าอยากไปเที่ยวเวียดนามใต้ โดยทริปนี้เรามีเวลาอยู่ที่เวียดนามเป็นเวลา 4 วันโดยเราได้เดินทางในช่วงวันที่ 21-24 ตุลาคม หลังจากได้จองตั๋วอย่างรวดเร็วไปกับโปรโมชั่น ของ Air asia เราก็ได้มานั่งคุยกันว่าจะไปเที่ยวที่ไหนบ้างดี นั่งวางแผนที่เที่ยว สุดท้ายได้ข้อสรุปว่าเราจะไปทั้งหมดสามเมืองคือ โฮจิมินห์ มูยเน่ และดาลัต 
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ผ่านไปแปปเดียวก็ถึงวันที่เราต้องเดินทาง ก็คือวันที่ 21 ตุลาคม โดยไฟล์ทที่เราเดินทางคือ FD 658 ขึ้นเครื่องเวลา 18.45 น.เนื่องจากวันนั้นเป็นวันที่มีการสอบโปรเจคเราจึงวางแผนว่าจะออกจากมหาวิทยาลัยเวลา 16.30 น. หลังจากสอบโปรเจคเราก็จะเดินทางออกจากมหาลัยกันเลย ทุกอย่างเป็นไปได้อย่างราบรื่นเรามาถึงสนามบินดอนเมืองโดยนั่งแท้กซี่มาถึง เวลา 17.45 น. ซึ่งเราได้ทำการ Check in Online มาก่อนแล้วจึงไม่ต้องห่วงเรื่องเวลามา Check in ที่ Counter มาถึงเราก็มาปริ้นท์ Bording pass ที่ตู้และไปหาอะไรรองท้องก่อนไปเกทเพื่อรอขึ้นเครื่อง แต่แล้วสิ่งที่ไม่ราบรื่นเรื่องแรกก็เกิดขึ้นเมื่อมีเพื่อนหนึ่งคนในกลุ่มลืม Passport ไว้ที่มหาวิทยาลัย เอาแล้วทำยังไงดี ก้มมองนาฬิกาตอนนั้นคือเหลือเวลา อีกเพียง 1 ชม. เพื่อนรีบโทรกลับมาให้เพื่อนที่แลปส่งพาสปอร์ตไปให้ผ่านแมสเซนเจอร์ รอแล้วรอเล่า พาสปอร์ตก็ยังไม่มา จนถึงเวลา Bording time แล้วคำพูดสุดท้ายที่พูดกับเพื่อนก็คือ “เจอกันบนเครื่องเพื่อน” สรุปก็คือ ตกเครื่องครับ 555 เพื่อนต้องเปลี่ยนไฟล์ทเป็นไฟล์ทถัดไปซึ่งบิน 7 โมงเช้าวันถัดไป ก็เลยต้องนอนที่ดอนเมืองหนึ่งคืนเพื่อที่จะตามไปในวันถัดไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ราบรื่นเรื่องแรกของทริปแต่ก็ยังเป็นแค่เรื่องแรก ตลอดทริปยังมีอีกเยอะ.
นั่งเครื่องประมาณสองชั่วโมงนิดหน่อยเราก็มาถึงท่าอากาศยานนานาชาติเตินเซินเญิ้ต เร็วสะยิ่งกว่าขับรถเข้ากลางเมืองเสียอีก ถึงเพื่อนจะตกเครื่องไปหนึ่งคน แต่ทริปยังคงต้องดำเนินต่อไป เรามาถึงนครโฮจิมินห์ประมาณเวลา 21.40 ซึ่งยังมีอีกประมาณเกือบสองชั่วโมงก่อนจะต้องไปขึ้นรถบัสเพื่อไปยังจุดหมายแรกของทริปเรานั่นก็คือมูยเน่ หลังจากผ่าน ตม. เราก็ทำการซื้อซิมการ์ด ตรงทางออกของสนามบิน โดยสนนราคาอยู่ที่ 175,000 VND ถ้าตีเป็นเงินไทยก็คงจะประมาณ 237 บาท ซึ่งได้เน็ต 10 GB อยู่ได้ 5 วัน ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่จขกทเคยไปมา หลังจากใส่ซิมกันเรียบร้อยครบทุกคนเราก็ตัดสินใจเรียก Grab เพื่อนไปแถวท่ารถบัสที่เราต้องไปต่อ เพื่อกะจะไปหาอะไรกินแถวนั้น เรานั่ง Grab ออกมาจากสนามบิน แล้วก็ได้พบกับสภาพการจราจรของนครโฮจิมินห์ สมคำร่ำลือจริงๆ เสียงแตรตลอดทางรถยนตร์ขับคร่อมเลนตลอดทาง สุดยอดจริงๆการจราจรเวียดนาม ท่ารถห่างออกไปจากสนามบิน 5-6 กิโลเมตร ซึ่งค่า Grab ก็ถูกแสนถูกอาจด้วยเนื่องเป็นเวลาดึกแล้วทำให้ค่า grab ตกแค่คนละยี่สิบกว่าบาทเท่านั้นเอง 

เมื่อมาถึงเราก็มา Check in เพื่อรับตั๋วรถบัส ซึ่งเราได้ทำการจองในเว็บไซต์มาก่อนแล้ว สนนราคาต่อคนอยู่ที่ 140,000 VND ซึ่งเราได้นั่งรถบัสของ Futa Bus Line ซึ่งรถออกเวลา 23.30 ซึ่งยังเหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมงเราจึงตัดสินใจหาอะไรกินย่านใกล้ๆนั้นกันก่อนที่จะนั่งรถบัสยาว 4 ชั่วโมง ระยะทางประมาณ 200 กว่ากิโลเมตร
และนี้ก็คือหน้าตาอาหารมื้อแรกของเราในเวียดนาม ซึ่งในตอนแรกเรานึกว่ามันคือ เฝอ แต่ที่จริงแล้วมารู้ภายหลังว่ามันคือ Bún Bò Huế (บุ๋นบ่อเว้) หรือก็คือขนมจีนเนื้ออะไรประมาณนี้ ซึ่งรสชาติก็ถือว่าโอเคเลยสำหรับคนไทย กินได้ไม่แย่แต่ก็ไม่ได้อร่อยขนาดนั้น สนนราคาอยู่ที่ชามละ 40,000 VND หลังจากกินกันเสร็จเราก็แวะมินิมาร์ทซื้อของเล็กๆน้อยๆซึ่งของราคาถูกมากๆเมื่อเทียบกับที่ไทย โดยจากที่สังเกตแล้วในโฮจิมินห์จะมีร้าน Circle K เยอะที่สุดเหมือนเป็นเซเว่นของบ้านเรา หลังจากนั้นเราก็ไปขึ้นรถที่ท่ารถซึ่งตอนแรกเราก็งงๆเพราะรถที่เราจองไปเป็น Sleeper bus ซึ่งเป็นรถบัสแบบนอนซึ่งที่ท่ารถมีแต่รถตู้ แล้วเขาก็พาเราขึ้นรถตู้ไปแบบงงๆด้วยความที่เขาก็สื่อสารภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะได้
หลังจากที่เรานั่งรถตู้มาได้สักพักถึงได้รู้ว่าเขากำลังพาไปส่งจุดขึ้นรถที่อยู่ถนนสายหลักเพื่อไปรอขึ้นรถบัสอีกที หลังจากเราลงรถตู้มาได้สักพัก รถบัสก็มาถึง ซึ่งรถบัสก็เป็นแบบในรูปซึ่งไม่มีในไทย เป็นที่นอนแบบที่นอนเลย มีสองชั้นคือชั้นบนกับชั้นล่าง ตอนขึ้นรถเขาจะให้ถอดรองเท้าเพื่อเอาใส่ถุงและถือเดินขึ้นไปยังที่นอนที่เราจองไว้ ซึ่งจุดนี้ก็แล้วแต่สภาพกลิ่นเท้าของแต่ละคน ว่าจะโชคดีหรือจะโชคร้าย 555 ที่นอนเป็นที่นอนที่สบายใช้ได้สำหรับคนที่ตัวสูงไม่เกิน 170 cm แต่สำหรับจขกทเองสูง 180 cm ก็จะไม่สามารถยืดขาได้ต้องนอนแบบงอขาแต่รวมๆแล้วก็ไม่ได้ลำบากอะไร ของที่ให้มาแต่ละที่นั่งก็จะมี ผ้าเย็นแล้วก็น้ำเปล่าหนึ่งขวด แล้วก็ผ้าห่มหนึ่งผืน ซึ่งภายหลังลงรถแล้วพึ่งรู้ว่าเป็นผ้าห่มใช้ซ้ำ เพราะตอนกำลังจะถึงปลายทางพนักงานก็เดินมาพับผ้าห่มของแต่ละที่วางไว้อย่างเรียบร้อยเพื่อสแตนบายรอผู้โดยสารขากลับ ก็ถือเป็นเรื่องที่แอบช้อคนิดๆ แต่โดยรวมก็หลับสบายดีตอบโจทย์กับการที่เราบินมาลงตอนดึกเพื่อนอนในรถและเที่ยวต่อตอนเช้าที่มูยเน่เลย
ตามกำหนดการณ์แล้วรถบัสจะถึงมูยเน่เป็นเวลา 05.30 แต่เอาเข้าจริงๆเวลา 03.45 เราโดนปล่อยลงจากรถที่จุดหมายปลายทาง ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงัดเวลาตีสามเกือบตีสี่ ซึ่งตามแพลนแล้วเราจะไปเที่ยวทะเลทรายกันเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นแต่ตอนตีสี่มันก็จะเกินไปหน่อยไหม 555 หลังจากยืนเงอะงะอยู่สักพักก็มีชาวเวียดนามเข้ามาเจรจาดูทรงแล้วก็น่าจะเป็นรับจ้างพาเที่ยวอะไรประมาณนั้น เขาก็มาเสนอที่จะพาเรานั่งรถ Jeep ไปเที่ยวที่เที่ยวที่ขึ้นชื่อในมุยเน่ทั้งหมด นั้นก็คือ White sand dunes , Red sand dune , Fairy stream และก็ Fisher man village ซึ่งโชคดีที่เราได้เจอคนไทยอีกหนึ่งคนเป็นพี่ที่เขาเดินทางเที่ยวคนเดียวในอาเซียนร่วมหาร jeep คันนี้ไปกับเราด้วยสนนราคารวมทั้งคันอยู่ที่ 1,000,000 VND เขาก็บอกให้เราเข้าห้องน้ำล้างหน้ารอก่อนเราจะออกเดินทางตอนตีสี่ เพื่อไป White Sand dunes เป็นที่แรกเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น
หลังจากนั่งรถมาประมาณสี่สิบกว่านาทีได้ ตอนแรกคิดว่าจะใกล้ๆ ไกลเอาเรื่องใช้ได้เลย เรามาถึงตีนทะเลทราย เวลาเกือบจะตีห้าแล้วซึ่งจากที่ดูแล้วเวลาพระอาทิตย์ขึ้นของวันนั้นอยู่ที่เวลาประมมาณ 5.37 เราก็ได้นั่งรอก่อนซึ่งในตอนแรกเราคิดว่า รถ jeep ที่พาเรามา เมื่อถึงเวลาแล้วจะพาเราขึ้นไปยังยอดทะเลทราย ซึ่งห่างกับที่เรานั่งรออยู่ตอนนี้น่าจะประมาณ 1-2 กิโลเมตรได้ แล้วเราก็ได้พบความจริงว่าเขาแค่มาส่งเราตรงนี้เฉยๆ ถ้าจะขึ้นไปก็มีสามทางเลือกก็คือ รถ jeep คันละหนึ่งล้านดอง หรือถ้าอยาก extream หน่อยก็เป็น ATV คนละหนึ่งล้านดอง หรือถ้าสายฟรีก็เดินเอา แต่คงจะต้องออกเดินตั้งแต่ตีสี่ถึงจะไปถึงทันพระอาทิตย์ขึ้นพอดี บางคนอาจจะคิดว่าแค่ระยะทางโลเกือบสองโลเองเดินจะไปยากอะไร ยากครับเดินแค่ไม่กี่เมตรก็เมื่อยแล้วด้วยความที่พื้นเป็นทรายเดินเท่าไหร่ก็เสียแรงไปกับการไถลกับพื้นทรายไปเรื่องๆสุดท้ายพวกเราก็ต้องจำใจควักตังอันน้อยนิดของพวกเราเพื่อจะขึ้นไปบนยอดทะเลทรายให้ทันพระอาทิตย์ขึ้นสนนราคาอยู่ที่ 1,000,000 VND ไหนๆก็มาถึงนี่แล้วจะไม่ขึ้นไปก็กะไรอยู่ 
และนี่ก็คือหน้าตาของรถ Jeep ที่พาเราขึ้นมาถึงยอดทะเลทรายได้ครับ การขับขี่ก็เรียกได้ว่า extream พอๆกับการเล่นรนถไฟเหาะที่สวนสยามกว่าจะถึงก็หัวโยกกันเรียกว่าถ้าไม่เกาะไว้ก็อาจจะปลิวออกจากรถได้ ซึ่งเขาจะทิ้งเราไว้ที่ยอดทะเลทราย 40 นาทีแล้วจะวนกลับมารับเราระหว่างนั้นเขาก็วนไปรับคนอื่นขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งเราก็ขึ้นมาได้ทันเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งเป็นวิวที่สวยมากๆ ทะเลทรายถือว่าสวยเลย ไม่สามารถอธิบายด้วยคำพูดได้เอาเป็นว่าไปดูรูปกันดีกว่า
ชื่อสินค้า:   เวียดนาม - โฮจิมินห์-มุยเน่-ดาลัด
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่