[CR] รีวิว Backpack Trip เที่ยวสุรินทร์ เยือนถิ่นกัมพูชา 4,500 เป็นไปได้ไง !!!

ทริปนี้พวกเราได้ตั้งโจทย์กันไว้ว่า อยากจะไปเที่ยวทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศพร้อมกันในทริปเดียว เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน ดังนั้นเราจึงต้องเลือกไปจังหวัดที่ติดกับชายแดน เพื่อที่จะได้ข้ามไปประเทศอื่นต่อได้ โดยต้องเป็นที่ ๆ พวกเราในกลุ่มไม่เคยมีใครไป หรือที่ ๆ คนไม่ค่อยไปเที่ยวสักเท่าไหร่ เพื่อที่จะรับประสบการ์ณในการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ๆ บ้าง โดยจังหวัดที่เราได้เลือกกันนั้นก็คือ จังหวัดสุรินทร์นั่นเอง เพราะเราอยากรู้ว่าจังหวัดสุรินทร์นอกจากช้างที่เรามักจะนึกถึงแล้ว จังหวัดนี้จะมีอะไรอย่างอื่นที่น่าสนใจที่พวกเราไม่เคยรู้อีกบ้าง ก่อนขอพามาดู Plan ใน Trip นี้ของพวกเราคร่าว ๆ กันก่อนเลยดีกว่า
โดยพวกเราไปกันทั้งหมด 7 คนและเลือกเดินทางด้วยรถทัวร์ จาก บขส.หมอชิต ไปลงที่ บขส.สุรินทร์ ที่อยู่ในตัวเมือง โดยเราถึงบขส.สุรินทร์ประมาณตีห้ากว่า ๆ ตอนนั้นอากาศกำลังดีมาก จากนั้นเราก็นั่งรถตุ๊ก ๆ คนละ 17 บาท เพื่อไปเก็บของก่อนที่โรงแรมมณีโรจน์
จากนั้นพวกเราก็ออกจากโรงแรมมาหาอะไรกินตอนสาย ๆ เดินไปเดินมาก็ไปเจอ ร้านก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นเจ้าดังประจำถิ่น พวกเราจึงได้เติมพลังกันเต็มที่ 
ขอบอกก่อนเลยว่า ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นร้านนี้อร่อยมาก ๆ ที่เด็ดสุดก็น้ำซุปร้อน ๆ อันแสนเข้มข้นของเขานี้แหละ 
มาถึงเมืองสุรินทร์บอกเลยห้ามพลาดกับ ร้านปุ๊ยก๋วยเตี๋ยวเนื้อรสเด็ด เจ้าของร้านเป็นกันเอง และใจดีสุด ๆ แถมกินเสร็จยังแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในจังหวัดสุรินทร์ให้เราอีกด้วย 
ก่อนจะเที่ยวต่อ เราก็ต้องมาไหว้พระประจำจังหวัดกันสะก่อน เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล ซึ่งวัดบูรพาราม ถือเป็นวัดที่เก่าแก่ และเป็นศูนย์รวมทางใจของชาวสุรินทร์เลยก็ว่าได้ นอกจากนี้ยังเป็นที่มาของภาพท่าน ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในตำนานอีกด้วย
ระหว่างที่พวกเราจะไปเที่ยวกันต่อ ก็ได้แวะร้านกุนเชียง 5 ดาว ซึ่งเป็นร้านของฝากชื่อดังของจังหวัดสุรินทร์เลยนะ มีทั้ง ของคาว ของหวาน และกุนเชียงปลาสลิดที่ไม่เคยกินที่ไหนมาก่อนอีกด้วย พี่ ๆ พนักงานก็ต้อนรับพวกเราดีมาก ให้พวกเราชิมฟรีแทบจะครบทั้งร้าน จนอดใจไม่ไหวต้องซื้อกลับไปกินกันต่อคนละ 3 - 4 ห่อเลยทีเดียวเชียว 
ถัดมาพวกเราวางแผนกันว่าจะไป ชุมชนผ้าไหมยกทอบ้านท่าสว่าง ซึ่งผ้าทอของที่นี้ได้รับการคัดเลือกเพื่อนำไปตัดเสื้อผ้า และผ้าคลุมไหล่คู่สมรส ให้ผู้นำ 21 เขตเศรษฐกิจ ที่มาร่วมประชุมเมื่อปลายปี 2546 อีกด้วย ซึ่งเราต้องไปขึ้นรถสองแถวใหญ่สีแดงแถวใกล้ ๆ ตลาดสดในตัวเมืองสุรินทร์ก่อน ระหว่างที่เดินทาง สองข้างทางเต็มไปด้วยนาข้าว และทุ่งหญ้าสีเขียว บรรยากาศดีสุด ๆ 
ไม่รู้ว่าลุงคนขับสงสาร หรือเอ็นดู ถึงอาสาขับรถพาเราเข้าไปส่งถึงข้างในชุมชน ไม่ปล่อยพวกเราไว้แค่หน้าปากซอย เมื่อถึงที่หมายในตอนแรกพวกเราคิดว่าชุมชนนี้จะต้องเป็นชุมชนที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว เหมือนกับชุมชนที่เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ แต่ว่าในความเป็นจริงแล้วเป็นชุมชนที่เงียบสงบมาก ทุกคนก็ต่างทำงานของตัวเองกัน ไม่ได้เข้ามาขายของหรือมีการเก็บค่าเข้าเหมือนที่อื่นๆ
เริ่มแรกพวกเราได้เข้าไปชมขั้นตอนในการทำผ้าไหม ขั้นแรกคือการนำไหมมาต้มกับสีจากธรรมชาติซึ่งคุณป้าก็ให้ความรู้กับพวกเราเกี่ยวกับการต้มผ้าไหมเยอะมากๆ
ขั้นตอนถัดมา ก็การนำไหมไปตากให้แห้งก่อนนำมาทอ จะเห็นผ้าไหมถูกตากวางเรียงกันมากมาย 
จากนั้น เส้นไหมที่แห้งแล้วก็จะถูกนำมาผูกลายเพื่อทำไปทอต่อให้เป็นลายต่างๆ ซึ่งแต่ละลายก็มีที่มาต่างๆกันไป ราคาของผ้าไหมก็มีตั้งแต่เมตรละ 1,000 จนไปถึงเมตรละ 200,000 บาท เลยนะ พวกเราโชคดีมากที่วันนั้นเราเข้าในวันที่คุณป้ากำลังทอผ้าไหมลายพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 อยู่พอดี ลวดลายนี้มีความปราณีตและละเอียดมาก เห็นแล้วไม่แปลกใจเท่าไหร่ว่าทำไมถึงมีราคาสูง คุณป้าบอกว่าแต่ละผืนใช้เวลาทำนานเป็นเดือน ยิ่งลายไหนที่ละเอียดมาก ๆ ก็ยิ่งต้องใช้เวลามากเช่นกัน
กำลังชมการทอผ้าไหมอยู่ดี ๆ จู่ ๆ ฝนก็ตกลงมาสะงั้น พวกเราเลยไปเดินดูผ้าไหมที่มีขายในชุมชนแล้วก็ได้คุยกับคุณน้าคุณป้ายาว ๆ จนกว่าฝนจะหยุด ซึ่งตอนนั้นก็เป็นเวลาประมาณบ่ายสามแล้ว เราพึ่งรู้ว่าที่สุรินทร์เนี่ยรถประจำทางจะหมดตั้งแต่ตอนเที่ยง ๆ บ่าย ๆ แล้ว ด้วยสกิลการเอาตัวรอดของพวกเราก็เลยไปทำหน้าตาน่าสงสารบอกกับพี่ที่ร้านขายผ้าไหมว่า รบกวนพาไปส่งในตัวเมืองหน่อยได้ไหมคะ พี่เขาก็ใจดีมากพาเราไปส่งถึงที่โดยไม่คิดเงินสักบาท
พอตกเย็นพวกเราก็ลองไปเดินตลาดนัดกลางคืนที่อยู่ในตัวเมืองสุรินทร์ ความรู้สึกคล้าย ๆ ตลาดในกรุงเทพ ฯ แต่ว่าของถูกกว่ามาก ๆ พวกเราก็เลยซื้อกันแบบวู่วามไปหน่อย ที่เด็ดสุดก็คือของกินนี้แหละมีให้เลือกซื้อเยอะมาก ๆ เลย
เช้าวันต่อมาพวกเราตื่นกันตั้งแต่เช้าไปขึ้นรถตู้ที่ บขส.สุรินทร์ เพื่อที่จะข้ามฝั่งไปประเทศกัมพูชา ณ หน้าด่านช่องจอม โดยสิ่งที่ต้องเตรียมไปก็คือ ตัว หัวใจแล้วก็พาสปอร์ต (อันนี้ห้ามลืมเด็ดขาด)
หลังจากข้ามฝั่งมาได้แล้ว คนขับรถที่เราดีลไว้ก่อนหน้านี้ ก็มารับพวกเราเพื่อเข้าไปยังเมือง เสียมเรียบ ต่อนั้นเอง
ประเทศกัมพูชา แม้จะติดกับประเทศไทยแต่รถบ้านเขานั้นจะขับแบบพวงมาลัยซ้ายนะ เพราะได้รับอิทธิพลมาจากยุโรป พวกเราใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง จากด่านช่องจอม ไปยังเมืองเสียมเรียบ พวกก็เรานั่งรถกันแบบหลับ ๆ ตื่น ๆ กันตลอดทาง
สิ่งที่เราสังเกตุได้คือ นอกเมืองกับในเมืองมีความแตกต่างกันมาก ๆ นอกเมืองจะมีแต่ทุ่งนา บ่อบัว ส่วนในเมืองจะมีความเจริญมาก ๆ มีโรงแรมขึ้นมากมาย อย่างกับอยู่ใน Las Vegas อย่างไงอย่างงั้น แต่ที่แปลกใจคือถนนยังเป็นดินแดงอยู่ ถนนก็จะมีการแบ่งแบบยุโรป 
ที่พักที่เราได้จองไว้จะเป็นที่พักแบบ Hostel ที่ชื่อว่า Lub d โดยเราเลือกแบบห้องนอนรวมกันคนอื่น ซึ่งมีการแบ่งมุมไว้ให้เรานอน ที่พักสวยสะอาดตามาก ๆ เป็นที่พักที่คุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับราคาต่อคืน
แต่ตอนที่เราไปถึงยังไม่สามารถเช็คอินได้ พวกเราจึงได้เหมารถสามล้อของ Hostel ที่เราพักไปเที่ยวชมนครวัดกันก่อน โดยค่าใช้จ่ายในการเช่ารถสามล้ออยู่ที่คันละ 16 US Dollar ซึ่งต้องบอกกันก่อน ว่ากัมพูชาจะนิยมใช้เงินดอลล่าร์สหรัฐมากกว่าเงินเรียลกัมพูชา ของประเทศเขาเองเสียอีก แต่บางที่ก็สามารถใช้เงินไทยได้เลยนะ 
สำหรับค่าเข้าชมนครวัดจะอยู่ที่ 37$ หรือประมาณ 1100 บาทไทย ต่อ 1 วัน ซึ่งก็ถือว่าแพงพอสมควร แต่ที่เขาต้องเก็บค่าเข้าสูงเนี่ยเพราะว่าที่นี่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นมรดกโลกจากองค์กรยูเนสโก้ และขอบอกเลยว่าถ้าได้เข้าไปชมกับตาแล้วจะเปลี่ยนความคิดเลยทันที เพราะความงามของสิ่งที่จะได้เข้าไปชมนั้นคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปแน่นอน เวลาเข้าชมก็จะมีการตรวจบัตรเข้าชมค่อนข้างเข้มงวด
แค่ประตูทางเข้าฝั่งตะวันตกก็สวยงามมาก ๆ แล้ว สมกับเป็นมรดกโลกจริง ๆ สภาพโดยรวมก็ยังค่อนข้างสมบูรณ์อยู่
เนื่องจากว่านครวัดนักท่องเที่ยวเยอะมาก เราจึงมาชม ปราสาทบาปวน กันก่อนบอกเลยว่าที่นี่ดูอลังการดีสุด ๆ 
ต่อมาเราก็เดินไปชม บายอน ที่อยู่ใกล้ ๆ กันต่อ  เห็นถ่ายรูปออกมาสวยๆอย่างงี้ขอบอกเลยว่าอากาศอบอ้าวมาก ๆ ร้อนสุด ๆ 
จากนั้นเราก็ไปแวะ ปราสาทตาพรหม ขอบอกเลยว่าอันนี้ก็ห้ามพลาดของจริงสวยงามมาก ๆ ซึ่งมีจุดเด่นคือมีต้นไม้ต่าง ๆ จะปกคลุมปราสาทต่าง ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก จึงต้องมีการบูรณะอย่างสม่ำเสมอ ได้เพียงชมเพียงรอบนอกของปราสาทเท่านั้น เราจึงเดินเที่ยวถ่ายรูปกันพอเป็นพิธี 
ถัดมาก็มาถึงไฮไลท์ของที่นี่กันแล้ว นั่นก็คือ นครวัด อันโด่งดังนั่นเองจ้า บอกเลยว่ามันคือที่สุดจริง ๆ เห็นในภาพว่าสวยแล้ว มาเห็นของจริงบอกเลยว่าสวยกว่าที่คิดเยอะเลย ไม่เสียดายค่าเข้าชมเลยจริง ๆ ชีวิตในอยากให้ทุกคนมาเห็นด้วยตาตัวเองมาก ๆ 
แล้วก็สมควรแก่เวลากลับที่พักกันแล้ว ค่าใช้จ่ายในการเหมาสามล้อชมนครวัด มีเป็นแพกเกจเล็ก ๆ แบบที่พวกเราไปกันก็มีราคาอยู่ที่ 16 $ ต่อการเหมา 1 คันนั่งได้ประมาณ 4 คน ส่วนแพกเกจใหญ่ก็จะได้ชมปราสาทอื่น ๆ รอบนอกเมืองเพิ่มเติม และได้ไปยังจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินด้วย สนนราคาอยู่ที่ 25 $
ตกเย็นพวกเราก็มาหาอาหาร Local Food กินบอกเลยว่ามื้อนี้ผมประทับใจมากที่สุด ทีเด็ดของเขาเลยคือ Chives Cake ซึ้งคล้าย ๆ กุยช่ายทอดบ้านเรา แต่รสชาติอร่อยกว่าหลายเท่าตัว มาพร้อมกลิ่นแป้งที่ทอดแล้วหอมสุด ๆ  
สรุปค่าใช้จ่ายในการเที่ยวทั้งในประเทศ และต่างประเทศในทริปเดียว เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน ค่าใช้จ่ายตกอยู่คนละประมาณ 4500 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่คุ้มค่าอย่างมาก เมื่อกับประสบการ์ณที่ได้รับ
ชื่อสินค้า:   กัมพูชา เสียมราฐ
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่