
สวัสดีครับ ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนเลยว่า กระทู้นี้เป็นกระทู้รีวิวกล้องนะครับ
โดยกล้องที่ได้มาใช้คือ Compact รุ่นใหม่ของ Canon ชื่อรุ่น PowerShot G7X Mark III
ผมขอเรียกสั้น ๆ ว่า เจ้า G7X ละกัน
โดยเจ้า G7X นี่เป็นคอมแพคที่ครบเครื่องมากเลย จากที่ได้ลองใช้งาน
1. จับถนัดมือ
จากที่ใช้กล้องคอมแพคที่ผ่านๆ มาแล้วไม่ชอบคือจับแล้วไม่ถนัดมือเอามากๆ พร้อมที่จะลื่นหลุดตลอดเวลา
แต่เจ้า G7X มือผู้ชายใหญ่ๆ ก็ถือได้เข้ามือมากๆ มี body ที่ล็อคนิ้วฝั่งนิ้วโป้งด้านหน้าจอ
และฝั่งนิ้วชี้ด้านหน้า มียางหุ้มอย่างดีหมดห่วงได้เลย
2. ควบคุมได้ด้วยมือข้างเดียว
ในการถ่ายรูปปกติ เราต้องใช้มือทั้ง 2 ข้างในการควบคุม มือขวาถือกล้อง นิ้วโป้งนิ้วชี้
ปรับค่ากล้องต่างๆ มือซ้ายประคองกล้องหมุนเลนส์ซูม เปิดฝาหน้าเลนส์ จริงอยู่ที่เราก็สามารถถ่ายได้ด้วยมือข้างเดียวนะ
แต่มันหนักถือนานๆ ก็ล้า ยิ่งถ้าลืมเปิดฝาหน้าเลนส์ยังไงก็ต้องใช้อีกมืออยู่ดี
ในส่วนของ เจ้า G7X นี่เรียกได้ว่าเปลี่ยนความคุ้นเคยของช่างภาพที่ใช้กล้องตัวใหญ่ไปได้เลย
ถือมือเดียวก็ถ่ายได้ ไม่ต้องวุ่นวายปิดฝาถอดฝาหน้าเลนส์
และล้อหมุนปรับค่าของ เจ้า G7X นี่มีมา 3 ตัวเลย
ตัวแรกอยู่ที่หน้าเลนส์ โดยปกติจะถูกตั้งค่าไว้สำหรับการปรับ speed
แต่เราสามารถเข้าไป edit ให้มันเป็นการซูม หรือ การปรับโฟกัสก็ได้
ล้อหมุนที่สองอยู่ที่ด้านจอภาพเป็นปกติของ Canon ทุกตัวอยู่แล้ว
ล้อหมุนตัวที่สามที่ชอบที่สุดเลยคือ ล้อหมุนปรับ ชดเชยแสง พวก +1 +2 -1 -2
โดยปกติกล้องอื่นๆ อาจจะต้องจิ้มที่หน้าจอ หรือกดปุ่มเปิดฟังก์ชั่นตรงนี้
แต่ตัวนี้หมุนปรับได้เลยสะดวกมากๆ สำหรับคนชอบถ่ายโหมด P แบบผม
3. F/1.8 และ Noise ที่น้อย
พอ F/1.8 การถ่ายในที่แสงน้อยก็ดียิ่งขึ้นอยู่แล้ว พอรับแสงได้มากการดัน ISO สูงๆ ก็ลดลง
หรือในบางกรณีเราต้องดัน ISO ขึ้นสูง เจ้า G7X ก็ทำ Noise ออกมาได้น่าพอใจมากๆ
4. ระยะเลนส์ครอบจักรวาล
ถ่ายกว้างได้ และ Tele ได้ในตัวอีก คือพกไปตัวเดียวนี่ก็ถ่ายได้ครบทุกอย่างแล้ว
อันนี้ก็เป็นความประทับใจที่อยากจะบอกก่อน
จากที่ผมทำงานเป็นช่างภาพแบกกระเป๋ากล้อง 10 กิโล ถ่ายรูปทำงาน
แต่มาพกแค่ Canon G7X Mark III ตัวเดียวเบาๆ ไปตั้งแคมป์ 4 วัน 3 คืน
ที่ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ ซึ่งกล้องตัวนี้ให้สเปคมาครบเกินขนาดตัวมาก ถ่ายสนุกจริงๆ
โดยจุดเริ่มต้นของทริปนี้คือ จังหวัดกาญจนบุรี บ้านผมเอง โดยมีพ่อเป็นคนขับรถ พร้อมกับอุปกรณ์เต็นท์แบบจัดเต็ม
ซึ่งพ่อผมเนี่ยพึ่งโดนป้ายยา เข้าไปวงการเต็นท์มาสดร้อน ๆ และเห่อของใหม่มากกกก พ่อก็เลยจัดเต็มให้แบบสุด ๆ
ด้วยการโทรชวนเพื่อน ชื่อ อาตั้ม เพื่อนสนิทในวงการกางเต็นท์ ช่วยเลือกทำเลสถานที่ และอำนวยความสะดวกในการจองพื้นที่ด้วย

วันแรกที่เริ่มเดินทาง เป็นบรรยากาศช่วงพระอาทิตย์ตก ระหว่างกินข้าวที่กาญจนบุรี ผมจึงควักกล้องออกมา
ไปลองเก็บแสงช่วงเย็นดู ซึ่งเป็นการทดสอบกล้องครั้งแรก อันที่จริงคือผมถ่ายมาแล้วมืด เลยดึงรายละเอียดขึ้นอีกที
ซึ่งรายละเอียดที่ปรับได้มา ถือว่าครบใช้ได้

รูปสุดท้ายซ้อมมาโคร 1 ใบ ระยะชัดลึก และชัดตื้น ไล่ความชัดได้สวยงาม ถือว่าเลนส์สอบผ่านฮะ
DAY 1
เราเริ่มออกเดินทางกันตอน 04:30 น. ในแผนคือจากกาญจนบุรีวิ่งเลียบขึ้นไปทางจังหวัดตาก
และเลาะลำปาง ลำพูน ขึ้นเชียงใหม่ ถ้ากด google map
ให้กดว่าเป็นทางมอเตอร์ไซค์จะเป็นเส้นทางลัดเลาะ ถนน 2 เลน
หลีกเลี่ยงทางหลักได้เพราะจริงๆ ในวันที่เดินทางเป็นวันหยุดยาวแล้วรถจะเยอะมาก
และหลบกล้องจับความเร็วได้ด้วย (อ้าว)

เทคนิคเล็กน้อยสำหรับการถ่ายรูปจากตัวรถนะครับ
คือในการเดินทางของผมต้องทำเวลาพอสมควร เพราะเดี๋ยวจะขึ้นไปกางเต็นท์ไม่ทันเวลา
การแวะจอดข้างทางถ่ายรูปที่จะเสียเวลามาก แต่เห็นวิวสวยๆ ข้างทางก็ห้ามใจไม่ได้เนอะ ผมจะใช้สปีด 1/1000 ในการถ่าย
เพื่อให้เสาหรือต้นไม้มันไม่วาร์ปเบลอๆ พุ่งๆ ซึ่งวิธีนี้อาจจะทำให้ ISO สูงขึ้นด้วยและ noise ก็ตามมา แต่ เจ้า G7X นี่ทำได้สบายมั่กๆ


พื้นที่กางเต็นท์ที่แรกที่ อาตั้ม เพื่อนของพ่อเลือกให้บนดอยอินทนนท์คือ ชลธารวิว
เป็นพื้นที่เอกชนที่ขับเลยที่ทำการอุทยานดอยอินทนนท์มาไม่ไกลมาก โดยราคาค่าพื้นที่อยู่ที่ 100 บาท
มีห้องน้ำอุ่นและไฟฟ้าให้ใช้งานด้วย จะเล่นเน็ต ฟังเพลง ดูหนังในเต็นท์ได้แบบหมดกังวลไปเลย
และอีกอย่างที่อยากจะบอกคือ เราสามารถกางเต็นท์ข้างลำธารได้ครับ !! เด็กเมืองอย่างผมนี่ตื่นเต้นเลย
โดยรูปแบบการกางเต็นท์นะครับจะมีทั้งหมด 4 จุดใหญ่ๆ จุดแรกเป็นเต็นท์สำหรับนอนขนาดใหญ่ จุได้ 4 คน มี 2 หลัง
ส่วนเต็นท์ที่มีแต่หลังคาที่เราเรียกว่า Trap ใช้สำหรับเป็นจุดรวมพลนั่งกินข้าว และเต็นท์ขนาดนอนได้ 2 คน 1 หลัง
เต็นท์นี้ไม่มีคนนอนฮะ แต่พ่อกางไว้ให้ดูเต็มๆ เพื่อให้ลูกได้ถ่ายรูปสวยๆ ... เคฮะพ่อ

Trap ที่พูดถึงมันเหมือนเป็นเฉพาะหลังคาที่เราจะกางให้เต็นท์ก็ได้ กางไว้ให้เรานั่งเล่นก็ได้ หน้าตาประมาณนี้
อาตั้มเล่าว่ารูปแบบการขึงหรือขึ้น Tarp นี้มีหลายรูปแบบมากหน้าตาก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามความเหมาะสมกับพื้นที่ตั้งแคมป์นั้นๆ

ส่วนลำธารข้างเต็นท์นั้นเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงเลย เราจะลงไปเล่นน้ำก็ได้ แต่ก็ไม่ค่อยเหมาะเท่าไรกับหน้าหนาว
ในรูปจะเห็นส่วนที่เป็นหลังคาโครงสร้าง นั้นก็เป็นพื้นที่กางเต็นท์เหมือนกันถ้าฝนตกก็ไม่ต้องกลัวเปียก
คือดั้งเดิมชลธารวิวทำแปลงดอกไม้มาก่อน หลังคานั้นก็เป็นหนึ่งในนั้น และดัดแปลงพื้นที่เป็นลานกางเต็นท์ในเวลาต่อมา

มาดูบรรยากาศพื้นที่เตรียมสิ่งของต่างๆ ด้านในกันบ้าง พี่เล็กแฟนอาตั้ม และน้องบุตรี ลูกสาว

รีวิวความสะดวกสบายภายในเต็นท์โดยนางแบบรับเชิญ (จากเต็นท์ข้างๆ)
ตั้งแต่นอนเต็นท์มา นี่น่าจะเป็นที่ที่ผมนอนแล้วสบายที่สุดละ กว้างมากกก นอน 2 คนกับพ่อนี่เหลือๆ แถมยืนแต่งตัวในเต็นท์ก็ยังได้

และนี่ก็เป็นสภาพของการกางเต็นท์ที่เสร็จเรียบร้อยยยย เหนื่อยมากกก
กับการมากางเต็นท์แบบนี้ครั้งแรกกับพ่อ คือลืมบอกเวลาเดินทางไป
พวกผมเดินทางมาจากกาญจนบุรีถึงดอยอินทนนท์ราวๆ 13:30 น.
เข้าพื้นที่เตรียมของกางเต็นท์ 14:00 น. เสร็จราว 17:30 น. เรียกได้ว่าแฮ่กๆ
ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ การถ่ายรูปไปกางเต็นท์ไปของผมไม่เป็นอุปสรรคเลย
เพราะพกง่าย เก็บใส่กระเป๋าได้ ไปยกของ วางของ
ควักออกมาถ่ายใหม่ก็ยังได้ถ้าเป็นกล้องตัวใหญ่คงจะลำบากมากๆ

ทดสอบถือถ่ายในที่แสงน้อยช่วงกินข้าวเย็นก็สบายๆ

รูปนี้ถ้าจะเป็นการทดสอบการเปิดรายละเอียดสุดๆ ของตัวกล้อง โดยจะใช้ F/1.8 ส่วน ISO6400 กันเลย
ซึ่งหากใช้สำหรับในการลงกระทู้ ลง facebook, IG เรียกว่าไม่เป็นปัญหานะ ด้วยคุณภาพภาพที่ค่อนข้างละเอียด Noise ไม่เยอะ
กับกล้องตัวเล็กแบบนี้เรียกได้ว่าทำได้ดีมาก

แวะไปดูวิวดอยอินทนนท์ช่วง 4 ทุ่มกว่าๆ คืออาตั้มอยากให้ผมได้ไปเห็นแปลงดอกเบญจมาศ ของชาวดอยช่วงกลางคืนกัน
ซึ่งเค้าจะเปิดไฟไว้ตลอดเวลาเป็นการเร่งให้ดอกไม้โตเร็วยิ่งขึ้น ถือเป็นการทดสอบการถ่ายในที่แสงน้อยไปในตัว
ซึ่งถือว่า ภาพละเอียดประมาณนึงเลย

รูปนี้ผมใช้ขาตั้งไปถ่ายนาขั้นบันไดนะครับ เพราะกลางวันไม่มีโอกาสมา เลยมาชดเชยตอนกลางคืนแทน
สังเกตว่า เจ้า G7X นี่เก็บรายละเอียดรูปมาได้ดีมากๆ
ในการเก็บ Detail นาข้าว หรือ Detail ตรงภูเขาด้านหลัง
DAY 2
แผนวันที่ 2 นี่คือนอนเปื่อยพักผ่อนครับ ไม่เก็บแสงเช้าอะไรใดๆ ทั้งสิ้น
เพราะพ่อผมหมดแรงกับการขับรถรวดเดียวขึ้นดอย และการกางเต็นท์ไปหมดแล้ว
เลยว่าจะพักผ่อนกันสัก 1 วันเต็มๆ แล้วค่อยไปเดินทางถ่ายรูปชดเชยวันหลัง

ลองถ่ายภาพทั่วๆ ไปดู ตอนระหว่างทำอาหารเช้า

วิวที่เห็นได้จากจุดกางเต็นท์
ตกบ่ายๆ หลังกินข้าวเสร็จก็ออกไปสำรวจพื้นที่ตรงโครงการหลวงบ้าง และแวะไปน้ำตกสิริภูมิ น้ำตกที่เราสามารถออกเห็นได้จากระยะไกลครับ

รูปนี้ต้องบอกก่อนเลยว่า ถ้ากล้องไม่มีระยะ Telephoto นี่แห้วกินแน่นอน เพราะระยะจริงๆ มันไกลมากๆ
การที่กล้องมีระยะ Telephoto แบบนี้ช่วยเราจัดองค์ประกอบภาพได้เยอะเลย

น้ำตกสิริภูมิ 1 ใบถ้วน ก่อนนักท่องเที่ยวเข้ามาเต็มพื้นที่ ในโหมด ND Filter ของ G7X Mark III
คือช่วยลดแสงให้ถ่ายน้ำตกน้ำฟุ้งตอนบ่ายๆ ได้ ในรูปนี่ผมลากได้ราวๆ 1” เลย

ลองถ่ายใบไม้แบบ Macro ตอนขากลับ

หลังจากกลับจากน้ำตก ก็ถึงเวลาที่ผมรอคอย ก่อนจะมาตั้งแคมป์กับพ่อ ผมเคยเห็นภาพที่พ่อกับแม่ ไปเที่ยวกางเต็นท์แล้วจิบกาแฟในลำธาร
โอโฮฮฮฮ ไอ้ลูกนี่อิจฉาตาลุกอยากมามากกกในตอนนั้น เลยตั้งใจว่าจะต้องได้เก็บภาพนี้ด้วยมือตัวเองสักครั้งให้ได้
แต่อากาศตอนที่มาจริง คือค่อนข้างจะหนาว เช้ามาก็ 19 นิดๆ น้ำในลำธารนี่ระดับเดียวกับน้ำตู้เย็นชัดๆ


แถมนางแบบในชุดว่ายน้ำด้วย 1 คน

พอมีเวลาได้เดินสำรวจหมู่บ้านตลาดของฝากชาวดอยเล็กน้อย

Day 3
วันนี้แหละฉันต้องได้แสงเช้า พ่อผมชาร์จพลังมาเต็มที่ละ พร้อมพาลูกชายไปถ่ายแสงเช้าอันสดใสบนยอดดอย
นัดเดินทางเจอกันตี 5 ครึ่ง มุ่งสู่ยอดดอย

รูปนี้ก็เป็นอีกรูปในการตั้งสปีดสูงๆ แล้วดัน ISO6400

พื้นที่แรกที่อยากไปคือ กิ่วแม่ปาน แต่ตัวเส้นทางธรรมชาติวันที่ผมไปมันปิด !!
เหลือแต่วิวด้านถนนให้ได้ดู แต่เมฆเยอะมากไปนิด เศร้ามาก

รูปนี้ถ่ายมาละดึง Shadow เปิด Detail เล็กน้อย ซึ่งเจ้า G7X Mark III สามารถถ่ายไฟล์ raw .CR3
ซึ่งสามารถที่จะไปทำ Post Production ได้เทียบเท่ากล้อง DSLR ได้เลย
(มีต่อ)
ชื่อสินค้า: Canon PowerShot G7X Mark III
[SR] หยิบ Canon PowerShot G7X Mark III ตามพ่อไปตั้งแคมป์
สวัสดีครับ ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนเลยว่า กระทู้นี้เป็นกระทู้รีวิวกล้องนะครับ
โดยกล้องที่ได้มาใช้คือ Compact รุ่นใหม่ของ Canon ชื่อรุ่น PowerShot G7X Mark III
ผมขอเรียกสั้น ๆ ว่า เจ้า G7X ละกัน
โดยเจ้า G7X นี่เป็นคอมแพคที่ครบเครื่องมากเลย จากที่ได้ลองใช้งาน
1. จับถนัดมือ
จากที่ใช้กล้องคอมแพคที่ผ่านๆ มาแล้วไม่ชอบคือจับแล้วไม่ถนัดมือเอามากๆ พร้อมที่จะลื่นหลุดตลอดเวลา
แต่เจ้า G7X มือผู้ชายใหญ่ๆ ก็ถือได้เข้ามือมากๆ มี body ที่ล็อคนิ้วฝั่งนิ้วโป้งด้านหน้าจอ
และฝั่งนิ้วชี้ด้านหน้า มียางหุ้มอย่างดีหมดห่วงได้เลย
2. ควบคุมได้ด้วยมือข้างเดียว
ในการถ่ายรูปปกติ เราต้องใช้มือทั้ง 2 ข้างในการควบคุม มือขวาถือกล้อง นิ้วโป้งนิ้วชี้
ปรับค่ากล้องต่างๆ มือซ้ายประคองกล้องหมุนเลนส์ซูม เปิดฝาหน้าเลนส์ จริงอยู่ที่เราก็สามารถถ่ายได้ด้วยมือข้างเดียวนะ
แต่มันหนักถือนานๆ ก็ล้า ยิ่งถ้าลืมเปิดฝาหน้าเลนส์ยังไงก็ต้องใช้อีกมืออยู่ดี
ในส่วนของ เจ้า G7X นี่เรียกได้ว่าเปลี่ยนความคุ้นเคยของช่างภาพที่ใช้กล้องตัวใหญ่ไปได้เลย
ถือมือเดียวก็ถ่ายได้ ไม่ต้องวุ่นวายปิดฝาถอดฝาหน้าเลนส์
และล้อหมุนปรับค่าของ เจ้า G7X นี่มีมา 3 ตัวเลย
ตัวแรกอยู่ที่หน้าเลนส์ โดยปกติจะถูกตั้งค่าไว้สำหรับการปรับ speed
แต่เราสามารถเข้าไป edit ให้มันเป็นการซูม หรือ การปรับโฟกัสก็ได้
ล้อหมุนที่สองอยู่ที่ด้านจอภาพเป็นปกติของ Canon ทุกตัวอยู่แล้ว
ล้อหมุนตัวที่สามที่ชอบที่สุดเลยคือ ล้อหมุนปรับ ชดเชยแสง พวก +1 +2 -1 -2
โดยปกติกล้องอื่นๆ อาจจะต้องจิ้มที่หน้าจอ หรือกดปุ่มเปิดฟังก์ชั่นตรงนี้
แต่ตัวนี้หมุนปรับได้เลยสะดวกมากๆ สำหรับคนชอบถ่ายโหมด P แบบผม
3. F/1.8 และ Noise ที่น้อย
พอ F/1.8 การถ่ายในที่แสงน้อยก็ดียิ่งขึ้นอยู่แล้ว พอรับแสงได้มากการดัน ISO สูงๆ ก็ลดลง
หรือในบางกรณีเราต้องดัน ISO ขึ้นสูง เจ้า G7X ก็ทำ Noise ออกมาได้น่าพอใจมากๆ
4. ระยะเลนส์ครอบจักรวาล
ถ่ายกว้างได้ และ Tele ได้ในตัวอีก คือพกไปตัวเดียวนี่ก็ถ่ายได้ครบทุกอย่างแล้ว
อันนี้ก็เป็นความประทับใจที่อยากจะบอกก่อน
จากที่ผมทำงานเป็นช่างภาพแบกกระเป๋ากล้อง 10 กิโล ถ่ายรูปทำงาน
แต่มาพกแค่ Canon G7X Mark III ตัวเดียวเบาๆ ไปตั้งแคมป์ 4 วัน 3 คืน
ที่ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ ซึ่งกล้องตัวนี้ให้สเปคมาครบเกินขนาดตัวมาก ถ่ายสนุกจริงๆ
โดยจุดเริ่มต้นของทริปนี้คือ จังหวัดกาญจนบุรี บ้านผมเอง โดยมีพ่อเป็นคนขับรถ พร้อมกับอุปกรณ์เต็นท์แบบจัดเต็ม
ซึ่งพ่อผมเนี่ยพึ่งโดนป้ายยา เข้าไปวงการเต็นท์มาสดร้อน ๆ และเห่อของใหม่มากกกก พ่อก็เลยจัดเต็มให้แบบสุด ๆ
ด้วยการโทรชวนเพื่อน ชื่อ อาตั้ม เพื่อนสนิทในวงการกางเต็นท์ ช่วยเลือกทำเลสถานที่ และอำนวยความสะดวกในการจองพื้นที่ด้วย
วันแรกที่เริ่มเดินทาง เป็นบรรยากาศช่วงพระอาทิตย์ตก ระหว่างกินข้าวที่กาญจนบุรี ผมจึงควักกล้องออกมา
ไปลองเก็บแสงช่วงเย็นดู ซึ่งเป็นการทดสอบกล้องครั้งแรก อันที่จริงคือผมถ่ายมาแล้วมืด เลยดึงรายละเอียดขึ้นอีกที
ซึ่งรายละเอียดที่ปรับได้มา ถือว่าครบใช้ได้
รูปสุดท้ายซ้อมมาโคร 1 ใบ ระยะชัดลึก และชัดตื้น ไล่ความชัดได้สวยงาม ถือว่าเลนส์สอบผ่านฮะ
DAY 1
เราเริ่มออกเดินทางกันตอน 04:30 น. ในแผนคือจากกาญจนบุรีวิ่งเลียบขึ้นไปทางจังหวัดตาก
และเลาะลำปาง ลำพูน ขึ้นเชียงใหม่ ถ้ากด google map
ให้กดว่าเป็นทางมอเตอร์ไซค์จะเป็นเส้นทางลัดเลาะ ถนน 2 เลน
หลีกเลี่ยงทางหลักได้เพราะจริงๆ ในวันที่เดินทางเป็นวันหยุดยาวแล้วรถจะเยอะมาก
และหลบกล้องจับความเร็วได้ด้วย (อ้าว)
เทคนิคเล็กน้อยสำหรับการถ่ายรูปจากตัวรถนะครับ
คือในการเดินทางของผมต้องทำเวลาพอสมควร เพราะเดี๋ยวจะขึ้นไปกางเต็นท์ไม่ทันเวลา
การแวะจอดข้างทางถ่ายรูปที่จะเสียเวลามาก แต่เห็นวิวสวยๆ ข้างทางก็ห้ามใจไม่ได้เนอะ ผมจะใช้สปีด 1/1000 ในการถ่าย
เพื่อให้เสาหรือต้นไม้มันไม่วาร์ปเบลอๆ พุ่งๆ ซึ่งวิธีนี้อาจจะทำให้ ISO สูงขึ้นด้วยและ noise ก็ตามมา แต่ เจ้า G7X นี่ทำได้สบายมั่กๆ
พื้นที่กางเต็นท์ที่แรกที่ อาตั้ม เพื่อนของพ่อเลือกให้บนดอยอินทนนท์คือ ชลธารวิว
เป็นพื้นที่เอกชนที่ขับเลยที่ทำการอุทยานดอยอินทนนท์มาไม่ไกลมาก โดยราคาค่าพื้นที่อยู่ที่ 100 บาท
มีห้องน้ำอุ่นและไฟฟ้าให้ใช้งานด้วย จะเล่นเน็ต ฟังเพลง ดูหนังในเต็นท์ได้แบบหมดกังวลไปเลย
และอีกอย่างที่อยากจะบอกคือ เราสามารถกางเต็นท์ข้างลำธารได้ครับ !! เด็กเมืองอย่างผมนี่ตื่นเต้นเลย
โดยรูปแบบการกางเต็นท์นะครับจะมีทั้งหมด 4 จุดใหญ่ๆ จุดแรกเป็นเต็นท์สำหรับนอนขนาดใหญ่ จุได้ 4 คน มี 2 หลัง
ส่วนเต็นท์ที่มีแต่หลังคาที่เราเรียกว่า Trap ใช้สำหรับเป็นจุดรวมพลนั่งกินข้าว และเต็นท์ขนาดนอนได้ 2 คน 1 หลัง
เต็นท์นี้ไม่มีคนนอนฮะ แต่พ่อกางไว้ให้ดูเต็มๆ เพื่อให้ลูกได้ถ่ายรูปสวยๆ ... เคฮะพ่อ
Trap ที่พูดถึงมันเหมือนเป็นเฉพาะหลังคาที่เราจะกางให้เต็นท์ก็ได้ กางไว้ให้เรานั่งเล่นก็ได้ หน้าตาประมาณนี้
อาตั้มเล่าว่ารูปแบบการขึงหรือขึ้น Tarp นี้มีหลายรูปแบบมากหน้าตาก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามความเหมาะสมกับพื้นที่ตั้งแคมป์นั้นๆ
ส่วนลำธารข้างเต็นท์นั้นเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงเลย เราจะลงไปเล่นน้ำก็ได้ แต่ก็ไม่ค่อยเหมาะเท่าไรกับหน้าหนาว
ในรูปจะเห็นส่วนที่เป็นหลังคาโครงสร้าง นั้นก็เป็นพื้นที่กางเต็นท์เหมือนกันถ้าฝนตกก็ไม่ต้องกลัวเปียก
คือดั้งเดิมชลธารวิวทำแปลงดอกไม้มาก่อน หลังคานั้นก็เป็นหนึ่งในนั้น และดัดแปลงพื้นที่เป็นลานกางเต็นท์ในเวลาต่อมา
มาดูบรรยากาศพื้นที่เตรียมสิ่งของต่างๆ ด้านในกันบ้าง พี่เล็กแฟนอาตั้ม และน้องบุตรี ลูกสาว
รีวิวความสะดวกสบายภายในเต็นท์โดยนางแบบรับเชิญ (จากเต็นท์ข้างๆ)
ตั้งแต่นอนเต็นท์มา นี่น่าจะเป็นที่ที่ผมนอนแล้วสบายที่สุดละ กว้างมากกก นอน 2 คนกับพ่อนี่เหลือๆ แถมยืนแต่งตัวในเต็นท์ก็ยังได้
และนี่ก็เป็นสภาพของการกางเต็นท์ที่เสร็จเรียบร้อยยยย เหนื่อยมากกก
กับการมากางเต็นท์แบบนี้ครั้งแรกกับพ่อ คือลืมบอกเวลาเดินทางไป
พวกผมเดินทางมาจากกาญจนบุรีถึงดอยอินทนนท์ราวๆ 13:30 น.
เข้าพื้นที่เตรียมของกางเต็นท์ 14:00 น. เสร็จราว 17:30 น. เรียกได้ว่าแฮ่กๆ
ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ การถ่ายรูปไปกางเต็นท์ไปของผมไม่เป็นอุปสรรคเลย
เพราะพกง่าย เก็บใส่กระเป๋าได้ ไปยกของ วางของ
ควักออกมาถ่ายใหม่ก็ยังได้ถ้าเป็นกล้องตัวใหญ่คงจะลำบากมากๆ
ทดสอบถือถ่ายในที่แสงน้อยช่วงกินข้าวเย็นก็สบายๆ
รูปนี้ถ้าจะเป็นการทดสอบการเปิดรายละเอียดสุดๆ ของตัวกล้อง โดยจะใช้ F/1.8 ส่วน ISO6400 กันเลย
ซึ่งหากใช้สำหรับในการลงกระทู้ ลง facebook, IG เรียกว่าไม่เป็นปัญหานะ ด้วยคุณภาพภาพที่ค่อนข้างละเอียด Noise ไม่เยอะ
กับกล้องตัวเล็กแบบนี้เรียกได้ว่าทำได้ดีมาก
แวะไปดูวิวดอยอินทนนท์ช่วง 4 ทุ่มกว่าๆ คืออาตั้มอยากให้ผมได้ไปเห็นแปลงดอกเบญจมาศ ของชาวดอยช่วงกลางคืนกัน
ซึ่งเค้าจะเปิดไฟไว้ตลอดเวลาเป็นการเร่งให้ดอกไม้โตเร็วยิ่งขึ้น ถือเป็นการทดสอบการถ่ายในที่แสงน้อยไปในตัว
ซึ่งถือว่า ภาพละเอียดประมาณนึงเลย
รูปนี้ผมใช้ขาตั้งไปถ่ายนาขั้นบันไดนะครับ เพราะกลางวันไม่มีโอกาสมา เลยมาชดเชยตอนกลางคืนแทน
สังเกตว่า เจ้า G7X นี่เก็บรายละเอียดรูปมาได้ดีมากๆ
ในการเก็บ Detail นาข้าว หรือ Detail ตรงภูเขาด้านหลัง
DAY 2
แผนวันที่ 2 นี่คือนอนเปื่อยพักผ่อนครับ ไม่เก็บแสงเช้าอะไรใดๆ ทั้งสิ้น
เพราะพ่อผมหมดแรงกับการขับรถรวดเดียวขึ้นดอย และการกางเต็นท์ไปหมดแล้ว
เลยว่าจะพักผ่อนกันสัก 1 วันเต็มๆ แล้วค่อยไปเดินทางถ่ายรูปชดเชยวันหลัง
ลองถ่ายภาพทั่วๆ ไปดู ตอนระหว่างทำอาหารเช้า
วิวที่เห็นได้จากจุดกางเต็นท์
ตกบ่ายๆ หลังกินข้าวเสร็จก็ออกไปสำรวจพื้นที่ตรงโครงการหลวงบ้าง และแวะไปน้ำตกสิริภูมิ น้ำตกที่เราสามารถออกเห็นได้จากระยะไกลครับ
รูปนี้ต้องบอกก่อนเลยว่า ถ้ากล้องไม่มีระยะ Telephoto นี่แห้วกินแน่นอน เพราะระยะจริงๆ มันไกลมากๆ
การที่กล้องมีระยะ Telephoto แบบนี้ช่วยเราจัดองค์ประกอบภาพได้เยอะเลย
น้ำตกสิริภูมิ 1 ใบถ้วน ก่อนนักท่องเที่ยวเข้ามาเต็มพื้นที่ ในโหมด ND Filter ของ G7X Mark III
คือช่วยลดแสงให้ถ่ายน้ำตกน้ำฟุ้งตอนบ่ายๆ ได้ ในรูปนี่ผมลากได้ราวๆ 1” เลย
ลองถ่ายใบไม้แบบ Macro ตอนขากลับ
หลังจากกลับจากน้ำตก ก็ถึงเวลาที่ผมรอคอย ก่อนจะมาตั้งแคมป์กับพ่อ ผมเคยเห็นภาพที่พ่อกับแม่ ไปเที่ยวกางเต็นท์แล้วจิบกาแฟในลำธาร
โอโฮฮฮฮ ไอ้ลูกนี่อิจฉาตาลุกอยากมามากกกในตอนนั้น เลยตั้งใจว่าจะต้องได้เก็บภาพนี้ด้วยมือตัวเองสักครั้งให้ได้
แต่อากาศตอนที่มาจริง คือค่อนข้างจะหนาว เช้ามาก็ 19 นิดๆ น้ำในลำธารนี่ระดับเดียวกับน้ำตู้เย็นชัดๆ
แถมนางแบบในชุดว่ายน้ำด้วย 1 คน
พอมีเวลาได้เดินสำรวจหมู่บ้านตลาดของฝากชาวดอยเล็กน้อย
Day 3
วันนี้แหละฉันต้องได้แสงเช้า พ่อผมชาร์จพลังมาเต็มที่ละ พร้อมพาลูกชายไปถ่ายแสงเช้าอันสดใสบนยอดดอย
นัดเดินทางเจอกันตี 5 ครึ่ง มุ่งสู่ยอดดอย
รูปนี้ก็เป็นอีกรูปในการตั้งสปีดสูงๆ แล้วดัน ISO6400
พื้นที่แรกที่อยากไปคือ กิ่วแม่ปาน แต่ตัวเส้นทางธรรมชาติวันที่ผมไปมันปิด !!
เหลือแต่วิวด้านถนนให้ได้ดู แต่เมฆเยอะมากไปนิด เศร้ามาก
รูปนี้ถ่ายมาละดึง Shadow เปิด Detail เล็กน้อย ซึ่งเจ้า G7X Mark III สามารถถ่ายไฟล์ raw .CR3
ซึ่งสามารถที่จะไปทำ Post Production ได้เทียบเท่ากล้อง DSLR ได้เลย
(มีต่อ)
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้
ข้อมูลเพิ่มเติม