วิจารณ์กันให้แซ่ดในกลุ่มผู้ที่เข้าฟังการไต่สวนคดีเมืองการบินตะวันออกวานนี้ (7 พ.ย.) เมื่อบิ๊กทร.ในฐานะตัวแทนของผู้ถูกฟ้องคดี ขึ้นให้คำแถลงแย้งด้วยวาจาต่อหน้าองค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุด ขนาดเตรียมบทมาพูดแย้งตามสคริปต์แล้ว แต่ยังเผลอหลุดปากออกมาหลายฌอต ยิ่งพูดก็ยิ่งขึ้น จากหนักน้อยเป็นหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ
คนนั่งฟังประมวลความได้ว่า บิ๊กทร.น่าจะรับความกดดันมาขนาดหนัก ในฐานะผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการหน้างานในการรับเอกสารวันที่เกิดเหตุ เพราะการฟ้องร้องและคำแถลงของตุลาการเจ้าของสำนวนครั้งนี้ เท่ากับเป็นการชี้ถึงมูลความผิดพลาดของคณะทำงานรับเอกสาร ซึ่งบิ๊กทร.มีอำนาจหน้าที่ดูแลอยู่ จึงต้องทำให้เรื่องนี้ผ่านไปให้ได้ด้วยดี ซึ่งก็หมายถึงทำยังไงก็ได้ให้ฝ่ายผู้ฟ้องแพ้คดี
เมื่อต้องรับบทหนักขณะแถลงแย้งด้วยวาจาต่อหน้าองค์คณะ ซึ่งปกติควรพูดด้วยเหตุด้วยผลที่สามารถโต้แย้งกันได้ทางกฎหมาย แต่กลับเกิดอาการของขึ้น หัวฟัดหัวเหวี่ยง พูดเลยเถิดนอกบทด้วยการใช้อารมณ์อยู่ตลอดเลา หลุดปากเป็นดราม่าประเภทว่า ถ้าให้ผ่านไปได้ ต่อไปตนเองในฐานะผู้ดูแลมิต้องไปปรับกระบวนการ เปลี่ยนเจ้าหน้าที่ อะไรต่อมิอะไรที่เคยทำมาหมดหรือ
นอกจากนั้นยังใช้อารมณ์ถึงขึ้นไปกล่าวหาฝ่ายตรงข้าม (ตามที่เป็นข่าว) เช่นว่า ให้ผลตอบแทนกับรัฐสูง ทำผิดกฎแต่มีเงินจ้างทนายเก่ง และให้ประโยชน์รัฐมาก ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้งาน เงินชดเชยความผิดได้ ...ซึ่งคำพูดเหล่านี้ไม่ควรหลุดออกมา เพราะอยู่นอกเหนือบริบทของการแถลงต่อหน้าองค์คณะศาล ที่สำคัญเป็นคำพูดลอย ๆ ที่ไม่มีพยานหลักฐาน ซึ่งมีผลเสียต่อรูปคดีของฝ่ายตนเอง และทำให้ผู้พูดกลายเป็นบุคคลที่ขาดความน่าเชื่อถือ
การใช้อารมณ์ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ยังเลยเถิดไปถึงการยกคดีอื่นในอดีตขึ้นมาก้าวล่วงอำนาจศาล ทั้งที่มูลคดีและรูปคดีมีความแตกต่างกัน จึงเป็นการดูหมิ่นศาลอย่างชัดเจน แต่เดชะบุญที่ตุลาการหัวหน้าองค์คณะ ท่านมีเมตตาเหลือประมาณ ไม่เอาผิด แค่ออกโรงเตือนดึงสติบิ๊กทร.ว่า ศาลมีอำนาจของศาล ในการพิจารณาคดีอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม โดยทำหน้าที่อย่างสุขุม ดังนั้น การอยู่ในศาลต่อหน้าองค์คณะ คุณก็ควรจะทำหน้าที่อย่างสุขุมด้วยเช่นกัน
สุภาพและสะเทือนมาก ๆ ไม่หมดเท่านั้น ศาลท่านยังให้อภัย โดยบอกเจ้าหน้าที่ไม่ต้องบันทึกพฤติกรรมของบิ๊กทร.ในช่วงที่ใช้อารมณ์ไว้ในบันทึกของศาลด้วย ...ตรงนี้ภาษาธรรมเรียกว่า เมตตาไม่มีประมาณ
ดูเหมือนกลุ่มซีพีจะเจอด่านหิน และโครงการนี้คงไม่จืดชืดอย่างที่เป็นมาอีกต่อไป เมื่อท่าทีของทร.เปิดเผยออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่า ไม่ต้องการให้กลุ่มซีพีฝ่าด่านอรหันต์เข้าไปทำงานต่อได้ แม้จะดูเหมือนบิ๊กทร.เบรคแตกหรืออะไรก็ตาม แต่ก็ทำให้มองเห็นรอยร้าวลึก ๆ (เช่นว่าถ้าซีพีเกิดได้ขึ้นมาจริง ๆ จะทำงานร่วมกันต่อไปได้ยังไงอีก 50 ปีท่ามกลางความไม่ยินดีของเจ้าของบ้าน) และทำให้คิดต่อได้อีกมากมาย เป็นต้นว่า
การออกตัวแรงชัดเบอร์นี้ของทร. มันน่าจะมีอะไรที่มากกว่าแค่ไม่ต้องการให้กลุ่มซีพีประมูลได้หรือเปล่า เพราะถ้าแค่ไม่ต้องการให้ประมูลได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเล่นแรงขนาดนี้ ซีพีอาจจจะไม่ผ่านด่านการพิจารณาในรายละเอียดของเอกสารข้อมูลก็ได้ ที่สำคัญยังไม่ทันรู้เลยว่า ซีพีเสนอผลตอบแทนให้รัฐในโครงการนี้เท่าไร (เว้นเสียแต่ว่าจะแอบรู้กันแล้ว และรู้ว่าซีพีเป็นตัวเก็งมีสิทธิ์ชนะประมูล ถึงต้องออกมาเบรคกันจนหัวทิ่มขนาดนี้)
ไม่เพียงเท่านั้น ในวันเดียวกัน ทร.ยังมีกระสุนสำรอง เพราะใช่ว่าจะมีแต่กลุ่มซีพีและทร.ที่เป็นผู้เล่นในเกมนี้ แต่ยังมีตัวแทนกลุ่มบีทีเอสและกลุ่มแกรนด์ฯ ขอลงเล่น ด้วยการร้องสอดต่อศาลขอให้การในคดีนี้ แต่ต้องหงอยกลับไป ด้วยศาลไม่อนุญาต เพราะไม่เกี่ยวข้องกับคดี
หรือว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่แค่เรื่องทางธุรกิจ หากแต่โยงใยไปถึงการเมืองระหว่างประเทศที่เรียกกันว่า Geopolitics จึงต้องมีการคานอำนาจกันระหว่างมหาอำนาจฟากตะวันออกกับตะวันตก ที่กำลังเป็นประเด็นสงครามการค้ากันอยู่ขณะนี้
เพราะก่อนหน้าไม่กี่วัน เพิ่งจะมีข่าวออกมาดิสเครดิตจีน ในเรื่องการเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการใหญ่ ๆ ของไทย เช่น รถไฟความเร็วสูง แล้วถ้าโครงการอู่ตะเภาให้กลุ่มซีพีได้ไปอีกโครงการหนึ่ง จีนซึ่งเป็นผู้ร่วมทุนกับกลุ่มซีพีก็เท่ากับได้คุมภูมิภาคนี้ แล้วอเมริกาจะอยู่ตรงไหนล่ะ ไทยซึ่งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์และเป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ ไม่อาจต่อกรกับมหาอำนาจฝ่ายใดได้ลำพัง จึงไม่ควร take side ใครเป็นพิเศษ แต่การบาลานซ์ทุกฝ่ายไว้ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ทร.จึงต้องเข้ามาสกัดขาจีนไว้บ้าง คานอำนาจให้อเมริกามีที่ยืนสังคม?
จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม เรื่องนี้ไม่ได้มโน แต่มีสีสันน่าติดตามอย่างใกล้ชิดมากขึ้นแล้ว ซีพีจะได้ไปต่อหรือไม่ ไม่ใช่จุดโฟกัส ในฐานะผู้ดู สิ่งที่อยากเห็นก็คือ ในที่สุดโครงการนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี และประเทศชาติได้ประโยชน์สูงสุดตามที่ทุกฝ่ายพูดเสมอ ดังนั้นไม่ว่าศาลจะตัดสินให้ซีพีได้ไปต่อหรือไม่ แต่อยากให้ทร.เปิดเผยซองข้อเสนอของผู้เข้าร่วมประมูลทั้งสามกลุ่ม เพื่อเปรียบเทียบดูให้เห็นกันชัด ๆ จะจะไปเลยว่า กลุ่มไหนเสนอผลประโยชน์อะไรยังไงให้ประเทศบ้าง จะได้หายคาใจกันซะที
---------------------------
คดีเมืองการบินอู่ตะเภา ทำบิ๊กทร.หัวร้อน ของขึ้นจนเบรคแตก พลาดท่าเสียรูปมวยกลางศาลปกครองสูงสุด
คนนั่งฟังประมวลความได้ว่า บิ๊กทร.น่าจะรับความกดดันมาขนาดหนัก ในฐานะผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการหน้างานในการรับเอกสารวันที่เกิดเหตุ เพราะการฟ้องร้องและคำแถลงของตุลาการเจ้าของสำนวนครั้งนี้ เท่ากับเป็นการชี้ถึงมูลความผิดพลาดของคณะทำงานรับเอกสาร ซึ่งบิ๊กทร.มีอำนาจหน้าที่ดูแลอยู่ จึงต้องทำให้เรื่องนี้ผ่านไปให้ได้ด้วยดี ซึ่งก็หมายถึงทำยังไงก็ได้ให้ฝ่ายผู้ฟ้องแพ้คดี
เมื่อต้องรับบทหนักขณะแถลงแย้งด้วยวาจาต่อหน้าองค์คณะ ซึ่งปกติควรพูดด้วยเหตุด้วยผลที่สามารถโต้แย้งกันได้ทางกฎหมาย แต่กลับเกิดอาการของขึ้น หัวฟัดหัวเหวี่ยง พูดเลยเถิดนอกบทด้วยการใช้อารมณ์อยู่ตลอดเลา หลุดปากเป็นดราม่าประเภทว่า ถ้าให้ผ่านไปได้ ต่อไปตนเองในฐานะผู้ดูแลมิต้องไปปรับกระบวนการ เปลี่ยนเจ้าหน้าที่ อะไรต่อมิอะไรที่เคยทำมาหมดหรือ
นอกจากนั้นยังใช้อารมณ์ถึงขึ้นไปกล่าวหาฝ่ายตรงข้าม (ตามที่เป็นข่าว) เช่นว่า ให้ผลตอบแทนกับรัฐสูง ทำผิดกฎแต่มีเงินจ้างทนายเก่ง และให้ประโยชน์รัฐมาก ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้งาน เงินชดเชยความผิดได้ ...ซึ่งคำพูดเหล่านี้ไม่ควรหลุดออกมา เพราะอยู่นอกเหนือบริบทของการแถลงต่อหน้าองค์คณะศาล ที่สำคัญเป็นคำพูดลอย ๆ ที่ไม่มีพยานหลักฐาน ซึ่งมีผลเสียต่อรูปคดีของฝ่ายตนเอง และทำให้ผู้พูดกลายเป็นบุคคลที่ขาดความน่าเชื่อถือ
การใช้อารมณ์ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ยังเลยเถิดไปถึงการยกคดีอื่นในอดีตขึ้นมาก้าวล่วงอำนาจศาล ทั้งที่มูลคดีและรูปคดีมีความแตกต่างกัน จึงเป็นการดูหมิ่นศาลอย่างชัดเจน แต่เดชะบุญที่ตุลาการหัวหน้าองค์คณะ ท่านมีเมตตาเหลือประมาณ ไม่เอาผิด แค่ออกโรงเตือนดึงสติบิ๊กทร.ว่า ศาลมีอำนาจของศาล ในการพิจารณาคดีอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม โดยทำหน้าที่อย่างสุขุม ดังนั้น การอยู่ในศาลต่อหน้าองค์คณะ คุณก็ควรจะทำหน้าที่อย่างสุขุมด้วยเช่นกัน
สุภาพและสะเทือนมาก ๆ ไม่หมดเท่านั้น ศาลท่านยังให้อภัย โดยบอกเจ้าหน้าที่ไม่ต้องบันทึกพฤติกรรมของบิ๊กทร.ในช่วงที่ใช้อารมณ์ไว้ในบันทึกของศาลด้วย ...ตรงนี้ภาษาธรรมเรียกว่า เมตตาไม่มีประมาณ
ดูเหมือนกลุ่มซีพีจะเจอด่านหิน และโครงการนี้คงไม่จืดชืดอย่างที่เป็นมาอีกต่อไป เมื่อท่าทีของทร.เปิดเผยออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่า ไม่ต้องการให้กลุ่มซีพีฝ่าด่านอรหันต์เข้าไปทำงานต่อได้ แม้จะดูเหมือนบิ๊กทร.เบรคแตกหรืออะไรก็ตาม แต่ก็ทำให้มองเห็นรอยร้าวลึก ๆ (เช่นว่าถ้าซีพีเกิดได้ขึ้นมาจริง ๆ จะทำงานร่วมกันต่อไปได้ยังไงอีก 50 ปีท่ามกลางความไม่ยินดีของเจ้าของบ้าน) และทำให้คิดต่อได้อีกมากมาย เป็นต้นว่า
การออกตัวแรงชัดเบอร์นี้ของทร. มันน่าจะมีอะไรที่มากกว่าแค่ไม่ต้องการให้กลุ่มซีพีประมูลได้หรือเปล่า เพราะถ้าแค่ไม่ต้องการให้ประมูลได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเล่นแรงขนาดนี้ ซีพีอาจจจะไม่ผ่านด่านการพิจารณาในรายละเอียดของเอกสารข้อมูลก็ได้ ที่สำคัญยังไม่ทันรู้เลยว่า ซีพีเสนอผลตอบแทนให้รัฐในโครงการนี้เท่าไร (เว้นเสียแต่ว่าจะแอบรู้กันแล้ว และรู้ว่าซีพีเป็นตัวเก็งมีสิทธิ์ชนะประมูล ถึงต้องออกมาเบรคกันจนหัวทิ่มขนาดนี้)
ไม่เพียงเท่านั้น ในวันเดียวกัน ทร.ยังมีกระสุนสำรอง เพราะใช่ว่าจะมีแต่กลุ่มซีพีและทร.ที่เป็นผู้เล่นในเกมนี้ แต่ยังมีตัวแทนกลุ่มบีทีเอสและกลุ่มแกรนด์ฯ ขอลงเล่น ด้วยการร้องสอดต่อศาลขอให้การในคดีนี้ แต่ต้องหงอยกลับไป ด้วยศาลไม่อนุญาต เพราะไม่เกี่ยวข้องกับคดี
หรือว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่แค่เรื่องทางธุรกิจ หากแต่โยงใยไปถึงการเมืองระหว่างประเทศที่เรียกกันว่า Geopolitics จึงต้องมีการคานอำนาจกันระหว่างมหาอำนาจฟากตะวันออกกับตะวันตก ที่กำลังเป็นประเด็นสงครามการค้ากันอยู่ขณะนี้
เพราะก่อนหน้าไม่กี่วัน เพิ่งจะมีข่าวออกมาดิสเครดิตจีน ในเรื่องการเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการใหญ่ ๆ ของไทย เช่น รถไฟความเร็วสูง แล้วถ้าโครงการอู่ตะเภาให้กลุ่มซีพีได้ไปอีกโครงการหนึ่ง จีนซึ่งเป็นผู้ร่วมทุนกับกลุ่มซีพีก็เท่ากับได้คุมภูมิภาคนี้ แล้วอเมริกาจะอยู่ตรงไหนล่ะ ไทยซึ่งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์และเป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ ไม่อาจต่อกรกับมหาอำนาจฝ่ายใดได้ลำพัง จึงไม่ควร take side ใครเป็นพิเศษ แต่การบาลานซ์ทุกฝ่ายไว้ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ทร.จึงต้องเข้ามาสกัดขาจีนไว้บ้าง คานอำนาจให้อเมริกามีที่ยืนสังคม?
จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม เรื่องนี้ไม่ได้มโน แต่มีสีสันน่าติดตามอย่างใกล้ชิดมากขึ้นแล้ว ซีพีจะได้ไปต่อหรือไม่ ไม่ใช่จุดโฟกัส ในฐานะผู้ดู สิ่งที่อยากเห็นก็คือ ในที่สุดโครงการนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี และประเทศชาติได้ประโยชน์สูงสุดตามที่ทุกฝ่ายพูดเสมอ ดังนั้นไม่ว่าศาลจะตัดสินให้ซีพีได้ไปต่อหรือไม่ แต่อยากให้ทร.เปิดเผยซองข้อเสนอของผู้เข้าร่วมประมูลทั้งสามกลุ่ม เพื่อเปรียบเทียบดูให้เห็นกันชัด ๆ จะจะไปเลยว่า กลุ่มไหนเสนอผลประโยชน์อะไรยังไงให้ประเทศบ้าง จะได้หายคาใจกันซะที
---------------------------