เดือนมกราคม 2536 ครอบครัวผมได้ย้ายบ้านจากจังหวัดทางภาคอิสานเหนือไปอยู่จังหวัดทางอิสานใต้ ตอนนั้นเป็นเทอมสุดท้ายของ ป.5 หมู่บ้านที่ย้ายมาอยู่เป็นหมู่บ้านตั้งใหม่ ที่มีคนจากหลาย ๆ ที่ย้ายมาอยู่เนื่องจากที่ทางราคาไม่แพง บ้านของผมเป็นหลังรองสุดท้ายในซอย ซอยนี้มีบ้านแค่สามหลัง หลังแรกอยู่ต้นซอยติดประตูทางเข้าโรงเรียน คั่นด้วยป่าละเมาะเล็ก ๆ ประมาณร้อยเมตรจึงเป็นบ้านผม ถัดไปด้านทิศเหนือเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ ที่เจ้าของไป ๆ มา ๆ ระหว่างบ้านนี้กับบ้านเดิมที่ศรีสะเกษ ถัดจากบ้านหลังนั้นเป็นสระเก็บน้ำที่ทางการขุดไว้ อีกฟากของซอยถนนลูกรังด้านทิศตะวันตกเป็นโรงเรียนมีรั้วลวดหนามล้อมรอบ ซึ่งบ้านผมจะอยู่ตรงข้ามกับบ้านพักครูที่อยู่ชิดขอบรั้วพอดี ถัดจากบ้านพักครูจะเป็นซอยถนนลูกรังตัดลงทุ่งนา อีกฝั่งจะเป็นป่าละเมาะ ที่ติดสระกักเก็บน้ำ ทำให้บ้านผมเอง อยู่เยื้อง ๆ กับทางสามแพร่ง (แต่บริเวณบ้านอยู่ตรงทางสามแพร่งพอดีเป๊ะ)
เนื่องจากเป็นหมู่บ้านตั้งใหม่ โรงเรียนที่ย้ายมาจึงเพิ่งสร้างอาคารเรียนเสร็จ (ก่อนหน้านี้ 1 ปี เด็ก ๆ ในหมู่บ้านต้องไปเรียนที่โรงเรียนหมู่บ้านข้าง ๆ ที่เป็นคนดั้งเดิมห่างไปประมาณ 3 กิโล) จึงยังมีครูมาประจำไม่ครบจำนวน มีครูอยู่ทั้งหมด 3 คน รับผิดชอบคนละ 2 ห้อง ป็นครูที่รับโอนย้ายมาจากโรงเรียนในพื้นที่ เป็นผู้ชายทั้งหมด ครู 2 คนมีครอบครัวแล้ว มีบ้านอยู่หมู่บ้านถัดไปจึงไม่พักในบ้านพักครู ทำให้มีครูผู้ชายที่ยังโสดนอนบ้านพักครูเพียงคนเดียว ตอนที่ย้ายมาอยู่ใหม่ ๆ ทุกเช้าผมจะเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งเป็นรุ่นพี่ผม 1 ปี เดินออกมาจากบ้านพักครู (อายุมากกว่าผม 1 ปี เพราะตอนนั้นเขาอยู่ ป.6) เพื่อกลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัว สอบถามจึงได้รู้ว่ามานอนเป็นเพื่อนครู อยู่ไปซักอาทิตย์ ครูก็เริ่มสนิทกับครอบครัวผม จึงเริ่มถ่างรั้วลวดหนามเพื่อไปมาหาสู่กัน ครูก็มาฝากท้องที่บ้านผมบ้าง เอากับข้าวมากินที่บ้านผมบ้าง เป็นแบบนี้เรื่อยมา จนปิดเทอมใหญ่หน้าร้อน พี่คนที่มานอนเป็นเพื่อนครูมานอนเป็นเพื่อนไม่ได้แล้ว เพราะต้องไปทำงานกรุงเทพกับญาติ (ไม่ได้เรียนต่อ) แต่ครูต้องนอนเฝ้าโรงเรียนทั้งเทอม เพราะไม่มีภารโรง (ครูใหญ่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตก่อนปิดเทอมเดือนเดียว ครูอีกคนต้องกลับโรงเรียนเดิมเพราะมาช่วยราชการ 2 ปี และเปิดเทอมใหม่ จะมีครูมาเพิ่มอีก 4 คน พร้อมกับครูใหญ่) ครูจึงมาขออนุญาตพ่อกับแม่ให้ผมไปนอนเป็นเพื่อน ซึ่งพ่อแม่ก็ตกลง
บ้านพักครูมีสองหลังลักษณะเหมือนกัน หลังแรกอยู่ตรงข้ามบ้านผมที่ครูอยู่ อีกหลังอยู่ถัดไปด้านทิศใต้ห่างกันประมาณ 10 เมตร เป็นบ้านว่าง ยังไม่มีคนอยู่ บ้านพักครูเป็นบ้านปูนสองชั้นทาสีขาวทั้งหลัง ชั้นล่างเป็นห้องโล่ง ๆ มีประตูทางเข้าสองฝั่ง ฝั่งแรกอยู่ด้านทิศตะวันตก เปิดไปจะเจออาคารเรียนที่มีอยู่หลังเดียว อีกฝั่งอยู่ทิศตะวันออก ที่เปิดไปจะเจอบ้านผมพอดี มีห้องน้ำอยู่ใต้บันไดชิดผนังด้านทิศตะวันออก บันไดเป็นไม้ที่วางทับบันไดปูนอีกที พอขึ้นสุดบันไดจะเป็นที่พักก่อนเข้าห้องเล็ก ๆ ซ้ายมือเป็นห้องนอน 1 ห้อง ที่ยังไม่มีคนเข้ามา อีกห้องที่อยู่ด้านหน้าเมื่อขึ้นบันไดเป็นห้องที่ครูนอน ในห้องนอนมีเตียงนอน 1 เตียง หันหัวไปด้านทิศเหนือตั้งชิดผนังด้านทิศตะวันตก ปลายเตียงมีทีวี 1 เครื่อง เครื่องเสียง 1 เครื่อง ข้างเตียงจะเป็นที่ว่างตรงประตู ผนังด้านทิศตะวันออกมีประตูเปิดออกไปที่ระเบียงตากผ้า (ฝั่งบ้านผม) ด้วยความที่ผมนอนดิ้นมากประกอบกับความเชื่อคนเก่า ๆ ที่ไม่ให้ตีเสมอครู แม่จึงกำชับทั้งผมทั้งครูให้ผมนอนด้านล่าง ไม่ให้นอนเตียงเด็ดขาด เท่ากับว่าผมต้องนอนตรงซอกข้างเตียงหันหัวไปทิศเหนือ ปลายเท้าไปทิศใต้ ตรงกับประตูพอดี ประตูเป็นประตูที่ไม่แนบสนิทกับพื้น เมื่อผงกหัวขึ้นไปดูตอนนอนจะเห็นแสงไฟบันไดลอดเข้ามา
คืนแรกผมสะดุ้งตื่นขึ้นม้าพราะเสียงบันไดลั่นตอนดึก ๆ มันลั่นแปลก ๆ เพราะไล่มาจากด้านล่าง ขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงด้านบน แล้วหยุดอยู่หน้าห้อง แล้วไล่ลงไปด้านล่างอีกที ยังไม่ถึง 3 นาที ก็ดังไล่จากด้านล่างขึ้นมาใหม่ มาหยุดหน้าประตูแล้วไล่ลงไปด้านล่างอีกรอบ คราวนี้ไม่ถึงนาที ดังอีกแล้ว พอมาหยุดหน้าห้องด้วยความกลัวจึงผงกหัวขึ้นมาจะเรียกครู ผมเห็นเงา ๆ ตัดแสงไฟบันไดที่ลอดเข้ามา ด้วยความตกใจผมตะโกนสุดเสียง
“ครูครับ”
“อือ บันไดมันลั่น นอนได้แล้ว ดึกแล้ว” ครูตัดบทมาจากบนเตียง
ผมต้องเอาผ้าห่มคลุมโปงนอน เพราะบันไดมันลั่นเกือบจะทั้งคืนกว่าจะเช้า ตื่นเช้ามากลับบ้านไปนอนต่ออีกรอบ แม่แปลกใจว่าทำไมง่วงเมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ ครูที่เดินมาส่งแกเลยบอกว่ามันนอนไม่หลับเพราะมันกลัวบันไดลั่น เหตุการณ์แบบนี้ก็ดำเนินมาเรื่อย ๆ แต่ที่หน้าแปลกคือ แทบจะทุกครั้งที่ผมตื่นพราะบันไดลั่น ครูจะตื่นกับผมทุกครั้ง บางครั้งผมไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไร ครูจะเป็นคนตัดบทก่อน
“บันไดมันลั่น นอน ๆ”
จนเปิดเทอมกลางเดือนพฤษภาคม ก็มีครูมาบรรจุใหม่ 4 คน ผมก็ไม่ต้องไปนอนเป็นเพื่อนครูอีกเพราะบ้านพักครูมีคนมาพักครบทุกห้องแล้ว ทำให้ผมไม่ต้องไปนอนเป็นเพื่อนครูอีกเลยจนกระทั่ง วันปิดเทอมใหญ่อีกครั้ง ปิดเทอมใหญ่ ครูผู้ชายจะต้องผลัดกันมานอนเฝ้าโรงเรียน ครูผู้ชายมี 3 คนจะผลัดกันมาเฝ้าคนะประมาณ 10 วัน ครูอีกสองคนมีครอบครัว มีแฟนแล้ว จึงมากับแฟนกับครอบครัว จนเลยสงกรานต์เป็นเวรครูคนเดิมที่ผมไปนอนด้วยเป็นหนุ่มโสด ผมจึงต้องไปนอนเป็นเพื่อนครูอีกครั้ง ซึ่งเหตุการณ์บันไดลั่นตอนดึก ก็ยังคงดำเนินต่อไป ผมก็ตื่นบ้าง ไม่ตื่นบ้าง แต่ทุกครั้งที่ผมตื่นเพราะเสียงบันไดลั่น ครูจะพูกเหมือนเดิมทุกครั้ง ทั้ง ๆ ที่บางที ผมไม่ทันจะอ้าปากเรียก
“บันไดมันลั่น นอน ๆ”
จนวันหนึ่งใกล้ ๆ จะเปิด ครูได้รับโทรเลขด่วนให้กลับบ้านที่สกลนคร ผมจึงต้องมานอนเฝ้าบ้านพักครูคนเดียว ซึ่งตอนนั้นผมก็อดจะกลัวไม่ได้ วันแรกจึงได้แค่ไปปิดไฟให้สว่างทั้งหลัง พอวันที่สองจึงยอมไป เพราะทนแม่บ่นไม่ไหว แม่ไม่เชื่อในสิ่งที่ผมเล่า บอกบันไดบ้านไหน ๆ มันก็ลั่นทั้งนั้นแหละ ถ้าเป็นบันไดไม้ คิดมาก ถ้ากลัวนักก็เปิดไฟให้สว่างทั้งหลัง ไม่มีอะไรหรอก หลังจากกินข้าวที่บ้านเสร็จประมาณทุ่มกว่า ๆ ผมก็ลอดรั้วลวดหนามไปนอนบ้านพักครู ไปถึงก็เปิดไฟทุกดวงในบ้านด้วยความกลัว พอขึ้นถึงห้องนอนก็เปิดทีวีดูเป็นเพื่อนแต่ด้วยความที่ไม่ชอบดูละคร จึงเปิดไล่ไปอีก 2 ช่องที่พอรับได้ ช่อง 5 เป็นละคร ช่อง 9 เป็นรายการโต้วาที เลยปิดทีวี แล้วเปิดเพลงฟัง
เครื่องเสียงที่ครูซื้อมามีปุ่มให้เรากดเลือกการตั้งค่าแบบพรีเซ็ตได้ (ที่หน้าเครื่องจะมีปุ่มให้เลื่อนขึ้นเลื่อนลงหลาย ๆ ปุ่มเพื่อปรับโหมดเสียงที่ผู้ฟังชอบ ถ้าคนปรับไม่เป็นจะมีปุ่มพรีเซ็ตให้กด) ถ้าจำไม่ผิดจะมี ร็อค แจ๊ส เคลียร์ ประมาณนี้ ผมชอบเบสหนักเลยเลือกร็อคไป ระหว่างฟังเกิดปวดเบา จึงเปิดประตูเพื่อจะลงไปเข้าห้องน้ำใต้บันได เนื่องจากหน้าร้อนแมลงจะเยอะเปิดแล้วต้องรีบปิด ไม่งั้นแมลงเข้าห้องนอนไม่ได้ พอปิดประตูเดินลงบันไดมาได้ 3 ขั้น เสียงร็อคที่ผมกดเลือก เสียงมันเปลี่ยนเป็นเสียงใส ๆ คล้าย ๆ แจ๊สด้วยความสงสัยจึงเดินขึ้นมาดู ปุ่มแจ๊สมันถูกกดลง ปุ่มร็อคมันเด้งออก ด้วยความไม่มั่นใจในตัวเองส่วนหนึ่ง จึงกดปุ่มร็อคลงไปใหม่ จนแน่ใจว่าปุ่มมันค้างแล้ว คราวนี้ไม่ปิดประตู เปิดค้างไว้แล้วเดินลงมาเพื่อจะเข้าห้องน้ำ ถึงบันไดขั้น 3 เหมือนเดิม เสียงเพลงที่ตั้งไว้เปลี่ยน เบสหายเหมือนเดิม คราวนี้แน่แล้ว ผมรีบเผ่นแน่บกลับบ้านขณะก้มตัวลอดรั้วลวดหนาม ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอทุ้ม ๆ มาจากระเบียง
“หึ หึ หึ”
ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นดู พุ่งพรวดออกจากตรงนั้น ลวดหนามเกี่ยวเสื้อขาดดังแคว่ก ครูดหลังยาว แต่ไม่รู้สึกเจ็บสักนิด ใส่เกียร์หมาวิ่งกลับบ้าน เรียกแม่ คำเดียว แม่มาเปิดประตูให้แล้วพาเข้าบ้านโดยไม่ถามอะไรสักคำ สอบถามคราวหลังจึงได้รู้ว่า แม่พอรู้เรื่องบ้างจากครูแต่ไม่กล้าบอกผม กลัวผมกลัว แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้
เช้าแม่พาไปปิดไฟ โดยที่ประตูชั้นล่างเปิดอ้าซ่าอยู่อย่างนั้น โชคดีที่ไม่มีอะไรหาย หลังจากวันนั้นมาผมต้องไปเปิดไฟตั้งแต่ตะวันไม่ทันตก สาย ๆ ค่อยไปปิดไฟ จนกระทั่งครูกลับมา สอบถามครูจึงได้ความว่า ตอนก่อสร้าง มีคนงานเป็นลมแดด ร่วงมาจากคานบ้านลงมาเสียชีวิต ครูเลยไม่กล้านอนคนเดียว แต่เค้าไม่เคยมาแบบน่ากลัว มีแต่เสียง จนบางครั้งครูก็คิดว่าบันไดลั่น แต่ก็ยังไม่กล้านอนคนเดียว พอเปิดเทอมมาเรื่องที่ผมเจอก็เป็นที่เล่าลือในหมู่ครูใหม่ ถึงได้รู้ว่าทุกคนในบ้านเจอเหมือนกันเรื่องบันไดลั่น ครูบางคนได้ยินเสียงหัวเราะเหมือนผม ครูบางคนได้ยินเสียงผู้ชายบ่น แต่ไม่มีใครกล้าเล่าเพราะกลัวคนอื่น ๆ กลัว และคิดว่าอาจจะหูแว่วและคิดไปเอง แต่แปลกที่บ้านพักครูอีกหลังไม่มีเสียงอะไรเลย เปิดเทอมมาครูทุกคนเลยลงขันกันทำบุญบ้านพักครูทั้ง 2 หลัง เพื่อความสบายใจ เมื่อโตขึ้นผมมีโอกาสไปนอนเฝ้าบ้านพักครูหลังเดิมบ้าง แต่ไม่เคยได้ยินเสียงอะไรอีกเลย
บ้านพักครู
บ้านพักครูมีสองหลังลักษณะเหมือนกัน หลังแรกอยู่ตรงข้ามบ้านผมที่ครูอยู่ อีกหลังอยู่ถัดไปด้านทิศใต้ห่างกันประมาณ 10 เมตร เป็นบ้านว่าง ยังไม่มีคนอยู่ บ้านพักครูเป็นบ้านปูนสองชั้นทาสีขาวทั้งหลัง ชั้นล่างเป็นห้องโล่ง ๆ มีประตูทางเข้าสองฝั่ง ฝั่งแรกอยู่ด้านทิศตะวันตก เปิดไปจะเจออาคารเรียนที่มีอยู่หลังเดียว อีกฝั่งอยู่ทิศตะวันออก ที่เปิดไปจะเจอบ้านผมพอดี มีห้องน้ำอยู่ใต้บันไดชิดผนังด้านทิศตะวันออก บันไดเป็นไม้ที่วางทับบันไดปูนอีกที พอขึ้นสุดบันไดจะเป็นที่พักก่อนเข้าห้องเล็ก ๆ ซ้ายมือเป็นห้องนอน 1 ห้อง ที่ยังไม่มีคนเข้ามา อีกห้องที่อยู่ด้านหน้าเมื่อขึ้นบันไดเป็นห้องที่ครูนอน ในห้องนอนมีเตียงนอน 1 เตียง หันหัวไปด้านทิศเหนือตั้งชิดผนังด้านทิศตะวันตก ปลายเตียงมีทีวี 1 เครื่อง เครื่องเสียง 1 เครื่อง ข้างเตียงจะเป็นที่ว่างตรงประตู ผนังด้านทิศตะวันออกมีประตูเปิดออกไปที่ระเบียงตากผ้า (ฝั่งบ้านผม) ด้วยความที่ผมนอนดิ้นมากประกอบกับความเชื่อคนเก่า ๆ ที่ไม่ให้ตีเสมอครู แม่จึงกำชับทั้งผมทั้งครูให้ผมนอนด้านล่าง ไม่ให้นอนเตียงเด็ดขาด เท่ากับว่าผมต้องนอนตรงซอกข้างเตียงหันหัวไปทิศเหนือ ปลายเท้าไปทิศใต้ ตรงกับประตูพอดี ประตูเป็นประตูที่ไม่แนบสนิทกับพื้น เมื่อผงกหัวขึ้นไปดูตอนนอนจะเห็นแสงไฟบันไดลอดเข้ามา
คืนแรกผมสะดุ้งตื่นขึ้นม้าพราะเสียงบันไดลั่นตอนดึก ๆ มันลั่นแปลก ๆ เพราะไล่มาจากด้านล่าง ขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงด้านบน แล้วหยุดอยู่หน้าห้อง แล้วไล่ลงไปด้านล่างอีกที ยังไม่ถึง 3 นาที ก็ดังไล่จากด้านล่างขึ้นมาใหม่ มาหยุดหน้าประตูแล้วไล่ลงไปด้านล่างอีกรอบ คราวนี้ไม่ถึงนาที ดังอีกแล้ว พอมาหยุดหน้าห้องด้วยความกลัวจึงผงกหัวขึ้นมาจะเรียกครู ผมเห็นเงา ๆ ตัดแสงไฟบันไดที่ลอดเข้ามา ด้วยความตกใจผมตะโกนสุดเสียง
“ครูครับ”
“อือ บันไดมันลั่น นอนได้แล้ว ดึกแล้ว” ครูตัดบทมาจากบนเตียง
ผมต้องเอาผ้าห่มคลุมโปงนอน เพราะบันไดมันลั่นเกือบจะทั้งคืนกว่าจะเช้า ตื่นเช้ามากลับบ้านไปนอนต่ออีกรอบ แม่แปลกใจว่าทำไมง่วงเมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ ครูที่เดินมาส่งแกเลยบอกว่ามันนอนไม่หลับเพราะมันกลัวบันไดลั่น เหตุการณ์แบบนี้ก็ดำเนินมาเรื่อย ๆ แต่ที่หน้าแปลกคือ แทบจะทุกครั้งที่ผมตื่นพราะบันไดลั่น ครูจะตื่นกับผมทุกครั้ง บางครั้งผมไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไร ครูจะเป็นคนตัดบทก่อน
“บันไดมันลั่น นอน ๆ”
จนเปิดเทอมกลางเดือนพฤษภาคม ก็มีครูมาบรรจุใหม่ 4 คน ผมก็ไม่ต้องไปนอนเป็นเพื่อนครูอีกเพราะบ้านพักครูมีคนมาพักครบทุกห้องแล้ว ทำให้ผมไม่ต้องไปนอนเป็นเพื่อนครูอีกเลยจนกระทั่ง วันปิดเทอมใหญ่อีกครั้ง ปิดเทอมใหญ่ ครูผู้ชายจะต้องผลัดกันมานอนเฝ้าโรงเรียน ครูผู้ชายมี 3 คนจะผลัดกันมาเฝ้าคนะประมาณ 10 วัน ครูอีกสองคนมีครอบครัว มีแฟนแล้ว จึงมากับแฟนกับครอบครัว จนเลยสงกรานต์เป็นเวรครูคนเดิมที่ผมไปนอนด้วยเป็นหนุ่มโสด ผมจึงต้องไปนอนเป็นเพื่อนครูอีกครั้ง ซึ่งเหตุการณ์บันไดลั่นตอนดึก ก็ยังคงดำเนินต่อไป ผมก็ตื่นบ้าง ไม่ตื่นบ้าง แต่ทุกครั้งที่ผมตื่นเพราะเสียงบันไดลั่น ครูจะพูกเหมือนเดิมทุกครั้ง ทั้ง ๆ ที่บางที ผมไม่ทันจะอ้าปากเรียก
“บันไดมันลั่น นอน ๆ”
จนวันหนึ่งใกล้ ๆ จะเปิด ครูได้รับโทรเลขด่วนให้กลับบ้านที่สกลนคร ผมจึงต้องมานอนเฝ้าบ้านพักครูคนเดียว ซึ่งตอนนั้นผมก็อดจะกลัวไม่ได้ วันแรกจึงได้แค่ไปปิดไฟให้สว่างทั้งหลัง พอวันที่สองจึงยอมไป เพราะทนแม่บ่นไม่ไหว แม่ไม่เชื่อในสิ่งที่ผมเล่า บอกบันไดบ้านไหน ๆ มันก็ลั่นทั้งนั้นแหละ ถ้าเป็นบันไดไม้ คิดมาก ถ้ากลัวนักก็เปิดไฟให้สว่างทั้งหลัง ไม่มีอะไรหรอก หลังจากกินข้าวที่บ้านเสร็จประมาณทุ่มกว่า ๆ ผมก็ลอดรั้วลวดหนามไปนอนบ้านพักครู ไปถึงก็เปิดไฟทุกดวงในบ้านด้วยความกลัว พอขึ้นถึงห้องนอนก็เปิดทีวีดูเป็นเพื่อนแต่ด้วยความที่ไม่ชอบดูละคร จึงเปิดไล่ไปอีก 2 ช่องที่พอรับได้ ช่อง 5 เป็นละคร ช่อง 9 เป็นรายการโต้วาที เลยปิดทีวี แล้วเปิดเพลงฟัง
เครื่องเสียงที่ครูซื้อมามีปุ่มให้เรากดเลือกการตั้งค่าแบบพรีเซ็ตได้ (ที่หน้าเครื่องจะมีปุ่มให้เลื่อนขึ้นเลื่อนลงหลาย ๆ ปุ่มเพื่อปรับโหมดเสียงที่ผู้ฟังชอบ ถ้าคนปรับไม่เป็นจะมีปุ่มพรีเซ็ตให้กด) ถ้าจำไม่ผิดจะมี ร็อค แจ๊ส เคลียร์ ประมาณนี้ ผมชอบเบสหนักเลยเลือกร็อคไป ระหว่างฟังเกิดปวดเบา จึงเปิดประตูเพื่อจะลงไปเข้าห้องน้ำใต้บันได เนื่องจากหน้าร้อนแมลงจะเยอะเปิดแล้วต้องรีบปิด ไม่งั้นแมลงเข้าห้องนอนไม่ได้ พอปิดประตูเดินลงบันไดมาได้ 3 ขั้น เสียงร็อคที่ผมกดเลือก เสียงมันเปลี่ยนเป็นเสียงใส ๆ คล้าย ๆ แจ๊สด้วยความสงสัยจึงเดินขึ้นมาดู ปุ่มแจ๊สมันถูกกดลง ปุ่มร็อคมันเด้งออก ด้วยความไม่มั่นใจในตัวเองส่วนหนึ่ง จึงกดปุ่มร็อคลงไปใหม่ จนแน่ใจว่าปุ่มมันค้างแล้ว คราวนี้ไม่ปิดประตู เปิดค้างไว้แล้วเดินลงมาเพื่อจะเข้าห้องน้ำ ถึงบันไดขั้น 3 เหมือนเดิม เสียงเพลงที่ตั้งไว้เปลี่ยน เบสหายเหมือนเดิม คราวนี้แน่แล้ว ผมรีบเผ่นแน่บกลับบ้านขณะก้มตัวลอดรั้วลวดหนาม ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอทุ้ม ๆ มาจากระเบียง
“หึ หึ หึ”
ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นดู พุ่งพรวดออกจากตรงนั้น ลวดหนามเกี่ยวเสื้อขาดดังแคว่ก ครูดหลังยาว แต่ไม่รู้สึกเจ็บสักนิด ใส่เกียร์หมาวิ่งกลับบ้าน เรียกแม่ คำเดียว แม่มาเปิดประตูให้แล้วพาเข้าบ้านโดยไม่ถามอะไรสักคำ สอบถามคราวหลังจึงได้รู้ว่า แม่พอรู้เรื่องบ้างจากครูแต่ไม่กล้าบอกผม กลัวผมกลัว แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้
เช้าแม่พาไปปิดไฟ โดยที่ประตูชั้นล่างเปิดอ้าซ่าอยู่อย่างนั้น โชคดีที่ไม่มีอะไรหาย หลังจากวันนั้นมาผมต้องไปเปิดไฟตั้งแต่ตะวันไม่ทันตก สาย ๆ ค่อยไปปิดไฟ จนกระทั่งครูกลับมา สอบถามครูจึงได้ความว่า ตอนก่อสร้าง มีคนงานเป็นลมแดด ร่วงมาจากคานบ้านลงมาเสียชีวิต ครูเลยไม่กล้านอนคนเดียว แต่เค้าไม่เคยมาแบบน่ากลัว มีแต่เสียง จนบางครั้งครูก็คิดว่าบันไดลั่น แต่ก็ยังไม่กล้านอนคนเดียว พอเปิดเทอมมาเรื่องที่ผมเจอก็เป็นที่เล่าลือในหมู่ครูใหม่ ถึงได้รู้ว่าทุกคนในบ้านเจอเหมือนกันเรื่องบันไดลั่น ครูบางคนได้ยินเสียงหัวเราะเหมือนผม ครูบางคนได้ยินเสียงผู้ชายบ่น แต่ไม่มีใครกล้าเล่าเพราะกลัวคนอื่น ๆ กลัว และคิดว่าอาจจะหูแว่วและคิดไปเอง แต่แปลกที่บ้านพักครูอีกหลังไม่มีเสียงอะไรเลย เปิดเทอมมาครูทุกคนเลยลงขันกันทำบุญบ้านพักครูทั้ง 2 หลัง เพื่อความสบายใจ เมื่อโตขึ้นผมมีโอกาสไปนอนเฝ้าบ้านพักครูหลังเดิมบ้าง แต่ไม่เคยได้ยินเสียงอะไรอีกเลย