จำได้ว่าเคยเอาสำเนา
Seacrest ที่สุดตำนานแห่งหายนะในประวัติศาสตร์ขุดเจาะนอกชายฝั่งอ่าวไทย มาเผยแพร่ไว้ที่นี่ เมื่อปี 2016
https://ppantip.com/topic/35677590
http://nongferndaddy.com/seacrest/
ปีนี้ และ วันนี้ 3 พ.ย. ครบรอบ 30 ปี ที่ เธอจากเราไป ผมตั้งใจเรียบเรียงโพสต์นี้ เพื่อระลึกถึงเธอ ... Scan Queen หรือ อีกชื่อหนึ่งของเธอ Seacrest ของพวกเรา
ส่วนที่ผมนำมาเผยแพร่นี้ เป็นส่วนหนึ่งของต้นฉบับชื่อเรื่องเดียวกันในเว็บไซด์
http://nongferndaddy.com/30-%e0%b8%9b%e0%b8%b5-seacrest/ โดยตัดเอาความเห็นส่วนตัวของผม และ เรื่องที่อาจจะกระทบกับบุคคลอื่นออกไป เพราะว่าการคุยกันในที่สาธาณะจำเป็นต้องรู้กติกามารยาท ไม่ทำให้เจ้าของพื้นที่เดือดร้อน (แล้วผมอาจจะเดือดร้อนเสียเอง เพราะเจ้าของพื้นที่อาจจะไม่ให้ผมมานั่งคุยนั่งจ้อในที่ของเขาอีก) ซึ่งต่างจากการไปคุยในห้องรับแขกบ้านของตัวเอง ที่เราจะคุยจะเล่าอะไรก็สามารถมีพื้นที่ให้ออกความเห็นได้มากกว่าไปออกความเห็นที่ร้านกาแฟนอกบ้าน
ดังนั้น ส่วนที่ผมตัดออกไปจะมีหน้าตาแบบนี้
[...] นะครับ ก็สามารถคลิ๊กเพื่อเข้าไปอ่านได้ถ้าต้องการ
ผมขอเริ่ม 30 ปี Seacrest ด้วยคำอุทิศสั้นๆที่ผมเคยเขียนไว้ในตอนที่แล้ว เพื่อเป็นการเคารพ และ ให้เกียรติแค่ผู้ล่วงลับ และ ผู้สูญเสียคนที่รักในเหตุการณ์นี้
คำอุทิศ
… แด่ 91 ดวงวิญญานของผู้ล่วงลับ
… แด่ทุกดวงใจของผู้สูญเสียคนที่ท่านรักสุดหัวใจในเหตุการณ์นี้
… แด่ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด (ไม่ว่าในทางตรงหรือทางอ้อม)
ข้าพเจ้ามิได้มีเจตนา ตัดสิน การตัดสินใจ หรือ ลบหลู่ เกียรติยศ และ ศักดิ์ศรีของท่านในเหตุการณ์ครั้งนั้น เจตนาเดียวของข้าพเจ้าคือให้โลกรู้ถึงหัวใจที่กล้าหาญ เสียสละ ในช่วงนาทีสุดท้ายของชีวิตของพวกท่าน ที่ไม่มีใครได้รับรู้ ข้าพเจ้าต้องการบันทึกไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ เป็นบทเรียน และ ให้สังคมตระหนักถึง งานที่ท่านและพวกเราเสี่ยงชีวิตทุกวันในโลกใบเล็กๆ กลางพื้นน้ำ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของท้องทะเล ฟ้า กระแสลม และ แม่ธรณี
… งานที่ท่านและพวกเราเสี่ยงชีวิตทุกวันในโลกใบเล็กๆ เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ของคนที่ท่านและพวกเรารักที่อยู่บนฝั่ง
หากมีข้อความใดในบทความนี้ที่ข้าพเจ้าแสดงความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ก้าวล่วง หรือ ทำให้ท่านไม่สบายใจ กังวลใจ ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านทราบว่าการณ์นั้นเป็นไปด้วยจิตที่บริสุทธิ์ หากแต่ เขลาปัญญา ขาดความรอบคอบ ข้าพเจ้ากราบขออภัยท่านมา ณ.ที่นี้ ข้าพเจ้าขอน้อมรับความเขลาและความผิดพลาดทั้งหมดในบทความนี้ด้วยตัวข้าพเจ้าเอง และ ขอให้ท่านอโหสิกรรมในความผิดพลาดและความเขลาปัญญาของข้าพเจ้า
ด้วยความเคารพและนับถือ ทุกดวงวิญญาณที่จากไป และ ทุกดวงใจที่สูญเสีย
www.nongferndaddy.com
30 ปี Seacrest
ที่สุดหายนะขุดเจาะอ่าวไทย (คำบอกเล่า และ การศึกษาเพิ่มเติม)
แรงบันดาลใจเกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่มีผู้กำกับภาพยนต์สารคดีติดต่อมาเพื่อขอความร่วมมือในการหาผู้รอดชีวิต อย่างที่พวกเราก็ได้ให้ความร่วมมือมาอย่างน่าพอใจไปแล้วนั้น
ผมฉุกคิดขึ้นมาว่า น่าจะมีความเห็นอื่นๆอีก มุมมอง หรือ ข้อมูล จากแหล่งอื่นๆที่อาจจะไม่เป็นทางการนักที่พอจะเอามาปะติดปะต่อกันได้
เท่าที่ผมรวบรวมมาได้เพิ่มตอนนี้มีมาจาก 3 แหล่ง คือ commercial diving directory, กรณีศึกษาของน.ศ.ปริญญาตรี Memorial University of Newfoundland St. John’s (Canada) และ Energy global news แน่นอนว่ามีความเห็นส่วนตัวผมปิดท้าย
(ผมขอแปลแบบเอาความหมายนะครับ อย่างเพิ่งทักท้วงกันถ้าอ่านเทียบต้นฉบับแล้วไม่ตรงกันแบบเป๊ะๆคำต่อคำ)
ข้อมูลจาก Commercial Diving Directory
ที่มา
https://www.longstreath.com/community/topic/8267-drillship-seacrest-thailand-1989/
http://www.nongferndaddy.com/backup%20data/Drillship%20Seacrest,%20Thailand,%201989%20-%20Incident%20Follow%20Up's%20-%20longstreath.com.html
(สำเนาเว็บข้างต้น เฉพาะส่วนที่เป็น text ใน nongferndaddy.com เผื่อลิงค์ต้นฉบับหายไปกับกาลเวลา)
เป็น
ข้อมูลจาก site admin Mark Longstreath เผยแพร่ในเว็บไซด์ดังกล่าวเมื่อ 4 สิงหาคม 2013 ประเด็นที่ทำให้ผมสนใจนำมาเผยแพร่ต่อ ก็เพราะมีกรณีฟ้องร้องกัน และ มีผู้เกี่ยวข้องเป็นผู้หญิงไทย ซึ่งเป็นภรรยาของผู้ที่เสียชีวิต
ผมจะไม่แปลคำต่อคำนะครับ ผมจะสรุปให้เลย
Mark เล่าว่า Driller คนหนึ่งชื่อ Jesse Sandoval ที่เสียชีวิตไปกับ Seacrest เป็นเพื่อนข้างบ้านเขาที่พัทยา ตอนที่ซีเครสล่ม Jesse มีภรรยาคนไทยชื่อติ๊กซึ่งตอนนั้นท้อง 6 เดือน เธอช๊อคและเกือบจะแท้ง ตอนนั้นคนงานแท่นเจาะนอกชางฝั่งที่เป็นชาวต่างประเทศ (ที่เราเรียกติดปากว่า expat) ส่วนมากอาศัยกันอยู่ที่พัทยา (อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นฐานสนับสนุนทั้งทางเรือและอากาศอยู่ที่สัตหีบ)
หลายสัปดาห์ผ่านไป มีคนของ Unocal (ตอนนี้คือ Chevron) มาหาติ๊กและเสนอค่าชดเชยที่ต่ำอย่างน่าตกใจให้เธอ ซึ่งเธอฉลาดที่ปฏิเสธไป และ ไม่นานหลังจากนั้น มีตัวแทนบ.กฏหมายจากฮุสตันมาพบกับครอบครัวผู้สูญเสียบางครอบครัว Mark และ เพื่อน อีก 2 คน (Malcolm W. and John H.) ร่วมประชุมอยู่ด้วยระหว่าง ติ๊ก และ ตัวแทนบ.กฏหมายฯ โดย Malcolm W. and John H. ซึ่งพูดภาษาไทยได้คล่องเป็นล่ามให้เธอ
ผลการประชุมคือ ติ๊ก และ ครอบครัวผู้สูญเสียตกลงที่จะให้บ.นี้เป็นตัวแทน(ฟ้องร้อง Unocal)
ไม่นานหลังจากนั้น ติ๊กไปอยู่กับครอบครัวของ Jasse ที่ Texas เธอคลอดลูกเรียบร้อยดี สุขภาพแข็งแรง ในที่สุดการฟ้องร้องก็เริ่มต้น และ ลากกันยาวจนดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด ในที่สุดคำตัดสินก็ออกมากเป็นคุณต่อฝ่ายโจทย์ (ติ๊กและครอบครัวผู้สูญเสีย) ค่าชดเชยที่ได้ มากกว่าที่ทนายของทั้งสองฝ่ายคาดเอาไว้มากๆ
Mark คาดเดาว่าหลังจากหักค่าทนายและอื่นๆแล้ว ผู้เสียหายแต่ล่ะรายได้ค่าชดเชยรายล่ะประมาณหลายร้อยล้านเหรียญ
นอกจากนี้แล้ว Mark พูดถึงเรื่องอื่นๆที่ไม่ใช่ประเด็นใหม่อะไร ผมได้เล่าถึงไปแล้วในบทความตอนแรก (
Seacrest ที่สุดตำนานแห่งหายนะในประวัติศาสตร์ขุดเจาะนอกชายฝั่งอ่าวไทย) Mark ปิดท้ายความเห็นเหมือนผม ที่บอกว่า รายงานของ FAA บิดเบือน ไม่น่าเชื่อถือ (ลิงค์
Failure Analysis Associates ฉบับเต็ม PDF 128 หน้า 432 KB)
ต่อมาเป็นความเห็นของ Tim (สมาชิกเว็บไซต์ดังกล่าว)
ผมจะสรุปเฉพาะนัยะสำคัญที่ Tim พูดถึงก็แล้วกัน ... Tim บอกว่า รายงานของ FAA ทั้ง 128 หน้า บอกอยู่ 4 อย่าง
1. แม้ว่าจะมีการแก้ไข Top Drive (มอเตอร์ที่ใช้หมุนก้านเจาะ) เรือก็ยังเสถียรและทำงานได้ในข้อกำหนดขณะที่จม
2. ไต้ฝุ่นเกย์แรงกว่าที่คาดการณ์ไว้
3. ตอนเรือจม สภาพอากาศรุนแรงเกินกว่าที่จะปล่อยเรือชูชีพได้สำเร็จ
4. คู่มือการค้นหาและช่วยเหลือ (SAR - Search And Rescure) ประมาณความเร็วและทิศทางของคลื่นลมที่พัดพาผู้รอดชีวิตผิดพลาดไป ทำให้ใช้เวลานานในการค้นหาผู้รอดชีวิตผิดที่ผิดทาง
Tim กล่าวต่ออีกว่า มี 4 ประเด็นที่ FAA ไม่ได้พูดถึง (ซึ่งผมเห็นด้วย)
1. ผลกระทบจากก้านเจาะที่อยู่บนแท่น ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียดใน บทความตอนแรก (
Seacrest ที่สุดตำนานแห่งหายนะในประวัติศาสตร์ขุดเจาะนอกชายฝั่งอ่าวไทย)
2. Derrick (โครงปั้นจั่น) ที่เอียง และ หลุดออกจากพื้นแท่นขุด (rig floor)
3. เรือถูกดึงด้วยสมอเพียงเส้นเดียว ทำให้ด้านที่โดนสมอดึงไว้จมน้ำ (ด้านตรงข้ามจึงโดนคลื่นตีจนคว่ำลง)
4. รายงานของเรือที่ไม่เสถียรของกัปตันและหัวหน้าวิศวกร (จะกล่าวถึงโดยละเอียนในตอนกรณีศึกษาของน.ศ.ปริญญาตรี Memorial University of Newfoundland St. John’s Canada ต่อไปครับ)
Tim (จบด้วยข้อความนี้ที่ผมชอบมากๆ) ...
ฉันไม่ใช่นักกฏหมาย หรือ ผู้ชำนาญการสืบสวนทางทะเล และ เราไม่มีภารกิจที่จะรักษาโลกที่ป่วย ทั้งหมดที่เราต้องการคือค้นหารายละเอียดของทีมดำน้ำ (เว็บไซต์ที่ Tim เป็นสมาชิกคือเว็บไซต์ดำน้ำ) และ บันทึกเรื่องที่เกิดขึ้นในฐานะที่เป็นหายนะของอุตสาหกรรม มากกว่าจะให้สูญหาย และ ถูกลืมไปในเชิงอรรถ (footnote) ของแฟ้มไร้ชื่อในตู้เอกสาร และ รายชื่อของคนที่อยู่บนเรือทั้งที่เสียชีวิตและรอดชีวิตต้องถูกบันทึกไว้เป็นข้อมูลสาธารณะในระบบกฏหมายทั้งของไทย และ อเมริกัน และ น่าแปลกที่ข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้ถูกฝังลึกมาก (คือหาไม่เจอนั่นแหละ)
ผมชอบที่ Tim พูดมากๆเลย เพราะผมเองก็ค้นหาไม่เจอจริงๆว่า มีรายชื่อผู้รอดชีวิต ผู้เสียชีวิตเก็บไว้เป็นทางการแบบเป็นสาธารณะที่ไหนหรือไม่ ขนาด
Piper alpha,
Mumbai High North Platform Fire (MHN) และ
Deepwater Horizon ยังมีบันทึกรายชื่อไว้ในสาธารณะหมดเลย คงไม่ต้องขนาดลงหนังสือพิมพ์ แต่ถ้าอยากทราบข้อมูลก็ความเข้าถึงได้ เพราะเข้าใจได้ในความเป็นส่วนตัวและความรู้สึกของผู้ที่อยู่ข้างหลัง
จบส่วนที่เป็นความเห็นจากนักดำน้ำ Mark และ Tim
ต่อไปจะเป็นข้อมูลจากการศึกษา The Capsize of the Drillship Seacrest โดย David M. Mannion จาก Memorial University of Newfoundland St. John’s, NL A1C 5S7
The Capsize of the Drillship Seacrest
โดย David M. Mannion
ที่มา ...
The capsize of the Drillship Seacrest (PDF 6 หน้า 428 KB)
David ทำรายงานนี้ไว้เมื่อปี 2013 (24 ปี หลังเหตุการณ์) ปีเดียวกับที่ Mark แสดงความเห็นในเว็บไซต์นักดำน้ำข้างต้น โดย David ใช้เอกสารอ้างอิงเดียวกับที่ผมใช้ คือ
Oil Rig Disaster,
FAA,
Thai Wreck Diver และ
wiki
เนื้อหาส่วนใหญ่จะเหมือนกัน ดังนั้นผมจะขอพูดถึงส่วนที่ผมหลุดละเลยไปจากการนำเสนอหนที่แล้ว แต่ David สรุปไว้ เพื่อบันทึกเรื่องนี้จะได้สมบูรณ์มากที่สุดในภาคภาษาไทย (อย่างน้อยก็ในเว็บไซด์ผม)
ลำดับการแก้ไขปรับปรุง Seacrest
1. ระหว่างเดือน กันยายน ถึง ตุลาคมปี 1988 Seacrest เปลี่ยนระบบการหมุนก้านเจาะ จาก Byron Jackson Dynaplex hook มาเป็น VARCO Top Drive Drilling System (มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง) ในขณะเดียวกันก็ยืดโครงปั้นจั่น (derrick) ขึ้นไปอีก 10 ฟุต การแก้ไขปรับปรุงครั้งนั้นทำให้น้ำหนักเรือ (lightship weight) เปลี่ยนไปน้อยกว่า 0.5% และ จุดศูนย์ถ่วง (CG - Center of Gravity) เพิ่มขึ้น 1% จากค่าเริ่มต้นในแนวดิ่ง การเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้กระทบต่อความเสถียรของเรือ แต่บ.เจ้าของเรือก็ได้ถ่วง(ชดเชย)กลับ
2. เดือนธันวาคม ปีเดียวกัน (1988) Seacrest เปลี่ยนถังน้ำในท้องเรือสำหรับถ่วงเรือใบที่ 3 โดยเปลี่ยนจากถังน้ำมันสำรอง (mentor oil tank) ไปเป็นถังน้ำ 296 ลิตร ดังนั้น เพื่อชดเชยดุลน้ำหนักที่เปลี่ยนไป ปริมาตรว่าง (void)ตำแหน่งที่ 3 ของฝั่งซ้ายและ
30 ปี Seacrest ที่สุดของหายนะในวงการขุดเจาะปิโตรเลียมอ่าวไทย (คำบอกเล่า และ การศึกษาเพิ่มเติม)
http://nongferndaddy.com/seacrest/
ปีนี้ และ วันนี้ 3 พ.ย. ครบรอบ 30 ปี ที่ เธอจากเราไป ผมตั้งใจเรียบเรียงโพสต์นี้ เพื่อระลึกถึงเธอ ... Scan Queen หรือ อีกชื่อหนึ่งของเธอ Seacrest ของพวกเรา
ส่วนที่ผมนำมาเผยแพร่นี้ เป็นส่วนหนึ่งของต้นฉบับชื่อเรื่องเดียวกันในเว็บไซด์ http://nongferndaddy.com/30-%e0%b8%9b%e0%b8%b5-seacrest/ โดยตัดเอาความเห็นส่วนตัวของผม และ เรื่องที่อาจจะกระทบกับบุคคลอื่นออกไป เพราะว่าการคุยกันในที่สาธาณะจำเป็นต้องรู้กติกามารยาท ไม่ทำให้เจ้าของพื้นที่เดือดร้อน (แล้วผมอาจจะเดือดร้อนเสียเอง เพราะเจ้าของพื้นที่อาจจะไม่ให้ผมมานั่งคุยนั่งจ้อในที่ของเขาอีก) ซึ่งต่างจากการไปคุยในห้องรับแขกบ้านของตัวเอง ที่เราจะคุยจะเล่าอะไรก็สามารถมีพื้นที่ให้ออกความเห็นได้มากกว่าไปออกความเห็นที่ร้านกาแฟนอกบ้าน
ดังนั้น ส่วนที่ผมตัดออกไปจะมีหน้าตาแบบนี้ [...] นะครับ ก็สามารถคลิ๊กเพื่อเข้าไปอ่านได้ถ้าต้องการ
ผมขอเริ่ม 30 ปี Seacrest ด้วยคำอุทิศสั้นๆที่ผมเคยเขียนไว้ในตอนที่แล้ว เพื่อเป็นการเคารพ และ ให้เกียรติแค่ผู้ล่วงลับ และ ผู้สูญเสียคนที่รักในเหตุการณ์นี้
คำอุทิศ
… แด่ 91 ดวงวิญญานของผู้ล่วงลับ
… แด่ทุกดวงใจของผู้สูญเสียคนที่ท่านรักสุดหัวใจในเหตุการณ์นี้
… แด่ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด (ไม่ว่าในทางตรงหรือทางอ้อม)
ข้าพเจ้ามิได้มีเจตนา ตัดสิน การตัดสินใจ หรือ ลบหลู่ เกียรติยศ และ ศักดิ์ศรีของท่านในเหตุการณ์ครั้งนั้น เจตนาเดียวของข้าพเจ้าคือให้โลกรู้ถึงหัวใจที่กล้าหาญ เสียสละ ในช่วงนาทีสุดท้ายของชีวิตของพวกท่าน ที่ไม่มีใครได้รับรู้ ข้าพเจ้าต้องการบันทึกไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ เป็นบทเรียน และ ให้สังคมตระหนักถึง งานที่ท่านและพวกเราเสี่ยงชีวิตทุกวันในโลกใบเล็กๆ กลางพื้นน้ำ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของท้องทะเล ฟ้า กระแสลม และ แม่ธรณี
… งานที่ท่านและพวกเราเสี่ยงชีวิตทุกวันในโลกใบเล็กๆ เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ของคนที่ท่านและพวกเรารักที่อยู่บนฝั่ง
หากมีข้อความใดในบทความนี้ที่ข้าพเจ้าแสดงความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ก้าวล่วง หรือ ทำให้ท่านไม่สบายใจ กังวลใจ ข้าพเจ้าต้องการให้ท่านทราบว่าการณ์นั้นเป็นไปด้วยจิตที่บริสุทธิ์ หากแต่ เขลาปัญญา ขาดความรอบคอบ ข้าพเจ้ากราบขออภัยท่านมา ณ.ที่นี้ ข้าพเจ้าขอน้อมรับความเขลาและความผิดพลาดทั้งหมดในบทความนี้ด้วยตัวข้าพเจ้าเอง และ ขอให้ท่านอโหสิกรรมในความผิดพลาดและความเขลาปัญญาของข้าพเจ้า
ด้วยความเคารพและนับถือ ทุกดวงวิญญาณที่จากไป และ ทุกดวงใจที่สูญเสีย
www.nongferndaddy.com
30 ปี Seacrest
ที่สุดหายนะขุดเจาะอ่าวไทย (คำบอกเล่า และ การศึกษาเพิ่มเติม)
แรงบันดาลใจเกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่มีผู้กำกับภาพยนต์สารคดีติดต่อมาเพื่อขอความร่วมมือในการหาผู้รอดชีวิต อย่างที่พวกเราก็ได้ให้ความร่วมมือมาอย่างน่าพอใจไปแล้วนั้น
ผมฉุกคิดขึ้นมาว่า น่าจะมีความเห็นอื่นๆอีก มุมมอง หรือ ข้อมูล จากแหล่งอื่นๆที่อาจจะไม่เป็นทางการนักที่พอจะเอามาปะติดปะต่อกันได้
เท่าที่ผมรวบรวมมาได้เพิ่มตอนนี้มีมาจาก 3 แหล่ง คือ commercial diving directory, กรณีศึกษาของน.ศ.ปริญญาตรี Memorial University of Newfoundland St. John’s (Canada) และ Energy global news แน่นอนว่ามีความเห็นส่วนตัวผมปิดท้าย
(ผมขอแปลแบบเอาความหมายนะครับ อย่างเพิ่งทักท้วงกันถ้าอ่านเทียบต้นฉบับแล้วไม่ตรงกันแบบเป๊ะๆคำต่อคำ)
ข้อมูลจาก Commercial Diving Directory
ที่มา https://www.longstreath.com/community/topic/8267-drillship-seacrest-thailand-1989/
http://www.nongferndaddy.com/backup%20data/Drillship%20Seacrest,%20Thailand,%201989%20-%20Incident%20Follow%20Up's%20-%20longstreath.com.html
(สำเนาเว็บข้างต้น เฉพาะส่วนที่เป็น text ใน nongferndaddy.com เผื่อลิงค์ต้นฉบับหายไปกับกาลเวลา)
เป็นข้อมูลจาก site admin Mark Longstreath เผยแพร่ในเว็บไซด์ดังกล่าวเมื่อ 4 สิงหาคม 2013 ประเด็นที่ทำให้ผมสนใจนำมาเผยแพร่ต่อ ก็เพราะมีกรณีฟ้องร้องกัน และ มีผู้เกี่ยวข้องเป็นผู้หญิงไทย ซึ่งเป็นภรรยาของผู้ที่เสียชีวิต
ผมจะไม่แปลคำต่อคำนะครับ ผมจะสรุปให้เลย
Mark เล่าว่า Driller คนหนึ่งชื่อ Jesse Sandoval ที่เสียชีวิตไปกับ Seacrest เป็นเพื่อนข้างบ้านเขาที่พัทยา ตอนที่ซีเครสล่ม Jesse มีภรรยาคนไทยชื่อติ๊กซึ่งตอนนั้นท้อง 6 เดือน เธอช๊อคและเกือบจะแท้ง ตอนนั้นคนงานแท่นเจาะนอกชางฝั่งที่เป็นชาวต่างประเทศ (ที่เราเรียกติดปากว่า expat) ส่วนมากอาศัยกันอยู่ที่พัทยา (อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นฐานสนับสนุนทั้งทางเรือและอากาศอยู่ที่สัตหีบ)
หลายสัปดาห์ผ่านไป มีคนของ Unocal (ตอนนี้คือ Chevron) มาหาติ๊กและเสนอค่าชดเชยที่ต่ำอย่างน่าตกใจให้เธอ ซึ่งเธอฉลาดที่ปฏิเสธไป และ ไม่นานหลังจากนั้น มีตัวแทนบ.กฏหมายจากฮุสตันมาพบกับครอบครัวผู้สูญเสียบางครอบครัว Mark และ เพื่อน อีก 2 คน (Malcolm W. and John H.) ร่วมประชุมอยู่ด้วยระหว่าง ติ๊ก และ ตัวแทนบ.กฏหมายฯ โดย Malcolm W. and John H. ซึ่งพูดภาษาไทยได้คล่องเป็นล่ามให้เธอ
ผลการประชุมคือ ติ๊ก และ ครอบครัวผู้สูญเสียตกลงที่จะให้บ.นี้เป็นตัวแทน(ฟ้องร้อง Unocal)
ไม่นานหลังจากนั้น ติ๊กไปอยู่กับครอบครัวของ Jasse ที่ Texas เธอคลอดลูกเรียบร้อยดี สุขภาพแข็งแรง ในที่สุดการฟ้องร้องก็เริ่มต้น และ ลากกันยาวจนดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด ในที่สุดคำตัดสินก็ออกมากเป็นคุณต่อฝ่ายโจทย์ (ติ๊กและครอบครัวผู้สูญเสีย) ค่าชดเชยที่ได้ มากกว่าที่ทนายของทั้งสองฝ่ายคาดเอาไว้มากๆ
Mark คาดเดาว่าหลังจากหักค่าทนายและอื่นๆแล้ว ผู้เสียหายแต่ล่ะรายได้ค่าชดเชยรายล่ะประมาณหลายร้อยล้านเหรียญ
นอกจากนี้แล้ว Mark พูดถึงเรื่องอื่นๆที่ไม่ใช่ประเด็นใหม่อะไร ผมได้เล่าถึงไปแล้วในบทความตอนแรก (Seacrest ที่สุดตำนานแห่งหายนะในประวัติศาสตร์ขุดเจาะนอกชายฝั่งอ่าวไทย) Mark ปิดท้ายความเห็นเหมือนผม ที่บอกว่า รายงานของ FAA บิดเบือน ไม่น่าเชื่อถือ (ลิงค์ Failure Analysis Associates ฉบับเต็ม PDF 128 หน้า 432 KB)
ต่อมาเป็นความเห็นของ Tim (สมาชิกเว็บไซต์ดังกล่าว)
ผมจะสรุปเฉพาะนัยะสำคัญที่ Tim พูดถึงก็แล้วกัน ... Tim บอกว่า รายงานของ FAA ทั้ง 128 หน้า บอกอยู่ 4 อย่าง
1. แม้ว่าจะมีการแก้ไข Top Drive (มอเตอร์ที่ใช้หมุนก้านเจาะ) เรือก็ยังเสถียรและทำงานได้ในข้อกำหนดขณะที่จม
2. ไต้ฝุ่นเกย์แรงกว่าที่คาดการณ์ไว้
3. ตอนเรือจม สภาพอากาศรุนแรงเกินกว่าที่จะปล่อยเรือชูชีพได้สำเร็จ
4. คู่มือการค้นหาและช่วยเหลือ (SAR - Search And Rescure) ประมาณความเร็วและทิศทางของคลื่นลมที่พัดพาผู้รอดชีวิตผิดพลาดไป ทำให้ใช้เวลานานในการค้นหาผู้รอดชีวิตผิดที่ผิดทาง
Tim กล่าวต่ออีกว่า มี 4 ประเด็นที่ FAA ไม่ได้พูดถึง (ซึ่งผมเห็นด้วย)
1. ผลกระทบจากก้านเจาะที่อยู่บนแท่น ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียดใน บทความตอนแรก (Seacrest ที่สุดตำนานแห่งหายนะในประวัติศาสตร์ขุดเจาะนอกชายฝั่งอ่าวไทย)
2. Derrick (โครงปั้นจั่น) ที่เอียง และ หลุดออกจากพื้นแท่นขุด (rig floor)
3. เรือถูกดึงด้วยสมอเพียงเส้นเดียว ทำให้ด้านที่โดนสมอดึงไว้จมน้ำ (ด้านตรงข้ามจึงโดนคลื่นตีจนคว่ำลง)
4. รายงานของเรือที่ไม่เสถียรของกัปตันและหัวหน้าวิศวกร (จะกล่าวถึงโดยละเอียนในตอนกรณีศึกษาของน.ศ.ปริญญาตรี Memorial University of Newfoundland St. John’s Canada ต่อไปครับ)
Tim (จบด้วยข้อความนี้ที่ผมชอบมากๆ) ... ฉันไม่ใช่นักกฏหมาย หรือ ผู้ชำนาญการสืบสวนทางทะเล และ เราไม่มีภารกิจที่จะรักษาโลกที่ป่วย ทั้งหมดที่เราต้องการคือค้นหารายละเอียดของทีมดำน้ำ (เว็บไซต์ที่ Tim เป็นสมาชิกคือเว็บไซต์ดำน้ำ) และ บันทึกเรื่องที่เกิดขึ้นในฐานะที่เป็นหายนะของอุตสาหกรรม มากกว่าจะให้สูญหาย และ ถูกลืมไปในเชิงอรรถ (footnote) ของแฟ้มไร้ชื่อในตู้เอกสาร และ รายชื่อของคนที่อยู่บนเรือทั้งที่เสียชีวิตและรอดชีวิตต้องถูกบันทึกไว้เป็นข้อมูลสาธารณะในระบบกฏหมายทั้งของไทย และ อเมริกัน และ น่าแปลกที่ข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้ถูกฝังลึกมาก (คือหาไม่เจอนั่นแหละ)
ผมชอบที่ Tim พูดมากๆเลย เพราะผมเองก็ค้นหาไม่เจอจริงๆว่า มีรายชื่อผู้รอดชีวิต ผู้เสียชีวิตเก็บไว้เป็นทางการแบบเป็นสาธารณะที่ไหนหรือไม่ ขนาด Piper alpha, Mumbai High North Platform Fire (MHN) และ Deepwater Horizon ยังมีบันทึกรายชื่อไว้ในสาธารณะหมดเลย คงไม่ต้องขนาดลงหนังสือพิมพ์ แต่ถ้าอยากทราบข้อมูลก็ความเข้าถึงได้ เพราะเข้าใจได้ในความเป็นส่วนตัวและความรู้สึกของผู้ที่อยู่ข้างหลัง
จบส่วนที่เป็นความเห็นจากนักดำน้ำ Mark และ Tim
ต่อไปจะเป็นข้อมูลจากการศึกษา The Capsize of the Drillship Seacrest โดย David M. Mannion จาก Memorial University of Newfoundland St. John’s, NL A1C 5S7
The Capsize of the Drillship Seacrest
โดย David M. Mannion
ที่มา ... The capsize of the Drillship Seacrest (PDF 6 หน้า 428 KB)
David ทำรายงานนี้ไว้เมื่อปี 2013 (24 ปี หลังเหตุการณ์) ปีเดียวกับที่ Mark แสดงความเห็นในเว็บไซต์นักดำน้ำข้างต้น โดย David ใช้เอกสารอ้างอิงเดียวกับที่ผมใช้ คือ Oil Rig Disaster, FAA, Thai Wreck Diver และ wiki
เนื้อหาส่วนใหญ่จะเหมือนกัน ดังนั้นผมจะขอพูดถึงส่วนที่ผมหลุดละเลยไปจากการนำเสนอหนที่แล้ว แต่ David สรุปไว้ เพื่อบันทึกเรื่องนี้จะได้สมบูรณ์มากที่สุดในภาคภาษาไทย (อย่างน้อยก็ในเว็บไซด์ผม)
ลำดับการแก้ไขปรับปรุง Seacrest
1. ระหว่างเดือน กันยายน ถึง ตุลาคมปี 1988 Seacrest เปลี่ยนระบบการหมุนก้านเจาะ จาก Byron Jackson Dynaplex hook มาเป็น VARCO Top Drive Drilling System (มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง) ในขณะเดียวกันก็ยืดโครงปั้นจั่น (derrick) ขึ้นไปอีก 10 ฟุต การแก้ไขปรับปรุงครั้งนั้นทำให้น้ำหนักเรือ (lightship weight) เปลี่ยนไปน้อยกว่า 0.5% และ จุดศูนย์ถ่วง (CG - Center of Gravity) เพิ่มขึ้น 1% จากค่าเริ่มต้นในแนวดิ่ง การเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้กระทบต่อความเสถียรของเรือ แต่บ.เจ้าของเรือก็ได้ถ่วง(ชดเชย)กลับ
2. เดือนธันวาคม ปีเดียวกัน (1988) Seacrest เปลี่ยนถังน้ำในท้องเรือสำหรับถ่วงเรือใบที่ 3 โดยเปลี่ยนจากถังน้ำมันสำรอง (mentor oil tank) ไปเป็นถังน้ำ 296 ลิตร ดังนั้น เพื่อชดเชยดุลน้ำหนักที่เปลี่ยนไป ปริมาตรว่าง (void)ตำแหน่งที่ 3 ของฝั่งซ้ายและ