หนังเรื่องนี้ อยากสื่อสาร กับ มะเดี่ยว มากๆ เลยครับ
ไม่ควรเขียนและคิดบทคนเดียว
น่าจะคิดกันเป็นทีมคนเขียนบท
หนังเรื่องนี้ ควรมีคนเขียนบทสัก 4 ถึง 5 คนเพื่อตบประเด็นให้กล่อมกล่อม
ประเด็นแรก เรื่องโรค ? ไม่น่าจับมาเป็นประเด็นในหนังรักเลย
หากยกประเด็นนี้ออกทั้งหมด
แล้วไปเติมส่วนขยายตอนท้ายเรื่อง หรือไปใส่ที่มาที่ไปของตัวละคร ที่ เบาๆ ขาดน้ำหนักจะดีกว่านี้มาก
เพราะหนังกำลังภาพสวย ธรรมชาติชนบทท้องถิ่นกำลังดงาม
ดันพาคนดูเข้าโหมด โรค....
ตัดทิ้งประเด็นเรื่องนี้ ก็ไม่ได้ทำลายเนื้อหาของหนัง
เอาพวกกระเทยมาใส่ในซีนเข้าแถว
และผลักไสไล่ส่งแบบนี้
ดูแล้วไม่เวิก เพราะแค่เพียงครอบครัวคนจีนไม่ยอมรับแค่นั่น ก็น่าจะเก็ทมากพอแล้วในสังคมสมัยนั้น
ถ้าเอาไปฉายเมืองจีน หรือ เมืองนอก ควรยกประเด็นนี้ทั้งซีนทิ้งออกไปให้หมด เพราะ
จะกลายเป็นว่า สรุปคนดู มาดูคนป่วย ตัวละครป่วย หมอพยาบาลทหารป่วย สังคมป่วย อาจารย์ผู้มีการศึกษาป่วย
กลายเป็นป่วยมากกว่า น้องสาวต็งติ้ง นั้นเสียอีก
และเท่ากับว่า กำลังไปต่อว่าคนในสังคมยุคหนึ่งเกินไป
และอาจทำให้คนต่างชาติ ที่หนังได้ไปฉายยังที่ต่างๆ
เข้าใจว่าสังคมเราป่วย ออกแนวงานล่าแม่มดยังไงไม่รู้
ผลักหรือส่งฉากพวกนี้ ราวกับงานติดเชื้อ
เพราะเมืองเล็กๆ เมืองสงบไม่พูดมาก
มะเดี๋ยวก็นำเสนอพร้อมภาพที่สงบร่มรื่น
เย็นสบายสดชื่นได้ดีแล้วนี่
ทำไมต้องมาจัดฉากพวกนี้ทำลายไปด้วย
เพราะแค่สังคมเพื่อน สังคมครอบครัว สังคมยุคสมัย สังคมวัฒนธรรม
ก็จัดการความไม่ยอมรับกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ มากพอแล้วนี่
บางตัวละครก็ขาดแบล็คกราว อย่างแฟนภพ หรืออย่าง
ตัวละคร "หลิว" ขาดที่มาที่ไป
ทำไมครอบครัวปล่อยให้มาอยู่หอ
ครอบครัว "หลิว" ไปไหน
หรือการมาที่หอพักเก่าที่เชียงใหม่
"หลิว" ตามหาพ่อ หรือ ตามหาความลับ
หรือหลิว จะแก้แค้น อะไรหรือเปล่า
อยู่ๆ ก็เดินมา ไม่พูดไม่ฮือไม่อือ มาสืบมาค้น มาเดินเล่น
หรืออย่างไร ?
คืออีกนิดจะกลายเป็นหนังสืบสวนสอบสวนแหล่ะ
เหมือนตัวละคร ลอยออกมา แล้วก็ลอยออกไป
เลยลืมคิด มิติ ของตัวละครอย่าง "หลิว" ไปซะงั้น
หนังลากคนดูไปตามฉากที่เป็นปมของเรื่องที่คนดู
ไม่รู้ ซึ่งฉากเหล่านี้เกือบจะมีน้ำหนักแล้ว
แต่เพราะขาด มิติความชัดลึกของ "หลิว" ที่ไม่มีพื้นฐานทางครอบครัว
ขาดที่มาที่ไปอย่างที่ว่า เลยทำให้คนดูไม่อิน
รถไฟ
รถมอเตอร์ไซด์
ตู้โทรศัพท์
ไอน้ำบนกระจกตู้โทรศัพท์
ความชื้นความเย็น ฝนตก
หุบเขาในมุมต่างๆ
ลดพัดเย็น แสงไฟ
ยามราตรีของเมืองเชียงใหม่
ภาพเบลอๆ จากกระจกรถไฟ มุมสะท้อนผ่านกระจก แนวฝันๆ
ภาพเข้าสู่หุบเขาแห่งความหนาวเย็นปนความสดชื่นเย็นสบายจิตใจ
ม้านั่ง เก้าอี้นั่งกลางหุบเขา
ท้องฟ้าสีคราม
เหล่านี้ล้วนทำได้ดี
แต่ทะเล นี้ซิมันโดด ไปมั้ยอ่ะ ฝันเลยขอบแล้วนะนั่น
เกือบจะเป็นงานฝันๆ แล่ะ มาแป๊ก ต้องห้องนอนที่หลิวติดรูปเต็มไปหมด
อันนี้รู้แหล่ะว่ากำลังมีนัยแฝง แต่เสียดายน่าจะหาวิธีอื่นที่จะขมวดปมหรือขยายปม
ปริศนา หรือน่าจะสร้างที่มาทีไป ก่อนจะเข้าสู่ Part งานส่วนนี้
งานหน้าของานไม่ทำร้ายความรู้สึก คนดูจะได้มั๊ยครับ คุณมะเดี่ยว
พาให้อิน พาให้ฟิน พาให้จิกหมอนจะได้มั๊ย
มะเดี๋ยวลองปรึกษา สาววาย ว่าน้องๆ เขาชอบอะไร
รับรองมะเดี๋ยวติดลมบนเลย
ฉากร้องไห้สะอึกสะอื้น ของดิว
ที่รับโทรศัพท์คุยกับภพ
เด็กที่เล่นเป็น ดิว ทำให้เราอินในส่วนนี้ไม่ได้
ส่วนน้องที่เล่น เป็นภพ โอเคเลย
ฉากในรถยนต์ที่พวกญาติๆ ไปรับกลับมา
แล้วรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับดิว
ซีนนั้นผ่านครับ
อารมณ์จุกอึดอัด รู้ความจริงอันน่าเศร้าสะเทือนใจ
อยากระบายความเสียใจออกมา
แล้วตัวละคร ในบทจะแสดงอารมณ์ออกมาไม่ได้ในสังคมหมู่ญาติของตน
ซึ่งซีนนี้ ถ้ามะเดี่ยวอัด ฟิวความรู้สึกเสียใจของเด็กภพ เพิ่มเข้ามาอีกฉาก
จะในห้อง หรือสถานที่ภพ จะอยู่คนเดียวกับคนดู
เพื่อลากคนดูให้ระเบิดอารมณ์ตามไปอีกซักฉากจะดีมากเลย เสียดายไม่มี
ซีนที่ว่าอาจจะเป็นหุบเขา หรือจุดนัดพบที่ให้ความสุขเมื่อครั้งอดีต
แต่จะกลับกันในปัจจุบัน ที่จะให้ความเหงาเศร้า หดหู่มาแทนที่
อย่างนี้น่าจะเวิกกว่าสำหรับคนดูโดยรวม
คนดูจะได้เสียใจไปพร้อมตัวละครอย่างภพได้หนักหน่วงมากกว่านี้
แล้วก็จะส่งผลดีให้ เวียร์ มีน้ำหนักทางอารมณ์
ไปได้อีกมากกว่านี้
เผลอๆ อาจบ่อน้ำตาแตกกันทั้งโรง...เสียดายไม่มี
ซีนปะทะอารมณ์ตัดขาดพ่อลูก อารมณ์น้องเล่นดีแล้ว
เสียอย่างเดียว ภาษาจีนที่อุตส่าห์ปูมาซะดิบดีตามสภาพครอบครัว
กลายเป็นพูดภาษาไทยชัดซะ ยังกะหนังวัยรุ่นทะเลาะกัน ไดอะล็อกตรงนี้ดูแล้วขัดไปนิด
โดยรวม ตัวละครภพ ทำให้อยากเข้าไปดูหนัง บวกกับภาพท้องถิ่นขี่รถตามเส้นทางภูเขา
ผมเชื่อว่า ถ้าหนังได้ไปฉายเมืองจีน น้องภพดังแน่ แต่น้องต้องไว้ผมทรงเดียวกับในหนังนะ
ตอนไปเมืองจีน.
[CR] วิจารณ์ หนังเรื่อง ดิว ไปด้วยกันนะ อาจมีสปอยบางฉาก
ไม่ควรเขียนและคิดบทคนเดียว
น่าจะคิดกันเป็นทีมคนเขียนบท
หนังเรื่องนี้ ควรมีคนเขียนบทสัก 4 ถึง 5 คนเพื่อตบประเด็นให้กล่อมกล่อม
ประเด็นแรก เรื่องโรค ? ไม่น่าจับมาเป็นประเด็นในหนังรักเลย
หากยกประเด็นนี้ออกทั้งหมด
แล้วไปเติมส่วนขยายตอนท้ายเรื่อง หรือไปใส่ที่มาที่ไปของตัวละคร ที่ เบาๆ ขาดน้ำหนักจะดีกว่านี้มาก
เพราะหนังกำลังภาพสวย ธรรมชาติชนบทท้องถิ่นกำลังดงาม
ดันพาคนดูเข้าโหมด โรค....
ตัดทิ้งประเด็นเรื่องนี้ ก็ไม่ได้ทำลายเนื้อหาของหนัง
เอาพวกกระเทยมาใส่ในซีนเข้าแถว
และผลักไสไล่ส่งแบบนี้
ดูแล้วไม่เวิก เพราะแค่เพียงครอบครัวคนจีนไม่ยอมรับแค่นั่น ก็น่าจะเก็ทมากพอแล้วในสังคมสมัยนั้น
ถ้าเอาไปฉายเมืองจีน หรือ เมืองนอก ควรยกประเด็นนี้ทั้งซีนทิ้งออกไปให้หมด เพราะ
จะกลายเป็นว่า สรุปคนดู มาดูคนป่วย ตัวละครป่วย หมอพยาบาลทหารป่วย สังคมป่วย อาจารย์ผู้มีการศึกษาป่วย
กลายเป็นป่วยมากกว่า น้องสาวต็งติ้ง นั้นเสียอีก
และเท่ากับว่า กำลังไปต่อว่าคนในสังคมยุคหนึ่งเกินไป
และอาจทำให้คนต่างชาติ ที่หนังได้ไปฉายยังที่ต่างๆ
เข้าใจว่าสังคมเราป่วย ออกแนวงานล่าแม่มดยังไงไม่รู้
ผลักหรือส่งฉากพวกนี้ ราวกับงานติดเชื้อ
เพราะเมืองเล็กๆ เมืองสงบไม่พูดมาก
มะเดี๋ยวก็นำเสนอพร้อมภาพที่สงบร่มรื่น
เย็นสบายสดชื่นได้ดีแล้วนี่
ทำไมต้องมาจัดฉากพวกนี้ทำลายไปด้วย
เพราะแค่สังคมเพื่อน สังคมครอบครัว สังคมยุคสมัย สังคมวัฒนธรรม
ก็จัดการความไม่ยอมรับกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ มากพอแล้วนี่
บางตัวละครก็ขาดแบล็คกราว อย่างแฟนภพ หรืออย่าง
ตัวละคร "หลิว" ขาดที่มาที่ไป
ทำไมครอบครัวปล่อยให้มาอยู่หอ
ครอบครัว "หลิว" ไปไหน
หรือการมาที่หอพักเก่าที่เชียงใหม่
"หลิว" ตามหาพ่อ หรือ ตามหาความลับ
หรือหลิว จะแก้แค้น อะไรหรือเปล่า
อยู่ๆ ก็เดินมา ไม่พูดไม่ฮือไม่อือ มาสืบมาค้น มาเดินเล่น
หรืออย่างไร ?
คืออีกนิดจะกลายเป็นหนังสืบสวนสอบสวนแหล่ะ
เหมือนตัวละคร ลอยออกมา แล้วก็ลอยออกไป
เลยลืมคิด มิติ ของตัวละครอย่าง "หลิว" ไปซะงั้น
หนังลากคนดูไปตามฉากที่เป็นปมของเรื่องที่คนดู
ไม่รู้ ซึ่งฉากเหล่านี้เกือบจะมีน้ำหนักแล้ว
แต่เพราะขาด มิติความชัดลึกของ "หลิว" ที่ไม่มีพื้นฐานทางครอบครัว
ขาดที่มาที่ไปอย่างที่ว่า เลยทำให้คนดูไม่อิน
รถไฟ
รถมอเตอร์ไซด์
ตู้โทรศัพท์
ไอน้ำบนกระจกตู้โทรศัพท์
ความชื้นความเย็น ฝนตก
หุบเขาในมุมต่างๆ
ลดพัดเย็น แสงไฟ
ยามราตรีของเมืองเชียงใหม่
ภาพเบลอๆ จากกระจกรถไฟ มุมสะท้อนผ่านกระจก แนวฝันๆ
ภาพเข้าสู่หุบเขาแห่งความหนาวเย็นปนความสดชื่นเย็นสบายจิตใจ
ม้านั่ง เก้าอี้นั่งกลางหุบเขา
ท้องฟ้าสีคราม
เหล่านี้ล้วนทำได้ดี
แต่ทะเล นี้ซิมันโดด ไปมั้ยอ่ะ ฝันเลยขอบแล้วนะนั่น
เกือบจะเป็นงานฝันๆ แล่ะ มาแป๊ก ต้องห้องนอนที่หลิวติดรูปเต็มไปหมด
อันนี้รู้แหล่ะว่ากำลังมีนัยแฝง แต่เสียดายน่าจะหาวิธีอื่นที่จะขมวดปมหรือขยายปม
ปริศนา หรือน่าจะสร้างที่มาทีไป ก่อนจะเข้าสู่ Part งานส่วนนี้
งานหน้าของานไม่ทำร้ายความรู้สึก คนดูจะได้มั๊ยครับ คุณมะเดี่ยว
พาให้อิน พาให้ฟิน พาให้จิกหมอนจะได้มั๊ย
มะเดี๋ยวลองปรึกษา สาววาย ว่าน้องๆ เขาชอบอะไร
รับรองมะเดี๋ยวติดลมบนเลย
ฉากร้องไห้สะอึกสะอื้น ของดิว
ที่รับโทรศัพท์คุยกับภพ
เด็กที่เล่นเป็น ดิว ทำให้เราอินในส่วนนี้ไม่ได้
ส่วนน้องที่เล่น เป็นภพ โอเคเลย
ฉากในรถยนต์ที่พวกญาติๆ ไปรับกลับมา
แล้วรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับดิว
ซีนนั้นผ่านครับ
อารมณ์จุกอึดอัด รู้ความจริงอันน่าเศร้าสะเทือนใจ
อยากระบายความเสียใจออกมา
แล้วตัวละคร ในบทจะแสดงอารมณ์ออกมาไม่ได้ในสังคมหมู่ญาติของตน
ซึ่งซีนนี้ ถ้ามะเดี่ยวอัด ฟิวความรู้สึกเสียใจของเด็กภพ เพิ่มเข้ามาอีกฉาก
จะในห้อง หรือสถานที่ภพ จะอยู่คนเดียวกับคนดู
เพื่อลากคนดูให้ระเบิดอารมณ์ตามไปอีกซักฉากจะดีมากเลย เสียดายไม่มี
ซีนที่ว่าอาจจะเป็นหุบเขา หรือจุดนัดพบที่ให้ความสุขเมื่อครั้งอดีต
แต่จะกลับกันในปัจจุบัน ที่จะให้ความเหงาเศร้า หดหู่มาแทนที่
อย่างนี้น่าจะเวิกกว่าสำหรับคนดูโดยรวม
คนดูจะได้เสียใจไปพร้อมตัวละครอย่างภพได้หนักหน่วงมากกว่านี้
แล้วก็จะส่งผลดีให้ เวียร์ มีน้ำหนักทางอารมณ์
ไปได้อีกมากกว่านี้
เผลอๆ อาจบ่อน้ำตาแตกกันทั้งโรง...เสียดายไม่มี
ซีนปะทะอารมณ์ตัดขาดพ่อลูก อารมณ์น้องเล่นดีแล้ว
เสียอย่างเดียว ภาษาจีนที่อุตส่าห์ปูมาซะดิบดีตามสภาพครอบครัว
กลายเป็นพูดภาษาไทยชัดซะ ยังกะหนังวัยรุ่นทะเลาะกัน ไดอะล็อกตรงนี้ดูแล้วขัดไปนิด
โดยรวม ตัวละครภพ ทำให้อยากเข้าไปดูหนัง บวกกับภาพท้องถิ่นขี่รถตามเส้นทางภูเขา
ผมเชื่อว่า ถ้าหนังได้ไปฉายเมืองจีน น้องภพดังแน่ แต่น้องต้องไว้ผมทรงเดียวกับในหนังนะ
ตอนไปเมืองจีน.
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้