30 ต.ค.62- นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Chuchart Srisaeng ระบุว่า
.....เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2562 สำนักข่าวอิศราเสนอข่าวว่าได้ตรวจสอบเอกสารประกอบในการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ นางสาวพรรณิการ์ วานิช ที่ได้ยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งมีการยื่นแบบแสดงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.91) ด้วย โดยระบุว่า
.....เมื่อปี 2561 มีรายได้รวม 843,008 บาท เป็นเงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญฯ ทั้งหมด หักค่าใช้จ่าย 100,000 บาท หักรายการค่าลดหย่อน 225,458 บาท คงเหลือรายได้ 517,550 บาท คำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิจำนวน 30,132 บาท หักภาษี ณ ที่จ่าย 36,884 บาท จึงหักภาษีไว้เกิน 6,752 บาท ได้ขอคืนเงินภาษีที่ชำระไว้เกิน 6,752 บาท และได้ทำเครื่องหมายในช่องอุดหนุนหักเงินภาษีให้แก่พรรคอนาคตใหม่ เป็นเงิน 500 บาท
.....ก่อนหน้านี้สำนักข่าวอิศรารายงานว่า ในบัญชีรายชื่อผู้บริจาคเงินให้แก่พรรคอนาคตใหม่ที่สำนักงาน กกต.เผยแพร่มีชื่อนางสาวพรรณิการ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคอนาคตใหม่ บริจาค 1 ล้านบาท (เดือนพฤศจิกายน 2561)
.....การที่ตาม ภ.ง.ด.91 ระบุว่ามีรายได้ในปี 2561 ทั้งปี 843,008 บาท แต่มีการบริจาคเงินให้พรรคอนาคตใหม่ 1,000,000 บาท ซึ่งมีมากว่าจำนวนเงินทีนางสาวพรรณิการ์มีรายได้ ย่อมเห็นได้ชัดแจ้งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
.....ดังนั้นถ้าการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ของนางสาวพรรณิการ์เป็นความจริง การแจ้งรายชื่อผู้บริจาคให้แก่พรรคอนาคตใหม่ที่แจ้งต่อ กกต.ก็เป็นความเท็จ
.....ถ้าการแจ้งรายชื่อผู้บริจาคให้แก่พรรคอนาคตใหม่ที่แจ้งต่อ กกต.เป็นความจริง การยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนางสาวพรรณิการ์ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็เป็นความเท็จและการยื่นเสียภาษีเงินได้(ภ.ง.ด. 91)ก็เป็นความเท็จเช่นเดียวกัน
.....สรุปเรื่องนี้ต้องเป็นความเท็จอยู่ประการหนึ่งแน่นอน พรรคอนาคตใหม่และนางสาวพรรณิการ์คงต้องเลือกเอาว่าจะให้พรรคอนาคตใหม่หรือนางสาวพรรณิการ์ถูกดำเนินคดี
.....นางสาวพรรณิการ์ไม่ต้องโอดครวญว่ามีคนจ้องทำลายหรือกลั่นแกล้งเพราะเป็นเรื่องที่ตนทำขึ้นเอง
https://www.thaipost.net/main/detail/49180
อ่านแล้วปวดตับครับ
เพราะธรรมชาติทางการพิพากษาอรรถคดี คือการหาข้อเท็จจริงก่อน แล้วนำเข้าสู่ข้อกฎหมาย
คนที่เป็นผู้พิพากษาย่อมมีบุคลิก มีวัตรทางความคิดความเห็นเป็นแนวทางเช่นนั้น คือ ข้อเท็จจริงเป็นสิ่งสำคัญ
แต่เมื่ออ่านความเห็นของอดีตผู้พิพากษาคนนี้แล้ว น่าตกใจครับ
เพราะ "ข้าม" ข้อเท็จจริงไปหมด แล้วมุ่งชี้ว่าผิดกฎหมายเอาดื้อ ๆ
ขาดความเป็นธรรม ไร้ความเป็นกลาง ผิดวิสัยความเป็นผู้พิพากษา
.
ความเห็นที่ว่า
.....การที่ตาม ภ.ง.ด.91 ระบุว่ามีรายได้ในปี 2561 ทั้งปี 843,008 บาท แต่มีการบริจาคเงินให้พรรคอนาคตใหม่ 1,000,000 บาท ซึ่งมีมากว่าจำนวนเงินทีนางสาวพรรณิการ์มีรายได้ ย่อมเห็นได้ชัดแจ้งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
เฮ้ย !!! ทำไมอดีตผู้พิพากษาถึงได้มีตรรกะพิการตับแตกได้ขนาดนี้ ?
สรุปเอาง่าย ๆ ว่า มีรายได้แปดแสนกว่า บริจาค 1 ล้าน เป็นไปไม่ได้
ขาดตรรกะ ไม่สมเหตุสมผล ไม่มีเหตุผล เป็นการสรุปแบบมุ่งร้ายใส่ความ
งั้นคนไทยหลายสิบล้านคนคงเป็นอาชญากรกันหมด เพราะมีเงินฝากมากกว่ารายได้
บางคนมีเงินฝากหลักแสน แต่มีรายได้ปีละสี่หมื่นเท่านั้น เป็นไปไม่ได้เลย ตามวิธีคิดเพี้ยน ๆ ของอดีตผู้พิพากษาคนนี้
ช่อ ทำงานตั้งแต่ปี 54 รายได้ต่อเดือนหลายหมื่นหรืออาจหลักแสน
ย่อมมีเงินเก็บไม่มากก็น้อย เธออาจมีเงินเก็บมาตั้งแต่เป็นนักเรียนนักศึกษาก็ได้
การใช้ตรรกะตับแตกแค่ว่า ปี 61 มีรายได้แปดแสน แล้วบริจาค 1 ล้าน เป็นไปไม่ได้ จึงเป็นตรรกะเพี้ยนสุดกู่สุด ๆ
สลิ่มดันเห็นด้วย เชื่อทันทีซะด้วยสิ
.
สังคมไทยส่วนหนึ่ง เหมือนเป็นสังคมพิการทางความคิด เป็นสังคมที่ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง
ขอเพียงถูกใจ สะใจ
การเสพสื่อ ก็ไม่ได้เสพจากสื่อกระแสหลักแล้วพินิจพิจารณา
แต่เสพจากสื่อออนไลน์ที่ใช้ความเห็นของผู้เขียนเป็นหลัก อันไหนถูกใจก็ตาม อันไหนสะใจก็เชียร์
เหตุผล ข้อเท็จจริง ไม่สนใจ
อย่างเรื่องช่อ ตรรกะพิการเต็มไปหมด
- รายได้ปี 61 แปดแสน แล้วมีเงินล้านบริจาคได้ไง
- ไม่เห็นแจ้งใน ภงด.91 ว่ามีการบริจาค
- ทำไมขอคืนภาษีหกพันกว่า ทั้งที่กล้าบริจาคเป็นล้าน
- วางแผนการทางการเงินได้แย่มาก บริจาคล้านแต่มีเงินเก็บแค่เก้าหมื่น มีหนี้เจ็ดแสน
- มีหนี้เจ็ดแสน ทำไมไม่ใช้หนี้ เอาเงินไปบริจาคทำไม
ฯลฯ
เป็นการตั้งข้อสังเกตแบบหาแง่ผิดให้ได้อย่างเดียว ทิ้งความสมเหตุสมผลอย่างสิ้นเชิง
.
อดีตผู้พิพากษา ชี้ข้อกฎหมายแบบสุดมั่วว่า ช่อไม่ผิดเรื่องแจ้งทรัพย์สินเท็จ ก็ผิดเรื่องยื่นภาษีเท็จ
เหมือนคนไม่รู้กฎหมาย เหมือนคนไม่เคยรู้เรืองภาษี
พอทีเถอะครับ กับความเห็นเชิงชี้นำเพื่อให้ร้ายใครต่อใคร เพียงเพราะอคติทางการเมือง อันลามมาสู่ทางส่วนบุคคล
ไม่ชอบใคร เกลียดใคร ก็สร้างเรื่องสร้างตรรกะเห่ย ๆ มาอ้าง มารองรับคำกล่าวหาแบบไร้ความรับผิดชอบ
อายคนรุ่นลูกรุ่นหลานบ้างเถอะ
ไม่อยากเชื่อจริง ๆ ครับ ว่านี่เป็นการแสดงความเห็นของคนเคยเป็นผู้พิพากษา
.....เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2562 สำนักข่าวอิศราเสนอข่าวว่าได้ตรวจสอบเอกสารประกอบในการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ นางสาวพรรณิการ์ วานิช ที่ได้ยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งมีการยื่นแบบแสดงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.91) ด้วย โดยระบุว่า
.....เมื่อปี 2561 มีรายได้รวม 843,008 บาท เป็นเงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญฯ ทั้งหมด หักค่าใช้จ่าย 100,000 บาท หักรายการค่าลดหย่อน 225,458 บาท คงเหลือรายได้ 517,550 บาท คำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิจำนวน 30,132 บาท หักภาษี ณ ที่จ่าย 36,884 บาท จึงหักภาษีไว้เกิน 6,752 บาท ได้ขอคืนเงินภาษีที่ชำระไว้เกิน 6,752 บาท และได้ทำเครื่องหมายในช่องอุดหนุนหักเงินภาษีให้แก่พรรคอนาคตใหม่ เป็นเงิน 500 บาท
.....ก่อนหน้านี้สำนักข่าวอิศรารายงานว่า ในบัญชีรายชื่อผู้บริจาคเงินให้แก่พรรคอนาคตใหม่ที่สำนักงาน กกต.เผยแพร่มีชื่อนางสาวพรรณิการ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคอนาคตใหม่ บริจาค 1 ล้านบาท (เดือนพฤศจิกายน 2561)
.....การที่ตาม ภ.ง.ด.91 ระบุว่ามีรายได้ในปี 2561 ทั้งปี 843,008 บาท แต่มีการบริจาคเงินให้พรรคอนาคตใหม่ 1,000,000 บาท ซึ่งมีมากว่าจำนวนเงินทีนางสาวพรรณิการ์มีรายได้ ย่อมเห็นได้ชัดแจ้งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
.....ดังนั้นถ้าการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ของนางสาวพรรณิการ์เป็นความจริง การแจ้งรายชื่อผู้บริจาคให้แก่พรรคอนาคตใหม่ที่แจ้งต่อ กกต.ก็เป็นความเท็จ
.....ถ้าการแจ้งรายชื่อผู้บริจาคให้แก่พรรคอนาคตใหม่ที่แจ้งต่อ กกต.เป็นความจริง การยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนางสาวพรรณิการ์ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็เป็นความเท็จและการยื่นเสียภาษีเงินได้(ภ.ง.ด. 91)ก็เป็นความเท็จเช่นเดียวกัน
.....สรุปเรื่องนี้ต้องเป็นความเท็จอยู่ประการหนึ่งแน่นอน พรรคอนาคตใหม่และนางสาวพรรณิการ์คงต้องเลือกเอาว่าจะให้พรรคอนาคตใหม่หรือนางสาวพรรณิการ์ถูกดำเนินคดี
.....นางสาวพรรณิการ์ไม่ต้องโอดครวญว่ามีคนจ้องทำลายหรือกลั่นแกล้งเพราะเป็นเรื่องที่ตนทำขึ้นเอง
https://www.thaipost.net/main/detail/49180
อ่านแล้วปวดตับครับ
เพราะธรรมชาติทางการพิพากษาอรรถคดี คือการหาข้อเท็จจริงก่อน แล้วนำเข้าสู่ข้อกฎหมาย
คนที่เป็นผู้พิพากษาย่อมมีบุคลิก มีวัตรทางความคิดความเห็นเป็นแนวทางเช่นนั้น คือ ข้อเท็จจริงเป็นสิ่งสำคัญ
แต่เมื่ออ่านความเห็นของอดีตผู้พิพากษาคนนี้แล้ว น่าตกใจครับ
เพราะ "ข้าม" ข้อเท็จจริงไปหมด แล้วมุ่งชี้ว่าผิดกฎหมายเอาดื้อ ๆ
ขาดความเป็นธรรม ไร้ความเป็นกลาง ผิดวิสัยความเป็นผู้พิพากษา