เรื่องนี้เป็นเรื่องของรุ่นพี่ที่ทำงานคนหนึ่งที่ประสบเหตุกับการโดนหลอกซื้อรถมือสอง
เรื่องมีอยู่ว่ามีหัวหน้าแผนกเสนอขายให้บรรดาลูกน้องซึ่งผมเป็นคนหนึ่งที่โดนหัวหน้าเสนอขาย รถยี่ห้อชื่อ "ฮ" รุ่น "ซี" (ไม่ใช่รถหัวหน้าแต่เป็นรถเมียน้อยของหัวหน้า) โดยโฆษณาว่าเป็นรถปี 2007 รุ่นท็อป วิ่งแค่ 60,000 กิโล ใช้คนเดียว วิ่งแค่สมุทรปราการไม่ได้ออกต่างจังหวัดบ่อย ไม่ได้ลุยนํ้าท่วมอะไร วิ่งไปกลับที่ทำงาน ที่บ้าน และแค่ไปห้างในกรุงเทพ กับบรรดาลูกน้องซึ่งผมคนหนึ่งก็โดนหัวหน้าเสนอขายเหมือนกันกับคนอื่นแต่ด้วยที่ผมกำลังผ่อนบ้าน และมีรถเก่าๆขับอยู่ซึ่งก็ยังใช้ได้อยู่และบวกกับไม่อยากเป็นหนี้เพิ่มเลยบอกกับหัวหน้าว่า "ไม่เอาพอดีผ่อนบ้าน ผ่อนบัตรอยู่กลัวไม่ไหว" จริงๆก็สนใจล่ะแต่ก็คิดดีๆจากประวัติรถมันดูแปลกๆ ตั้งแต่ปี 2007 แต่วิ่งแค่ 60,000 กิโล ยิ่งได้ยินว่าวิ่งแค่ในสมุทรปราการไม่เคยออกต่างจังหวัด ฟังแล้วยิ่งแปลกใจเป็นไปได้เหรอว่าจะไม่มีใครเอารถไปต่างจังหวัดเลย? และแปลกสุดคือ ใช้แค่คนเดียวจะเป็นไปได้ยังไงที่จะไม่มีใครนั่งด้วยเลยล่ะ? แต่ก็ดีแล้วที่ไม่หาเรื่องใส่ตัวให้เป็นหนี้เพิ่ม
จนกระทั่ง... มีรุ่นพี่จากแผนกคนหนึ่งตกลงซื้อ..... แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร
ผ่านไปหนึ่งปีผ่านไป รุ่นพี่ที่ซื้อไปเริ่มบ่นเรื่องรถว่า ตั้งแต่ได้ไปรถเริ่มมีปัญหาตั้งแต่
- แอร์เย็นบ้าง ไม่เย็นบ้าง พอไปให้ช่างตรวจสอบก็พบว่าท่อแอร์รั่ว กับมีซากหนูตายคาท่อแอร์
- รถสตาร์ทไม่ติดบ้างไม่ติดบ้าง จนกระทั่งไม่ติดเลยพอให้ช่างดูก็พบว่า ไดสตาร์เสีย
- ยางมีเสียงดัง จนพบว่ายางปีเก่าที่ติดมากับรถเลย
- รถมีอาการสั่นทั้งคัน ก็พบว่ากรองโซล่าตัน
- อาการช่วงล่าง ที่กำลังคอยการแก้ไข
รวมค่าเสียหายอยู่ที่ประมาณ 120,000 บาทและอาจมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทั้งที่ตัวรถพี่เขาบอกว่าซื้อมา 280,000 บาทนั้นเกือบเท่ากับราคาตอนซื้อเลยนะ!!!!!
พอผมไปดูรถพี่เขาจริงๆก็พบว่า...
1. รอบรถมีรอยขีดยาวเกือบรอบคัน คาดว่าเจ้าของเดิมน่าจะจอดทับที่ใครหรือเปล่าคือดูแล้วเกิดจากความตั้งใจของคนไม่ได้เกิดจากอุบติเหตุแน่นอน
2. สีตัวถังมีรอยด่าง สีไม่เสมอกัน
3. ที่จับประตูมีรอยเล็บทั้งสี่บาน รู้เลยว่าเจ้าของเดิมพาแก๊งเพื่อนสาวมานั่งบ่อย คือถ้าเป็นผู้ชายไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องรอยเล็บขนาดนี้
4. เมื่อเปิดเข้ามาพบว่าเบาะมีรอยแตกทั้ง 4 เบาะ รู้เลยว่าไม่ได้ใช้คนเดียวแน่นอนสอดคล้องกับข้อสาม
5. ปุ่มครบคุมเช่น แอร์ วิทยุ ต่างๆจางหายไปเฉพาะปุ่มที่ต้องใช้ประจำคาดว่าเกิดจากเจ้าของเดิมมีนิสัยชอบทาเล็บ
6. เปิดดูห้องเครื่องและท้ายรถ พบว่ามีการชนมาก่อนตรงบริเวณท้ายรถและหน้ารถ
สรุปได้ว่า ตามที่ผมคาดไว้ไม่มีผิดจากสภาพรถสรุปได้ว่า รถไม่ได้ใช้คนเดียวมีเพื่อนติดรถไปด้วยเป็นประจำ อาจจะมีญาติพี่น้องมาด้วย ซึ่งก็จะสรุปได้ว่ารถไม่ได้วิ่งแค่ในสมุทรปราการ อาจมีวิ่งต่างจังหวัดเป็นไปไม่ได้เลยที่รถจะวิ่งแค่หกหมื่นโล จากสภาพรถและไมล์สรุปเลยว่ารถคันนี้โดนกรอไมล์แน่นอน แถมไม่เคยบำรุงอะไรเลยคือใช้อย่างเดียว
ผมเลยถามพี่เขาว่าตอนซื้อไปดูรถมาแล้วใช้ไหม? คำตอบที่ได้คือ "ไม่เคยไปดูเลย เห็นแค่ภาพในไลน์แล้วก็ตอบตกลงไป"
สรุปพี่เขา ตกลงทั้งที่ไม่ได้ดูของจริง และไม่ได้ลองเลย และเขาก็บอกอีกว่าพอจะบอกว่าไปดูหัวหน้าก็อ้างว่าเจ้าของมีธุระตลอดบวกกับตอนนั้นเจ้าตัวกับหัวหน้าอยู่ที่ธนาคารแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นพี่เขาเนี่ยเซ็นสัญญาซื้อขายไปแล้วด้วย!!!! ทั้งที่เห็นรถแค่รูป ไม่เคยลองขับ และพี่เขาบอกว่าให้เจ้าหน้าที่ธนาคารดูรถให้เขาตอบมาว่า "รถโอเค" ผมก็บอกกับพี่เขาว่า "ที่เขาดูรถให้แล้วบอกว่าโอเคเนี่ย เขาดูแค่เลขตัวถังว่าตรงกับเล่มไหม ไม่ได้ดูละเอียดอะไรขนาดนั้น" พอวันรับรถวันต่อมา หัวหน้าถอนประกันรถออกเลยอ้างว่าโอนให้กันไม่ได้ (แค่นี้ก็รู้เลยว่ารถมีปัญหาแน่นอนและที่ถอนคงไม่อยากให้เจ้าของใหม่ตรวจสอบประวัติการใช้ประกัน) บวกกับพี่เขาเอารถเข้าศูนย์ ทางนั้นแจ้งว่า "รถคันนี้ไม่เคยมีประวัติอะไร" สรุปได้ 2 อย่าง 1) รถไม่เคยเข้าศูนย์เลย ซ่อมอู่นอกอย่างเดียว 2.)ศูนย์รู้ว่ารถคันนี้กรอโมล์มาเพราะประวัติครั้งสุดท้ายกับครั้งล่าสุด ทิ้งช่วงห่างนาน สภาพรถไม่สอดคล้องกับเลขไมล์แต่ไม่อยากมีปัญหาเลยบอกว่าไม่มีประวัติ ยิ่งไปกว่าราคารถที่พี่เขาซื้อ เจ้าของเดิมตั้งตามราคาเต็นท์รถมือสองเลย คือ ราคาที่เต็นท์ให้มาอยู่ที่ประมาณ 160,000 - 190,000 บาท และราคาเต็นท์ที่ขายอยู่ที่ 250,000 - 290,000 บาท ซึ่งรถคันนี้จากสภาพแล้วน่าจะอยู่ที่ 150,000 - 160,000 แต่ด้วยความหัวใสของเจ้าของเดิมไง บวกกับขี้งกและบังเอิญเจอคนหน้ามืดอยากได้รถพอดีเลยขายได้เร็ว สรุปก็คือเจ้าของเดิมได้กำไร 90,000 - 100,000 บาทโดยไม่ต้องปรับปรุงรถอะไรขายมันสภาพเดิมๆแบบนั้นเลยสุดยอดจริงๆ ยิ่งกว่านั้นพี่เขาจะขายคันนี้ด้วยพอฟังราคาเต็นท์แล้วถึงกับเข่ารุดเลยอยู่ที่ 160,000 ถ้าข้ามปีนี้ไปน่าจะราคาตกกว่านี้อีกทั้งที่ราคาซ่อมอยู่ที่ 120,000 โดยประมาณ หนักกว่านั้นรุ่นที่พี่เขาใช้ไม่มี ABS เป็นรุ่นล่างสุด แต่ถึงยังไงพี่เขาก็จะขายอยู่ดี
วิธีสังเกตจากความคิดเห็นส่วนตัว
1. อย่าเชื่อคำโฆษณาว่าจะจริงทั้งหมด
2. คิดเสมอว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีรถไม่เคยวิ่งไปต่างจังหวัด
3. คิดเสมอว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนใช้แค่คนเดียว แต่ต้องดูบุคลิกเจ้าของด้วยบางคนเป็นคนเงียบๆ ดูลึกลับ ดูแล้วน่าจะใช้คนเดียวจริงๆ
4. อย่าเชื่อเลขไมล์ให้ดูสภาพรถตั้งแต่บริเวณประตู เบาะนั่ง ปุ่มกด อื่นๆมันดูเก่าจนเกินไปไหมยกเว้นว่าเจ้าของเดิมจะลงทุนซื้อปุ่มใหม่ มีความสอดคล้องกับเลขไมล์ไหม วิธีดูรถเนี่ยหาจากในคลิป youTube สิมีเยอะแยะ
5. ก่อนซื้อควรศึกษารุ่นรถที่จะซื้อมีอะไรบ้าง ตรงที่ต้องการไหม ราคาตลาดเป็นอย่างไร คุณภาพกับราคาสอดคล้องไหม
6. ควรไปดูรถจริง ลองขับจริง อย่าเห็นแค่รูปแล้วตกลงเลย แค่สละเวลาวันเดียวดีกว่าสู้กับปัญหาเรื่องรถเป็นสิบปี
7. การซื้อขายไม่มีคำว่า "เกรงใจ" เพราะสิ่งนี้จะทำให้เราเดือดร้อนได้เพราะคนที่จะอยู่กับปัญหาคือตัวเราเองไม่ใช่คนขาย
8. เจ้าหน้าที่ธนาคารไม่ได้มีความรู้เรื่องรถไปชะทุกคน เขามีหน้าที่แค่รถคันนี้ผิดกฎหมายไหม เลขตัวถัง กับเล่มตรงกันหรือไม่ เพราะเจ้าหน้าที่เขาดูแค่นั้นจริงๆ ซึ่งต้องเข้าใจว่าเขาเองก็อยากทำยอดเขาไม่สนหรอกว่ารถลูกค้าที่จะซื้อมีปัญหาไหม ถ้าดูไม่เป็นก็จ้างช่างไปดูสละเงินแค่ 5,000 บาท ดีกว่าเสียค่าซ่อมเป็นแสน ซื้อรถทั้งทีอย่า "งก" เงินในกระเป๋า ไม่งั้นจากเสียน้อยกลายเป็นเสียมาก
บทเรียนราคาแพงสำหรับคนคิดจะซื้อรถมือสอง
เรื่องมีอยู่ว่ามีหัวหน้าแผนกเสนอขายให้บรรดาลูกน้องซึ่งผมเป็นคนหนึ่งที่โดนหัวหน้าเสนอขาย รถยี่ห้อชื่อ "ฮ" รุ่น "ซี" (ไม่ใช่รถหัวหน้าแต่เป็นรถเมียน้อยของหัวหน้า) โดยโฆษณาว่าเป็นรถปี 2007 รุ่นท็อป วิ่งแค่ 60,000 กิโล ใช้คนเดียว วิ่งแค่สมุทรปราการไม่ได้ออกต่างจังหวัดบ่อย ไม่ได้ลุยนํ้าท่วมอะไร วิ่งไปกลับที่ทำงาน ที่บ้าน และแค่ไปห้างในกรุงเทพ กับบรรดาลูกน้องซึ่งผมคนหนึ่งก็โดนหัวหน้าเสนอขายเหมือนกันกับคนอื่นแต่ด้วยที่ผมกำลังผ่อนบ้าน และมีรถเก่าๆขับอยู่ซึ่งก็ยังใช้ได้อยู่และบวกกับไม่อยากเป็นหนี้เพิ่มเลยบอกกับหัวหน้าว่า "ไม่เอาพอดีผ่อนบ้าน ผ่อนบัตรอยู่กลัวไม่ไหว" จริงๆก็สนใจล่ะแต่ก็คิดดีๆจากประวัติรถมันดูแปลกๆ ตั้งแต่ปี 2007 แต่วิ่งแค่ 60,000 กิโล ยิ่งได้ยินว่าวิ่งแค่ในสมุทรปราการไม่เคยออกต่างจังหวัด ฟังแล้วยิ่งแปลกใจเป็นไปได้เหรอว่าจะไม่มีใครเอารถไปต่างจังหวัดเลย? และแปลกสุดคือ ใช้แค่คนเดียวจะเป็นไปได้ยังไงที่จะไม่มีใครนั่งด้วยเลยล่ะ? แต่ก็ดีแล้วที่ไม่หาเรื่องใส่ตัวให้เป็นหนี้เพิ่ม
จนกระทั่ง... มีรุ่นพี่จากแผนกคนหนึ่งตกลงซื้อ..... แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร
ผ่านไปหนึ่งปีผ่านไป รุ่นพี่ที่ซื้อไปเริ่มบ่นเรื่องรถว่า ตั้งแต่ได้ไปรถเริ่มมีปัญหาตั้งแต่
- แอร์เย็นบ้าง ไม่เย็นบ้าง พอไปให้ช่างตรวจสอบก็พบว่าท่อแอร์รั่ว กับมีซากหนูตายคาท่อแอร์
- รถสตาร์ทไม่ติดบ้างไม่ติดบ้าง จนกระทั่งไม่ติดเลยพอให้ช่างดูก็พบว่า ไดสตาร์เสีย
- ยางมีเสียงดัง จนพบว่ายางปีเก่าที่ติดมากับรถเลย
- รถมีอาการสั่นทั้งคัน ก็พบว่ากรองโซล่าตัน
- อาการช่วงล่าง ที่กำลังคอยการแก้ไข
รวมค่าเสียหายอยู่ที่ประมาณ 120,000 บาทและอาจมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทั้งที่ตัวรถพี่เขาบอกว่าซื้อมา 280,000 บาทนั้นเกือบเท่ากับราคาตอนซื้อเลยนะ!!!!!
พอผมไปดูรถพี่เขาจริงๆก็พบว่า...
1. รอบรถมีรอยขีดยาวเกือบรอบคัน คาดว่าเจ้าของเดิมน่าจะจอดทับที่ใครหรือเปล่าคือดูแล้วเกิดจากความตั้งใจของคนไม่ได้เกิดจากอุบติเหตุแน่นอน
2. สีตัวถังมีรอยด่าง สีไม่เสมอกัน
3. ที่จับประตูมีรอยเล็บทั้งสี่บาน รู้เลยว่าเจ้าของเดิมพาแก๊งเพื่อนสาวมานั่งบ่อย คือถ้าเป็นผู้ชายไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องรอยเล็บขนาดนี้
4. เมื่อเปิดเข้ามาพบว่าเบาะมีรอยแตกทั้ง 4 เบาะ รู้เลยว่าไม่ได้ใช้คนเดียวแน่นอนสอดคล้องกับข้อสาม
5. ปุ่มครบคุมเช่น แอร์ วิทยุ ต่างๆจางหายไปเฉพาะปุ่มที่ต้องใช้ประจำคาดว่าเกิดจากเจ้าของเดิมมีนิสัยชอบทาเล็บ
6. เปิดดูห้องเครื่องและท้ายรถ พบว่ามีการชนมาก่อนตรงบริเวณท้ายรถและหน้ารถ
สรุปได้ว่า ตามที่ผมคาดไว้ไม่มีผิดจากสภาพรถสรุปได้ว่า รถไม่ได้ใช้คนเดียวมีเพื่อนติดรถไปด้วยเป็นประจำ อาจจะมีญาติพี่น้องมาด้วย ซึ่งก็จะสรุปได้ว่ารถไม่ได้วิ่งแค่ในสมุทรปราการ อาจมีวิ่งต่างจังหวัดเป็นไปไม่ได้เลยที่รถจะวิ่งแค่หกหมื่นโล จากสภาพรถและไมล์สรุปเลยว่ารถคันนี้โดนกรอไมล์แน่นอน แถมไม่เคยบำรุงอะไรเลยคือใช้อย่างเดียว
ผมเลยถามพี่เขาว่าตอนซื้อไปดูรถมาแล้วใช้ไหม? คำตอบที่ได้คือ "ไม่เคยไปดูเลย เห็นแค่ภาพในไลน์แล้วก็ตอบตกลงไป"
สรุปพี่เขา ตกลงทั้งที่ไม่ได้ดูของจริง และไม่ได้ลองเลย และเขาก็บอกอีกว่าพอจะบอกว่าไปดูหัวหน้าก็อ้างว่าเจ้าของมีธุระตลอดบวกกับตอนนั้นเจ้าตัวกับหัวหน้าอยู่ที่ธนาคารแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นพี่เขาเนี่ยเซ็นสัญญาซื้อขายไปแล้วด้วย!!!! ทั้งที่เห็นรถแค่รูป ไม่เคยลองขับ และพี่เขาบอกว่าให้เจ้าหน้าที่ธนาคารดูรถให้เขาตอบมาว่า "รถโอเค" ผมก็บอกกับพี่เขาว่า "ที่เขาดูรถให้แล้วบอกว่าโอเคเนี่ย เขาดูแค่เลขตัวถังว่าตรงกับเล่มไหม ไม่ได้ดูละเอียดอะไรขนาดนั้น" พอวันรับรถวันต่อมา หัวหน้าถอนประกันรถออกเลยอ้างว่าโอนให้กันไม่ได้ (แค่นี้ก็รู้เลยว่ารถมีปัญหาแน่นอนและที่ถอนคงไม่อยากให้เจ้าของใหม่ตรวจสอบประวัติการใช้ประกัน) บวกกับพี่เขาเอารถเข้าศูนย์ ทางนั้นแจ้งว่า "รถคันนี้ไม่เคยมีประวัติอะไร" สรุปได้ 2 อย่าง 1) รถไม่เคยเข้าศูนย์เลย ซ่อมอู่นอกอย่างเดียว 2.)ศูนย์รู้ว่ารถคันนี้กรอโมล์มาเพราะประวัติครั้งสุดท้ายกับครั้งล่าสุด ทิ้งช่วงห่างนาน สภาพรถไม่สอดคล้องกับเลขไมล์แต่ไม่อยากมีปัญหาเลยบอกว่าไม่มีประวัติ ยิ่งไปกว่าราคารถที่พี่เขาซื้อ เจ้าของเดิมตั้งตามราคาเต็นท์รถมือสองเลย คือ ราคาที่เต็นท์ให้มาอยู่ที่ประมาณ 160,000 - 190,000 บาท และราคาเต็นท์ที่ขายอยู่ที่ 250,000 - 290,000 บาท ซึ่งรถคันนี้จากสภาพแล้วน่าจะอยู่ที่ 150,000 - 160,000 แต่ด้วยความหัวใสของเจ้าของเดิมไง บวกกับขี้งกและบังเอิญเจอคนหน้ามืดอยากได้รถพอดีเลยขายได้เร็ว สรุปก็คือเจ้าของเดิมได้กำไร 90,000 - 100,000 บาทโดยไม่ต้องปรับปรุงรถอะไรขายมันสภาพเดิมๆแบบนั้นเลยสุดยอดจริงๆ ยิ่งกว่านั้นพี่เขาจะขายคันนี้ด้วยพอฟังราคาเต็นท์แล้วถึงกับเข่ารุดเลยอยู่ที่ 160,000 ถ้าข้ามปีนี้ไปน่าจะราคาตกกว่านี้อีกทั้งที่ราคาซ่อมอยู่ที่ 120,000 โดยประมาณ หนักกว่านั้นรุ่นที่พี่เขาใช้ไม่มี ABS เป็นรุ่นล่างสุด แต่ถึงยังไงพี่เขาก็จะขายอยู่ดี
วิธีสังเกตจากความคิดเห็นส่วนตัว
1. อย่าเชื่อคำโฆษณาว่าจะจริงทั้งหมด
2. คิดเสมอว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีรถไม่เคยวิ่งไปต่างจังหวัด
3. คิดเสมอว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนใช้แค่คนเดียว แต่ต้องดูบุคลิกเจ้าของด้วยบางคนเป็นคนเงียบๆ ดูลึกลับ ดูแล้วน่าจะใช้คนเดียวจริงๆ
4. อย่าเชื่อเลขไมล์ให้ดูสภาพรถตั้งแต่บริเวณประตู เบาะนั่ง ปุ่มกด อื่นๆมันดูเก่าจนเกินไปไหมยกเว้นว่าเจ้าของเดิมจะลงทุนซื้อปุ่มใหม่ มีความสอดคล้องกับเลขไมล์ไหม วิธีดูรถเนี่ยหาจากในคลิป youTube สิมีเยอะแยะ
5. ก่อนซื้อควรศึกษารุ่นรถที่จะซื้อมีอะไรบ้าง ตรงที่ต้องการไหม ราคาตลาดเป็นอย่างไร คุณภาพกับราคาสอดคล้องไหม
6. ควรไปดูรถจริง ลองขับจริง อย่าเห็นแค่รูปแล้วตกลงเลย แค่สละเวลาวันเดียวดีกว่าสู้กับปัญหาเรื่องรถเป็นสิบปี
7. การซื้อขายไม่มีคำว่า "เกรงใจ" เพราะสิ่งนี้จะทำให้เราเดือดร้อนได้เพราะคนที่จะอยู่กับปัญหาคือตัวเราเองไม่ใช่คนขาย
8. เจ้าหน้าที่ธนาคารไม่ได้มีความรู้เรื่องรถไปชะทุกคน เขามีหน้าที่แค่รถคันนี้ผิดกฎหมายไหม เลขตัวถัง กับเล่มตรงกันหรือไม่ เพราะเจ้าหน้าที่เขาดูแค่นั้นจริงๆ ซึ่งต้องเข้าใจว่าเขาเองก็อยากทำยอดเขาไม่สนหรอกว่ารถลูกค้าที่จะซื้อมีปัญหาไหม ถ้าดูไม่เป็นก็จ้างช่างไปดูสละเงินแค่ 5,000 บาท ดีกว่าเสียค่าซ่อมเป็นแสน ซื้อรถทั้งทีอย่า "งก" เงินในกระเป๋า ไม่งั้นจากเสียน้อยกลายเป็นเสียมาก