"ครั้งหนึ่งในชีวิต..คือผู้พิชิตภูกระดึง"
คำนี้คงทำให้หลายคนอยากไปสัมผัสสักครั้ง บางคนไปมากกว่า 1 ครั้ง แต่เชื่อว่าอีกหลายคนคงยังลังเลว่าจะไหวมั้ย
กระทู้นี้ เหมาะกับคนที่กำลังหาข้อมูลและการเตรียมตัวจะขึ้นภูกระดึงครั้งแรกนะคะ ส่วนใครที่เคยไปมาแล้วอาจข้ามไปเลย หรือเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันก็ได้ โดยทริปนี้ไปมา 3 วัน 2 คืน ระหว่างวันหยุดยาว 12 - 14 ตุลา 62
ใครที่ชอบท่องเที่ยว สามารถตามติดทริปอื่นๆได้ที่ ::
https://www.facebook.com/krandurntrang นะคะ
ภูกระดึงเปิดให้นักท่องเที่ยวได้พิชิตตั้งแต่ 1 ต.ค. - 31 พ.ค. ของทุกปี โดยแต่ละฤดูก็มีเสน่ห์แตกต่างกันไป
- อยากล่าทะเลหมอก มอสสีเขียวๆและน้ำตก ให้ไป ตุลา-พฤศจิกา
- อยากล่าใบเมเปิ้ลสีแดง พร้อมอากาศหนาว ให้ไป ธันวา-มกรา
- อยากล่าทางช้างเผือก กับดาวเป็นล้านดวง ให้ไป กุมภา-เมษา
- ส่วน พฤษภา ก็จะร้างๆหน่อย ร้านค้าเหลือน้อย เหมาะกับคนรักความสงบ
เอาละ!! มาถึงการเดินทาง ซึ่งถือว่าสะดวกมากทั้งรถยนต์ รถไฟ รถทัวร์ เครื่องบิน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ความเห็นส่วนตัว:: มารถทัวร์รอบค่ำจากกรุงเทพฯ ถึงตอนเช้าสบายสุด นอนมาในรถ อย่าขับมาเองเลย เพราะเช้าต้องเดินขึ้นเขาต่อสงสารคนขับ
สำหรับเราเลือกเดินทางโดยรถทัวร์ ต้นทางหมอชิต2 -ปลายทางวังสะพุง นี่คือการขึ้นรถทัวร์ไปภูกระดึงครั้งแรก จากการหาข้อมูลคร่าวๆ แบบคนไม่เคยใช้บริการ เลยตัดสินใจใช้ บขส.999 แล้วเลือก vip ม.4ก มา เป็นรอบ 21.30 น. รถ 2 ชั้นแบบในภาพ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้รถกว้างสบายดี นั่งเบาะคู่ปรากฎว่า ฝั่งติดหน้าต่างแอร์เย็นมาก ขณะที่ฝั่งติดทางเดินไม่โดนแอร์เลย ทั้งที่พยายามปรับแล้ว แถมไม่มีรูเสียบชาร์ตแบต แต่เห็นแอร์เมืองเลยมีให้ชาร์ตจากที่นั่งได้
หลังจากมาถึงหมอชิต ทำให้เราได้เห็นรถประเภทต่างๆ ความรู้สึกคือ เลือก ม.1ก น่าจะสบายสุด ดูกว้างขวาง ต่างจาก ม.4ก ที่เรานั่งแค่เป็นรถชั้นเดียวเพราะฉะนั้นรถน่าจะส่ายน้อยกว่า
ความคิดเห็นส่วนตัว ::: ใครเน้นสบายอยากให้เลือก ม.1ก ดีที่สุด และเลือกจองผ่านไทยรูท ง่ายดี เพราะสามารถปริ้น e-ticket เดินขึ้นรถทัวร์ได้เลย และคืนตั๋วเปลี่ยนวันผ่านออนไลน์ได้เลย ไม่ยุ่งยาก แต่หัก 10% เพราะมีเพื่อนร่วมทริปเราก็ไปไม่ได้ 1 คน 😭😭
ประมาณ 6.30 รถก็มาจอดฝั่งตรงข้ามร้านเจ้กิมเลยค่ะ วันนี้รถติดเลยมาถึงช้า ปกติราวๆ 05.30 น.จะถึง ตอนซื้อตั๋ว ถ้าไม่มีให้ลงผานกเค้า ให้เลือกเป็นวังสะพุงได้เลยค่ะ แล้ว พนง.บนรถจะถามเราอีกครั้งว่าลงไหน เราค่อยบอกว่าลงผานกเค้า และนี่คือผานกเค้า ร้านเจ๊กิม สถานที่กินข้าวเช้า ล้างหน้า แปรงฟัน ของเรานั่นเอง
ที่ร้านเจ้กิม เหมือนเป็นจุดรวมพลคนขึ้นภูเลยค่ะ ทุกคนจะมาถึงที่นี่ตอนเช้าพร้อมๆกัน ด้านหลังร้านมีห้องน้ำให้ได้อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน พักผ่อนตามอัธยาศรัย เราเลือกล้างหน้า แปรงฟัน กินข้าว และซักแห้ง ก่อนจะเดินไปขึ้นสองแถวแดงที่อยู่หน้าร้านเจ้กิม ไม่ต้องกลัวไม่มีคนหารค่ารถนะคะ อารมณ์สองแถวบ้านเรานี่ละ ขึ้นรถไปก็จะมีเพื่อนร่วมทางขึ้นตามๆกันมา พอครบ 10 คนรถก็ออก หรือพอเห็นได้สัก 7-8 คนรถก็จะบอกว่าตกคนละ เท่าไหร่ ถ้าทุกคนโอเคที่ 35-40 บาท รถก็ออก (ราคาเหมา 300/10คน) ใช้เวลา 15-20 นาที ก็ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวภูกระดึง
ก่อนจะถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เราต้องเสียค่าเข้าอุทยานกันก่อนนะคะ ผู้ใหญ่คนละ 40 บาท เด็ก 20 บาท เมื่อมาถึงที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อย่ามัวแต่ถ่ายรูปด้านหน้าจนเพลิน เพราะเราต้องเข้าไปด้านในต่อแถวกับคนอีก 2 จุดนะคะ
จุดที่ 1 ::: ด้านขวามือ เป็นการซื้อประกันภัย คนละ 10 บาท ตรงนี้ได้ความรู้จากเพจคนรักภูกระดึงว่า หากเราเกิดอุบัติเหตุ ขาพลิก ขาแพลง เดินไม่ไหว เราสามารถเรียกลูกหาบระหว่างทางให้แบกเราได้ฟรี เพราะถือว่าเราซื้อประกันไว้แล้ว แต่ต้องเจ็บ ป่วย อุบัติเหตุจริงๆนะ
จุดที่ 2 ::: ด้านซ้ายมือ เป็นการติดต่อเช่าเต้นท์ เครื่องนอน หมอนต่างๆ รวมถึงคนที่จองผ่านอินเตอร์เน็ทมาแล้วก็ต้องมาแจ้งตรงจุดนี้ก่อน แสดงหลักฐานการจ่ายเงิน แล้ว จนท.จะเซ็นต์ชื่อกำกับในใบที่เราปริ้นมา นี่คือน่าตา บัตรเข้าอุทยาน และบัตรที่ซื้อประกันมาค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้สำหรับใครที่มาครั้งแรก โดยเฉพาะผู้หญิง หรือคนที่ต้องการเตรียมความพร้อมก่อนเดินทาง (แบบเรา) ว่ามาถึงจะมีที่นอนแน่ๆ แนะนำจอง ออนไลน์มาเลย โดยสมัครสมาชิกแล้วเลือกเต้นท์หรือบ้านพักที่
http://nps.dnp.go.th/reservation.php?id=62
สำหรับใครที่อยากจองบ้านพัก แนะนำนับวันให้ดีๆ แล้วรีบจองล่วงหน้าก่อนเดินทาง 60 วันให้แม่น ๆเพราะเต็มไวมากๆๆ
ส่วนเต้นท์ ของทางอุทยานตอนนี้ก็จองออนไลน์ได้แล้ว อย่างเราไปช่วงวันหยุด 3 วัน การจองออนไลน์ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีเพราะทำให้มีที่นอนแน่ๆ และที่สำคัญไม่ต้องเข้าคิวนานในการเอาเครื่องนอน หมอน ที่ด้านบน หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า ไม่ต้องจองครับ/ค่ะ ไปติดต่ออุทยานได้เลย จริงๆทำได้ค่ะ แต่ใครที่มาครั้งแรกคงอยากเตรียมตัว การจองออนไลน์ ชำระเงินมาเลยก็สะดวกไม่น้อย 😊
เดี๋ยวจะเล่ารายละเอียดเรื่องราคาให้ฟังอีกทีน้าา
กลับมาที่ศูนย์บริการลูกค้า หลังจากติดต่อเรื่องเต้นท์ และชำระค่าประกันอุบัติเหตุเรียบร้อย ด้านในซ้ายมือ ก่อนขึ้นภูคือจุดบริการลูกหาบ โดยเราจะต้องซื้อบัตรเพื่อติดสัมภาระใบละ 5 บาท ตามจำนวนกระเป๋าที่เราจะให้ลูกหาบแบก
จากนั้นเขียนชื่อ เบอร์โทรใส่บัตรแล้วนำไปผูกกับสัมภาระ จนท.จะชั่งสัมภาระทีละใบ เศษปัดเป็น 1 กิโล
เช่น 1.2 kg ปัดเป็น 2 กิโล ย้ำนะคะ ชั่งทีละชิ้น เพราะฉะนั้นคำนวณน้ำหนักและของที่จะให้หาบดีๆ กิโลละ 30 บาท โดยไปชำระเงินให้ลูกหาบที่ด้านบนหลังของเราไปถึง
หลังส่งมอบสัมภาระให้ลูกหาบ เราจะเก็บหางบัตรไว้ เพื่อไปรับของด้านบน ถึงเวลาเดินขึ้นภูแล้ววว เพลงชาติขึ้นพอดี เรื่มสตาร์ทที่ 8.00 น. ไหว้ศาลที่ทางขึ้นด้านขวามือเสร็จก็ลงชื่อขึ้นภูเอากฤษ์เอาชัย แล้วเดินไปกันเลย
อุทยานไม่อนุญาตให้ขึ้นหลังบ่ายสอง ดังนั้นช่วง 7-8 โมงเช้าคือเวลาขึ้นภูดีที่สุดเพราะไม่ร้อน
นี่คือป้ายที่บอกระยะทางทั้งหมด เห็นแล้วอย่าเพิ่งท้อใจกันน้าาา ลุย!!
จะบอกว่าซำแรกเหนื่อยสุด เป็น 1 โลที่ยาวนานมาก เพราะไต่ระดับความสูง เดินเหยียบหินดันตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เตรียมน้ำดื่ม โดยเฉพาะแป๊ปซี่ใส่น้ำแข็ง ไปเลย
ดูพยากรณ์ว่าฝนจะตก แต่พอไปจริงแดดแรง ร้อน และกระหายน้ำซ่าๆมากก พักทุกๆ 2 นาทีก็ว่าได้ นี่ล่ะ ผลจากการไม่ออกกำลังกายมา
หันไปเห็นเด็กน้อย ยังเดินไหว ใจเราก็ต้องสู้!!
ลำพังตัวเองยังแทบแย่ ยอมใจลูกหาบที่แบกของจริงๆ
ยิ่งเดินยิ่งดูเหมือนไกล หมดแรงตั้งแต่ซำแรกจริงๆ
ถ้าผ่านซำแรกไปได้ ถือว่าคุณเก่งมากแล้วค่ะ ระยะทาง 1 กิโล เราใช้เวลาไป 40 นาที เพราะต้องปีนก้อนหิน ดันตัวเองไต่ความสูง ถ้าไม่ได้ออกกำลังกายมา ระวังข้อเข่าและขาด้วยนะคะ
ซำแรกถือว่าวัดใจมากๆ จะทะเลาะกันมั้ย จะไปต่อหรือกลับก็วัดกันที่ซำแฮกนี่ละ แต่อยากให้ทุกคนเดินไปเรื่อยๆ แข่งกับใจตัวเองก็พอ ส่วนเราไม่รีบร้อนอะไรเลยแวะจัดทั้งข้าวและแตงโม พักยาวๆไปอีก 1 ชม.
เมื่อเติมพลังเสร็จ เราก็เดินต่อ ไป ซำบอน - ซำกกกอก 2 ซำนี้ไม่มีร้านค้านะคะ เตรียมน้ำมาให้พร้อมจากซำแฮกเลย
เดินมาอีกหอบใหญ่ๆก็ถึงซำกอซาง เราแวะนั่งกินน้ำ พักขาอยู่ซำนี้อีกเกือบ 20 นาที เพราะมันทั้งร้อน ทั้งเมื่อยจริงๆ
หลังจากนั้นเราก็เดินๆ หยุดๆมาเรื่อยๆ เพราะมันเหนื่อยและร้อนมากก บางช่วงไม่มีต้นไม้เลย
แนะนำให้มองข้างหน้าระยะใกล้ๆพอ อย่ามองไปไกลเพราะเวลาเห็นแล้วมันท้อมากกกก
จุดนี้ยอมใจลูกหาบมากๆ ลำพังเดินตัวปลิวยังเหนื่อย แต่พี่เค้าแบกของเป็นร้อยโลมาให้ ยอมจ่ายจริงๆค่ะ โลละ 30 บาท
หลังจากเดินๆหยุดๆมาสักพัก จากซำแคร์ จะไปหลังแปถือเป็นช่วงที่ต้องปีนบันไดค่อนข้างสูงและบางช่วงชันมาก ใครพาผู้สูงวัย และเด็กๆมา ต้องระมัดระวังดีๆนะคะ
และแล้วในที่สุดช่วงบ่ายสองครึ่งเราก็มาถึงหลังแป จุดนี้มีคนต่อคิวถ่ายรูปกับป้ายเยอะมากๆ
ส่วนเราก็กลายเป็นคนง่ายๆไปเรียบร้อย นั่งไหนก็ได้ นอนไหน กินอะไรก็ได้ ถ่ายรูปมุมไหนก็ได้ เพราะมันเมื่อยมากแล้วค่ะ 55
เราใช้เวลาพักตรงนี้เกือบ 40 นาที เพราะอากาศดี และลมเยนสบาย ก็ต้องเดินต่อทางเรียบเพื่อไปยังศูนย์บริการนัก ทท.วังกวางกัน
เจอกับต้นสนในตำนานที่ใครก็ต้องแวะถ่ายรูป
และแล้วเราก็มาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง ใครที่จองเต้นท์และเครื่องนอนด้านล่าง ก็ให้มาติดต่อที่ด้านใน รวมถึงใครต้องการชาร์ทแบตทุกชนิดก็มาติดต่อได้ โทรศัพท์/กล้อง 20, powerbank 40 บาท
ส่วนเราเลืองจองออนไลน์มาแล้ว เลยไม่ต้องต่อคิว เดินเลยไปอาคารด้านหลัง ยื่นใบจองให้ จนท.ก็รอรับเครื่องนอน หมอน ได้เลย และ จนท.จะบอกหมายเลขเต้นท์ให้อีกที และนี่ก็คือหน้าตาเต้นท์ของอุทยาน
[CR] ภูกระดึง 3 วัน 2 คืน ::: 12-14 ตุลาคม 62 ++ฉบับมือใหม่หัดไปครั้งแรก
กระทู้นี้ เหมาะกับคนที่กำลังหาข้อมูลและการเตรียมตัวจะขึ้นภูกระดึงครั้งแรกนะคะ ส่วนใครที่เคยไปมาแล้วอาจข้ามไปเลย หรือเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันก็ได้ โดยทริปนี้ไปมา 3 วัน 2 คืน ระหว่างวันหยุดยาว 12 - 14 ตุลา 62
ใครที่ชอบท่องเที่ยว สามารถตามติดทริปอื่นๆได้ที่ :: https://www.facebook.com/krandurntrang นะคะ
ภูกระดึงเปิดให้นักท่องเที่ยวได้พิชิตตั้งแต่ 1 ต.ค. - 31 พ.ค. ของทุกปี โดยแต่ละฤดูก็มีเสน่ห์แตกต่างกันไป
- อยากล่าทะเลหมอก มอสสีเขียวๆและน้ำตก ให้ไป ตุลา-พฤศจิกา
- อยากล่าใบเมเปิ้ลสีแดง พร้อมอากาศหนาว ให้ไป ธันวา-มกรา
- อยากล่าทางช้างเผือก กับดาวเป็นล้านดวง ให้ไป กุมภา-เมษา
- ส่วน พฤษภา ก็จะร้างๆหน่อย ร้านค้าเหลือน้อย เหมาะกับคนรักความสงบ
เอาละ!! มาถึงการเดินทาง ซึ่งถือว่าสะดวกมากทั้งรถยนต์ รถไฟ รถทัวร์ เครื่องบิน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สำหรับเราเลือกเดินทางโดยรถทัวร์ ต้นทางหมอชิต2 -ปลายทางวังสะพุง นี่คือการขึ้นรถทัวร์ไปภูกระดึงครั้งแรก จากการหาข้อมูลคร่าวๆ แบบคนไม่เคยใช้บริการ เลยตัดสินใจใช้ บขส.999 แล้วเลือก vip ม.4ก มา เป็นรอบ 21.30 น. รถ 2 ชั้นแบบในภาพ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากมาถึงหมอชิต ทำให้เราได้เห็นรถประเภทต่างๆ ความรู้สึกคือ เลือก ม.1ก น่าจะสบายสุด ดูกว้างขวาง ต่างจาก ม.4ก ที่เรานั่งแค่เป็นรถชั้นเดียวเพราะฉะนั้นรถน่าจะส่ายน้อยกว่า
ความคิดเห็นส่วนตัว ::: ใครเน้นสบายอยากให้เลือก ม.1ก ดีที่สุด และเลือกจองผ่านไทยรูท ง่ายดี เพราะสามารถปริ้น e-ticket เดินขึ้นรถทัวร์ได้เลย และคืนตั๋วเปลี่ยนวันผ่านออนไลน์ได้เลย ไม่ยุ่งยาก แต่หัก 10% เพราะมีเพื่อนร่วมทริปเราก็ไปไม่ได้ 1 คน 😭😭
ประมาณ 6.30 รถก็มาจอดฝั่งตรงข้ามร้านเจ้กิมเลยค่ะ วันนี้รถติดเลยมาถึงช้า ปกติราวๆ 05.30 น.จะถึง ตอนซื้อตั๋ว ถ้าไม่มีให้ลงผานกเค้า ให้เลือกเป็นวังสะพุงได้เลยค่ะ แล้ว พนง.บนรถจะถามเราอีกครั้งว่าลงไหน เราค่อยบอกว่าลงผานกเค้า และนี่คือผานกเค้า ร้านเจ๊กิม สถานที่กินข้าวเช้า ล้างหน้า แปรงฟัน ของเรานั่นเอง
ที่ร้านเจ้กิม เหมือนเป็นจุดรวมพลคนขึ้นภูเลยค่ะ ทุกคนจะมาถึงที่นี่ตอนเช้าพร้อมๆกัน ด้านหลังร้านมีห้องน้ำให้ได้อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน พักผ่อนตามอัธยาศรัย เราเลือกล้างหน้า แปรงฟัน กินข้าว และซักแห้ง ก่อนจะเดินไปขึ้นสองแถวแดงที่อยู่หน้าร้านเจ้กิม ไม่ต้องกลัวไม่มีคนหารค่ารถนะคะ อารมณ์สองแถวบ้านเรานี่ละ ขึ้นรถไปก็จะมีเพื่อนร่วมทางขึ้นตามๆกันมา พอครบ 10 คนรถก็ออก หรือพอเห็นได้สัก 7-8 คนรถก็จะบอกว่าตกคนละ เท่าไหร่ ถ้าทุกคนโอเคที่ 35-40 บาท รถก็ออก (ราคาเหมา 300/10คน) ใช้เวลา 15-20 นาที ก็ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวภูกระดึง
ก่อนจะถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เราต้องเสียค่าเข้าอุทยานกันก่อนนะคะ ผู้ใหญ่คนละ 40 บาท เด็ก 20 บาท เมื่อมาถึงที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อย่ามัวแต่ถ่ายรูปด้านหน้าจนเพลิน เพราะเราต้องเข้าไปด้านในต่อแถวกับคนอีก 2 จุดนะคะ
จุดที่ 1 ::: ด้านขวามือ เป็นการซื้อประกันภัย คนละ 10 บาท ตรงนี้ได้ความรู้จากเพจคนรักภูกระดึงว่า หากเราเกิดอุบัติเหตุ ขาพลิก ขาแพลง เดินไม่ไหว เราสามารถเรียกลูกหาบระหว่างทางให้แบกเราได้ฟรี เพราะถือว่าเราซื้อประกันไว้แล้ว แต่ต้องเจ็บ ป่วย อุบัติเหตุจริงๆนะ
จุดที่ 2 ::: ด้านซ้ายมือ เป็นการติดต่อเช่าเต้นท์ เครื่องนอน หมอนต่างๆ รวมถึงคนที่จองผ่านอินเตอร์เน็ทมาแล้วก็ต้องมาแจ้งตรงจุดนี้ก่อน แสดงหลักฐานการจ่ายเงิน แล้ว จนท.จะเซ็นต์ชื่อกำกับในใบที่เราปริ้นมา นี่คือน่าตา บัตรเข้าอุทยาน และบัตรที่ซื้อประกันมาค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สำหรับใครที่อยากจองบ้านพัก แนะนำนับวันให้ดีๆ แล้วรีบจองล่วงหน้าก่อนเดินทาง 60 วันให้แม่น ๆเพราะเต็มไวมากๆๆ
ส่วนเต้นท์ ของทางอุทยานตอนนี้ก็จองออนไลน์ได้แล้ว อย่างเราไปช่วงวันหยุด 3 วัน การจองออนไลน์ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีเพราะทำให้มีที่นอนแน่ๆ และที่สำคัญไม่ต้องเข้าคิวนานในการเอาเครื่องนอน หมอน ที่ด้านบน หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า ไม่ต้องจองครับ/ค่ะ ไปติดต่ออุทยานได้เลย จริงๆทำได้ค่ะ แต่ใครที่มาครั้งแรกคงอยากเตรียมตัว การจองออนไลน์ ชำระเงินมาเลยก็สะดวกไม่น้อย 😊
เดี๋ยวจะเล่ารายละเอียดเรื่องราคาให้ฟังอีกทีน้าา
กลับมาที่ศูนย์บริการลูกค้า หลังจากติดต่อเรื่องเต้นท์ และชำระค่าประกันอุบัติเหตุเรียบร้อย ด้านในซ้ายมือ ก่อนขึ้นภูคือจุดบริการลูกหาบ โดยเราจะต้องซื้อบัตรเพื่อติดสัมภาระใบละ 5 บาท ตามจำนวนกระเป๋าที่เราจะให้ลูกหาบแบก
จากนั้นเขียนชื่อ เบอร์โทรใส่บัตรแล้วนำไปผูกกับสัมภาระ จนท.จะชั่งสัมภาระทีละใบ เศษปัดเป็น 1 กิโล
เช่น 1.2 kg ปัดเป็น 2 กิโล ย้ำนะคะ ชั่งทีละชิ้น เพราะฉะนั้นคำนวณน้ำหนักและของที่จะให้หาบดีๆ กิโลละ 30 บาท โดยไปชำระเงินให้ลูกหาบที่ด้านบนหลังของเราไปถึง
หลังส่งมอบสัมภาระให้ลูกหาบ เราจะเก็บหางบัตรไว้ เพื่อไปรับของด้านบน ถึงเวลาเดินขึ้นภูแล้ววว เพลงชาติขึ้นพอดี เรื่มสตาร์ทที่ 8.00 น. ไหว้ศาลที่ทางขึ้นด้านขวามือเสร็จก็ลงชื่อขึ้นภูเอากฤษ์เอาชัย แล้วเดินไปกันเลย
อุทยานไม่อนุญาตให้ขึ้นหลังบ่ายสอง ดังนั้นช่วง 7-8 โมงเช้าคือเวลาขึ้นภูดีที่สุดเพราะไม่ร้อน
นี่คือป้ายที่บอกระยะทางทั้งหมด เห็นแล้วอย่าเพิ่งท้อใจกันน้าาา ลุย!!
จะบอกว่าซำแรกเหนื่อยสุด เป็น 1 โลที่ยาวนานมาก เพราะไต่ระดับความสูง เดินเหยียบหินดันตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ดูพยากรณ์ว่าฝนจะตก แต่พอไปจริงแดดแรง ร้อน และกระหายน้ำซ่าๆมากก พักทุกๆ 2 นาทีก็ว่าได้ นี่ล่ะ ผลจากการไม่ออกกำลังกายมา
หันไปเห็นเด็กน้อย ยังเดินไหว ใจเราก็ต้องสู้!!
ลำพังตัวเองยังแทบแย่ ยอมใจลูกหาบที่แบกของจริงๆ
ยิ่งเดินยิ่งดูเหมือนไกล หมดแรงตั้งแต่ซำแรกจริงๆ
ถ้าผ่านซำแรกไปได้ ถือว่าคุณเก่งมากแล้วค่ะ ระยะทาง 1 กิโล เราใช้เวลาไป 40 นาที เพราะต้องปีนก้อนหิน ดันตัวเองไต่ความสูง ถ้าไม่ได้ออกกำลังกายมา ระวังข้อเข่าและขาด้วยนะคะ
ซำแรกถือว่าวัดใจมากๆ จะทะเลาะกันมั้ย จะไปต่อหรือกลับก็วัดกันที่ซำแฮกนี่ละ แต่อยากให้ทุกคนเดินไปเรื่อยๆ แข่งกับใจตัวเองก็พอ ส่วนเราไม่รีบร้อนอะไรเลยแวะจัดทั้งข้าวและแตงโม พักยาวๆไปอีก 1 ชม.
เมื่อเติมพลังเสร็จ เราก็เดินต่อ ไป ซำบอน - ซำกกกอก 2 ซำนี้ไม่มีร้านค้านะคะ เตรียมน้ำมาให้พร้อมจากซำแฮกเลย
เดินมาอีกหอบใหญ่ๆก็ถึงซำกอซาง เราแวะนั่งกินน้ำ พักขาอยู่ซำนี้อีกเกือบ 20 นาที เพราะมันทั้งร้อน ทั้งเมื่อยจริงๆ
หลังจากนั้นเราก็เดินๆ หยุดๆมาเรื่อยๆ เพราะมันเหนื่อยและร้อนมากก บางช่วงไม่มีต้นไม้เลย
แนะนำให้มองข้างหน้าระยะใกล้ๆพอ อย่ามองไปไกลเพราะเวลาเห็นแล้วมันท้อมากกกก
จุดนี้ยอมใจลูกหาบมากๆ ลำพังเดินตัวปลิวยังเหนื่อย แต่พี่เค้าแบกของเป็นร้อยโลมาให้ ยอมจ่ายจริงๆค่ะ โลละ 30 บาท
หลังจากเดินๆหยุดๆมาสักพัก จากซำแคร์ จะไปหลังแปถือเป็นช่วงที่ต้องปีนบันไดค่อนข้างสูงและบางช่วงชันมาก ใครพาผู้สูงวัย และเด็กๆมา ต้องระมัดระวังดีๆนะคะ
และแล้วในที่สุดช่วงบ่ายสองครึ่งเราก็มาถึงหลังแป จุดนี้มีคนต่อคิวถ่ายรูปกับป้ายเยอะมากๆ
ส่วนเราก็กลายเป็นคนง่ายๆไปเรียบร้อย นั่งไหนก็ได้ นอนไหน กินอะไรก็ได้ ถ่ายรูปมุมไหนก็ได้ เพราะมันเมื่อยมากแล้วค่ะ 55
เราใช้เวลาพักตรงนี้เกือบ 40 นาที เพราะอากาศดี และลมเยนสบาย ก็ต้องเดินต่อทางเรียบเพื่อไปยังศูนย์บริการนัก ทท.วังกวางกัน
เจอกับต้นสนในตำนานที่ใครก็ต้องแวะถ่ายรูป
และแล้วเราก็มาถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง ใครที่จองเต้นท์และเครื่องนอนด้านล่าง ก็ให้มาติดต่อที่ด้านใน รวมถึงใครต้องการชาร์ทแบตทุกชนิดก็มาติดต่อได้ โทรศัพท์/กล้อง 20, powerbank 40 บาท
ส่วนเราเลืองจองออนไลน์มาแล้ว เลยไม่ต้องต่อคิว เดินเลยไปอาคารด้านหลัง ยื่นใบจองให้ จนท.ก็รอรับเครื่องนอน หมอน ได้เลย และ จนท.จะบอกหมายเลขเต้นท์ให้อีกที และนี่ก็คือหน้าตาเต้นท์ของอุทยาน
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้