สวัสดีค่ะเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ชาวพันทิปทุกท่าน หนูมีเรื่องจะมาปรึกษาค่ะ เนื่องจากว่าหนูเพิ่งจะเรียนจบเมื่อปีที่แล้วและมีโอกาสได้เข้ามาทำงานในบริษัททัวร์แห่งหนึ่ง ทุกอย่างโอเคหมดในช่วงแรก แต่หลังจากนั้นมาได้มีการเปลี่ยนผู้จัดการใหม่ในทุกๆ แผนก หัวหน้าแผนกคนเดิมที่หนูสนิทกันได้ขึ้นเป็นผู้จัดการใหญ่ และหัวหน้าแผนกคนใหม่คนนี้แหละค่ะที่เป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวาย
ในช่วงแรกนั้นการทำงานร่วมกันยังไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แต่ผ่านไปได้ประมาณ 2 เดือน เค้าจะมีอาการแบบว่าอารมณ์สวิงมากๆ มากจนผิดปกติ วันนี้คือพูดจาดีมากๆ แต่พอข้ามไปอีกวัน เหมือนคนละคนกันเลย เคยด่าให้หนูทั้งๆ ที่หนูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนูทำผิดอะไร คือต้องรอให้อารมณ์เค้านิ่งก่อนถึงจะสามารถเข้าไปอธิบายได้ว่ามันเป็นแบบนี้ๆๆๆ นะ
จนวันหนึ่ง มีพี่ในแผนกเดียวกันกับหนูเค้าลา เลยให้หนูมาแทนเค้า ซึ่งความเป็นจริงแล้ววันนั้นวันหยุดของหนู หนูก็เลยตอบตกลงพี่เค้าไป แต่มานึกได้อีกทีว่าวันนี้ต้องพาแม่ไปหาหมอ หนูเลยไลน์บอกหัวหน้าไปว่าวันนี้ต้องพาคุณแม่ไปหาหมอนะคะ อาจจะเข้างานสายนิดหน่อย ไลน์ไปบอกเวลาตี5 - 6 โมงเช้า แม่เจ้าประคุณทูนหัวเวลา 8.30 เป๊ะพี่แกไลน์มาด่าหนูยับเลยค่ะ บอกว่าทำไมเราทำแบบนี้ ทำไมทิ้งงาน แล้วที่สำคัญก็คือหนูไลน์ไปบอกเป็นการส่วนตัว พี่แกอ่านค่ะ แต่ไม่ตอบ แต่พี่แกเล่นมาด่าหนูในไลน์กลุ่มของบริษัทที่ทำงานเลยค่ะ
หนูก็อธิบายไปแล้วว่าต้องพาคุณแม่ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล ไม่ได้ขาดหรือหายไปไหน แค่อาจจะเข้าสายนิดหน่อย พี่แกบอกว่าหนูไม่มีความรับผิดชอบ ไม่เห็นความสำคัญของงาน หนูเลยตอบกลับไปว่า สุขภาพของแม่หนูก็สำคัญเหมือนกันไหม จะให้แม่หนูนั่งรถเมล์ นั่ง Taxi ไปหาหมอคนเดียวเหรอคะ ถ้าแม่หนูไปเองได้ ท่านก็คงไม่มาบอกให้หนูขับรถไปส่งท่านหรอกค่ะ
แล้วพี่แกก็บอกว่าถ้าเสร็จแล้วเข้ามาบริษัทมาเซ็นใบเตือนด้วย ตอนนั้นยอมรับว่าหน้าชาและโกรธมากจริงๆ ค่ะ ใบเตือนอะไร จะให้เซ็นเรื่องอะไร หนูก็เลยบอกไปว่าไม่เป็นไรค่ะ หนูขอลาออกเลยแล้วกัน เพราะถ้าให้เลือก หนูขอเลือกคนในครอบครัวก่อนแล้วกันค่ะ อีกอย่างหนูไม่ได้ No Show ค่ะ ทำอะไรที่ไหนหนูบอกหมด แม่หนูเป็นพยานในเรื่องนี้ได้ แพทย์ประจำตัวของคุณแม่ก็เป็นพยานได้ ถ้าไม่ฟังเหตุผล ก็ขอตัวลาเลยแล้วกันค่ะ พิมเสร็จหนูก็ออกจากกลุ่มทันที
พอออกจากงานทัวร์มา หนูก็มาวิ่งงานเป็นฟรีแลนซ์อยู่ข้างนอก ช่วงที่มาเป็นฟรีแลนซ์เลยได้มาเจอเพื่อนกลุ่มเดิมที่เคยทำงานที่บริษัททัวร์ด้วยกันมาก่อน เค้าก็เลยเล่าให้ฟังว่าพี่แกเป็นโรคซึมเศร้านะ เค้าต้องคอยกินยาตลอด ถ้าวันไหนพี่แกขาดยาหรือลืมกินยาก็จะโดนแบบนั้นแหละ ต้องคอยเตือนพี่แกให้กินยาตลอด อย่างวันไหนมีทัวร์มาจองหลายๆ กรุ๊ปต่อกัน พี่แกก็จะเริ่มเครียดแล้วก็วีนแตกทันที ทำได้ทางเดียวคือถ้าไม่เตือนให้กินยา ก็ต้องทำใจค่ะ
พอหนูมารู้ทีหลังก็จัดการความรู้สึกของตัวเองไม่ถูก ไม่รู้จะสงสารหรืออะไรยังไงดี เกิดมาไม่เคยต้องมาสัมผัสหรือรับมือกับคนที่เป็นโรคซึมเศร้าเช่นนี้ ผ่านไป 1 เดือน พี่ที่เป็นหัวหน้าคนเก่าที่หนูสนิทที่ได้ขึ้นเป็นผู้จัดการใหญ่เลยโทรมาหา บอกว่าให้หนูกลับมาทำงานต่อ ก็ให้เข้าไปขอโทษขอโพยพี่แก เพราะเค้าไปถามแล้วว่าเรื่องมันเป็นยังไง เค้าก็บอกว่าพี่แกไม่ได้พูดถึงหนูในทางที่แย่เลยนะ ความผิดของหนูก็ตรงที่ว่าตัวเองก็มีธุระแต่ก็รับปากมาเข้ากะแทนคนอื่น
แล้ว Behind the scene ของวันนั้นคือพี่ที่อยู่แผนก Sale ก็ No Show ทางด้าน Account ก็โดนเชิญออกเนื่องจากยักยอกเงินในบริษัทไปเป็นล้านกว่าบาท ความวุ่นวายของในองค์กรก็จะมีมาให้เห็นอยู่แบบนี้เป็นประจำอยู่แล้วค่ะ เพราะบริษัทใหญ่มาก แถมบริษัทที่เป็นดีลเลอร์อีกทีก็เยอะมาก ไหนจะโรงแรม ที่พัก บังกะโล รีสอร์ท จองรถ ลูกค้าทัวร์ Inbound - Outbound เอาเป็นว่าใครเคยทำงานทัวร์จะเข้าใจความวุ่นวายนี้เป็นอย่างดีค่ะ
ก็เลยรู้สึกผิดนิดๆ ว่าตัวเองก็เป็น 1 ในบุคลากรที่ทำให้งานเค้ารวนไปหมด อีกอย่างก็รอฟังข่าวด้วยแหละค่ะ เพราะหนูก็คิดนะว่าพี่แกคงจะด่ายับ คงเกลียดหน้าหนูไปแล้วด้วยซ้ำ แต่พอพี่ที่เป็นหัวหน้าเก่ามาพูดให้ฟัง ก็รู้สึกว่าโอเค ถึงจะซึมเศร้าแต่อย่างน้อยพี่แกก็ยังมีความเป็นผู้ใหญ่อยู่แหละนะ ก็ตัดสินใจโทรขอโทษพี่แก วันที่เจอกัน หลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันนานเดือนกว่า แวบแรกที่เจอตอนนั้นยอมรับว่าหนูเองก็กลัวโดนด่านะ ยอมรับตรงๆ เลย แต่สงสัยว่าจังหวะเข้าไปถูกวัน เจอหน้าพี่แกก็ยิ้มให้เดินเข้ามาถามว่าเป็นยังไง คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ พี่แกก็เล่าให้ฟังว่าวันนั้นแกหน้ามืดจนวูบไป 2-3 รอบเลยค่ะ เพราะงานในบริษัทวุ่นวายมาก ที่วุ่นวายเพราะว่าขาดพนักงานนี่แหละค่ะ - - “
ต้องบอกก่อนนะคะว่าพี่แกเป็นคนนิสัยไม่ได้แย่เลย ถ้าตัดเรื่องความอารมณ์สวิงออกไป เค้าก็เป็นรุ่นพี่ที่น่านับถือคนหนึ่งเลยค่ะ เป็นคนที่สอนงานดีมากๆ เวลาไปเที่ยวไปสังสรรค์ในที่ทำงาน พี่แกก็จะคอยเทคแคร์ดูแล คือเต็มที่ตลอดทุกงาน
เสียก็แต่เรื่องนี้แหละค่ะ คือเอาจริงๆ ถ้าให้ปล่อยผ่านก็ทำได้นะคะ แต่บางทีในวันๆ นึงหนูต้องติดต่อคุยงานกับลูกค้ากี่คน แค่นั้นมันก็เครียดพออยู่แล้ว แล้วต้องมารับมือกับความสวิงอารมณ์ของพี่แก คอยลุ้นว่าวันนี้พี่แกจะมาอารมณ์ไหน ถ้าดีก็รอดไป แต่ถ้าไม่! ก็เตรียมตัว
เฮ้ออออออ บางทีก็ถามตัวเองนะคะว่าต้องมาทนเจอสภาพแบบนี้ในที่ทำงานไปเพื่ออะไร ซึ่งเค้าบอกว่าป่วยเป็นซึมเศร้า แต่แล้วยังไงเหรอคะ หนูจากที่ปกติจะต้องป่วยตามด้วยไหม หรือยังไง
กลับมาก็ทำใจไว้แล้วแหละค่ะว่าต้องเจอกับอะไรเดิมๆแบบนี้อีก ที่ยังอยู่เพราะหนูเองก็รักในอาชีพนี้ หนูมีความสุขกับการทำงานทุกอย่างในบริษัท ต่อให้เจอลูกค้างี่เง่าบ้างแต่ทุกอย่างมันก็ผ่านไปได้ด้วยดีเสมอ จะให้ออกจากงานไปหางานใหม่ ช่วงที่หายไปทำฟรีแลนซ์ ยอมรับนะคะว่าหนูเครียดมาก เพราะไม่ได้มีความสุขกับการทำอาชีพอื่นหรือร่วมงานกับองค์กรอื่นสักเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะความผูกพันกับองค์กรนี้ตั้งแต่ตอนมาฝึกงานด้วยแหละมั้ง
ก็มานั่งย้ำคิดกับตัวเองว่าสิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือ อดทน เลยอยากจะถามเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ คนที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า มีวิธีจัดการอารมณ์ของตัวเอง หรือมีวิธีรับมือกับผู้ป่วยอย่างไรบ้างคะ เพราะหนูไม่เข้าใจอาการของคนที่ป่วยเป็นโรคนี้เลยค่ะ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ ขอบคุณพันทิปที่ให้ใช้พื้นที่ตรงนี้เป็นที่เล่าระบายและได้ปรึกษาปัญหาชีวิตนะคะ ขอบคุณมากๆ ค่ะ
หรือว่าเรากำลังจะป่วยทางจิต เพราะคนเป็นโรคซึมเศร้าคะ?
ในช่วงแรกนั้นการทำงานร่วมกันยังไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แต่ผ่านไปได้ประมาณ 2 เดือน เค้าจะมีอาการแบบว่าอารมณ์สวิงมากๆ มากจนผิดปกติ วันนี้คือพูดจาดีมากๆ แต่พอข้ามไปอีกวัน เหมือนคนละคนกันเลย เคยด่าให้หนูทั้งๆ ที่หนูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนูทำผิดอะไร คือต้องรอให้อารมณ์เค้านิ่งก่อนถึงจะสามารถเข้าไปอธิบายได้ว่ามันเป็นแบบนี้ๆๆๆ นะ
จนวันหนึ่ง มีพี่ในแผนกเดียวกันกับหนูเค้าลา เลยให้หนูมาแทนเค้า ซึ่งความเป็นจริงแล้ววันนั้นวันหยุดของหนู หนูก็เลยตอบตกลงพี่เค้าไป แต่มานึกได้อีกทีว่าวันนี้ต้องพาแม่ไปหาหมอ หนูเลยไลน์บอกหัวหน้าไปว่าวันนี้ต้องพาคุณแม่ไปหาหมอนะคะ อาจจะเข้างานสายนิดหน่อย ไลน์ไปบอกเวลาตี5 - 6 โมงเช้า แม่เจ้าประคุณทูนหัวเวลา 8.30 เป๊ะพี่แกไลน์มาด่าหนูยับเลยค่ะ บอกว่าทำไมเราทำแบบนี้ ทำไมทิ้งงาน แล้วที่สำคัญก็คือหนูไลน์ไปบอกเป็นการส่วนตัว พี่แกอ่านค่ะ แต่ไม่ตอบ แต่พี่แกเล่นมาด่าหนูในไลน์กลุ่มของบริษัทที่ทำงานเลยค่ะ
หนูก็อธิบายไปแล้วว่าต้องพาคุณแม่ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล ไม่ได้ขาดหรือหายไปไหน แค่อาจจะเข้าสายนิดหน่อย พี่แกบอกว่าหนูไม่มีความรับผิดชอบ ไม่เห็นความสำคัญของงาน หนูเลยตอบกลับไปว่า สุขภาพของแม่หนูก็สำคัญเหมือนกันไหม จะให้แม่หนูนั่งรถเมล์ นั่ง Taxi ไปหาหมอคนเดียวเหรอคะ ถ้าแม่หนูไปเองได้ ท่านก็คงไม่มาบอกให้หนูขับรถไปส่งท่านหรอกค่ะ
แล้วพี่แกก็บอกว่าถ้าเสร็จแล้วเข้ามาบริษัทมาเซ็นใบเตือนด้วย ตอนนั้นยอมรับว่าหน้าชาและโกรธมากจริงๆ ค่ะ ใบเตือนอะไร จะให้เซ็นเรื่องอะไร หนูก็เลยบอกไปว่าไม่เป็นไรค่ะ หนูขอลาออกเลยแล้วกัน เพราะถ้าให้เลือก หนูขอเลือกคนในครอบครัวก่อนแล้วกันค่ะ อีกอย่างหนูไม่ได้ No Show ค่ะ ทำอะไรที่ไหนหนูบอกหมด แม่หนูเป็นพยานในเรื่องนี้ได้ แพทย์ประจำตัวของคุณแม่ก็เป็นพยานได้ ถ้าไม่ฟังเหตุผล ก็ขอตัวลาเลยแล้วกันค่ะ พิมเสร็จหนูก็ออกจากกลุ่มทันที
พอออกจากงานทัวร์มา หนูก็มาวิ่งงานเป็นฟรีแลนซ์อยู่ข้างนอก ช่วงที่มาเป็นฟรีแลนซ์เลยได้มาเจอเพื่อนกลุ่มเดิมที่เคยทำงานที่บริษัททัวร์ด้วยกันมาก่อน เค้าก็เลยเล่าให้ฟังว่าพี่แกเป็นโรคซึมเศร้านะ เค้าต้องคอยกินยาตลอด ถ้าวันไหนพี่แกขาดยาหรือลืมกินยาก็จะโดนแบบนั้นแหละ ต้องคอยเตือนพี่แกให้กินยาตลอด อย่างวันไหนมีทัวร์มาจองหลายๆ กรุ๊ปต่อกัน พี่แกก็จะเริ่มเครียดแล้วก็วีนแตกทันที ทำได้ทางเดียวคือถ้าไม่เตือนให้กินยา ก็ต้องทำใจค่ะ
พอหนูมารู้ทีหลังก็จัดการความรู้สึกของตัวเองไม่ถูก ไม่รู้จะสงสารหรืออะไรยังไงดี เกิดมาไม่เคยต้องมาสัมผัสหรือรับมือกับคนที่เป็นโรคซึมเศร้าเช่นนี้ ผ่านไป 1 เดือน พี่ที่เป็นหัวหน้าคนเก่าที่หนูสนิทที่ได้ขึ้นเป็นผู้จัดการใหญ่เลยโทรมาหา บอกว่าให้หนูกลับมาทำงานต่อ ก็ให้เข้าไปขอโทษขอโพยพี่แก เพราะเค้าไปถามแล้วว่าเรื่องมันเป็นยังไง เค้าก็บอกว่าพี่แกไม่ได้พูดถึงหนูในทางที่แย่เลยนะ ความผิดของหนูก็ตรงที่ว่าตัวเองก็มีธุระแต่ก็รับปากมาเข้ากะแทนคนอื่น
แล้ว Behind the scene ของวันนั้นคือพี่ที่อยู่แผนก Sale ก็ No Show ทางด้าน Account ก็โดนเชิญออกเนื่องจากยักยอกเงินในบริษัทไปเป็นล้านกว่าบาท ความวุ่นวายของในองค์กรก็จะมีมาให้เห็นอยู่แบบนี้เป็นประจำอยู่แล้วค่ะ เพราะบริษัทใหญ่มาก แถมบริษัทที่เป็นดีลเลอร์อีกทีก็เยอะมาก ไหนจะโรงแรม ที่พัก บังกะโล รีสอร์ท จองรถ ลูกค้าทัวร์ Inbound - Outbound เอาเป็นว่าใครเคยทำงานทัวร์จะเข้าใจความวุ่นวายนี้เป็นอย่างดีค่ะ
ก็เลยรู้สึกผิดนิดๆ ว่าตัวเองก็เป็น 1 ในบุคลากรที่ทำให้งานเค้ารวนไปหมด อีกอย่างก็รอฟังข่าวด้วยแหละค่ะ เพราะหนูก็คิดนะว่าพี่แกคงจะด่ายับ คงเกลียดหน้าหนูไปแล้วด้วยซ้ำ แต่พอพี่ที่เป็นหัวหน้าเก่ามาพูดให้ฟัง ก็รู้สึกว่าโอเค ถึงจะซึมเศร้าแต่อย่างน้อยพี่แกก็ยังมีความเป็นผู้ใหญ่อยู่แหละนะ ก็ตัดสินใจโทรขอโทษพี่แก วันที่เจอกัน หลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันนานเดือนกว่า แวบแรกที่เจอตอนนั้นยอมรับว่าหนูเองก็กลัวโดนด่านะ ยอมรับตรงๆ เลย แต่สงสัยว่าจังหวะเข้าไปถูกวัน เจอหน้าพี่แกก็ยิ้มให้เดินเข้ามาถามว่าเป็นยังไง คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ พี่แกก็เล่าให้ฟังว่าวันนั้นแกหน้ามืดจนวูบไป 2-3 รอบเลยค่ะ เพราะงานในบริษัทวุ่นวายมาก ที่วุ่นวายเพราะว่าขาดพนักงานนี่แหละค่ะ - - “
ต้องบอกก่อนนะคะว่าพี่แกเป็นคนนิสัยไม่ได้แย่เลย ถ้าตัดเรื่องความอารมณ์สวิงออกไป เค้าก็เป็นรุ่นพี่ที่น่านับถือคนหนึ่งเลยค่ะ เป็นคนที่สอนงานดีมากๆ เวลาไปเที่ยวไปสังสรรค์ในที่ทำงาน พี่แกก็จะคอยเทคแคร์ดูแล คือเต็มที่ตลอดทุกงาน
เสียก็แต่เรื่องนี้แหละค่ะ คือเอาจริงๆ ถ้าให้ปล่อยผ่านก็ทำได้นะคะ แต่บางทีในวันๆ นึงหนูต้องติดต่อคุยงานกับลูกค้ากี่คน แค่นั้นมันก็เครียดพออยู่แล้ว แล้วต้องมารับมือกับความสวิงอารมณ์ของพี่แก คอยลุ้นว่าวันนี้พี่แกจะมาอารมณ์ไหน ถ้าดีก็รอดไป แต่ถ้าไม่! ก็เตรียมตัว
เฮ้ออออออ บางทีก็ถามตัวเองนะคะว่าต้องมาทนเจอสภาพแบบนี้ในที่ทำงานไปเพื่ออะไร ซึ่งเค้าบอกว่าป่วยเป็นซึมเศร้า แต่แล้วยังไงเหรอคะ หนูจากที่ปกติจะต้องป่วยตามด้วยไหม หรือยังไง
กลับมาก็ทำใจไว้แล้วแหละค่ะว่าต้องเจอกับอะไรเดิมๆแบบนี้อีก ที่ยังอยู่เพราะหนูเองก็รักในอาชีพนี้ หนูมีความสุขกับการทำงานทุกอย่างในบริษัท ต่อให้เจอลูกค้างี่เง่าบ้างแต่ทุกอย่างมันก็ผ่านไปได้ด้วยดีเสมอ จะให้ออกจากงานไปหางานใหม่ ช่วงที่หายไปทำฟรีแลนซ์ ยอมรับนะคะว่าหนูเครียดมาก เพราะไม่ได้มีความสุขกับการทำอาชีพอื่นหรือร่วมงานกับองค์กรอื่นสักเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะความผูกพันกับองค์กรนี้ตั้งแต่ตอนมาฝึกงานด้วยแหละมั้ง
ก็มานั่งย้ำคิดกับตัวเองว่าสิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือ อดทน เลยอยากจะถามเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ คนที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า มีวิธีจัดการอารมณ์ของตัวเอง หรือมีวิธีรับมือกับผู้ป่วยอย่างไรบ้างคะ เพราะหนูไม่เข้าใจอาการของคนที่ป่วยเป็นโรคนี้เลยค่ะ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ ขอบคุณพันทิปที่ให้ใช้พื้นที่ตรงนี้เป็นที่เล่าระบายและได้ปรึกษาปัญหาชีวิตนะคะ ขอบคุณมากๆ ค่ะ