ผมคิดว่าหลายๆคนคงยังงงว่าเรื่องการ "แบน" สารกำจัดศัตรูพืชสามตัวนั้นมีที่มาอย่างไร
ผมจะเล่าเท่าที่รู้คือเรื่องสุขภาพ
เรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องการสูญพันธุ์ของผื้ง ผมไม่ชำนาญจึงขอไม่พูดถึง
สำหรับในไทยนั้น บริบทของการใช้สารกำจัดศัตรูพืชคือ
เราไม่สามารถจะควบคุมอะไรได้ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นอายุผู้พ่น การแต่งกายแบบป้องกันสาร เทคนิคการพ่น พื้นที่ใช้ การพ่นก่อนเก็บเกี่ยว
คือใคร ๆ ก็ซื้อมาพ่นได้ทุกคน
ดังนั้นถ้าสารนั้นไม่ OK ก็ต้องแบนเท่านั้น
เพราะเวลาที่ผ่านมา 40-50 ปี ชัดว่าคุมอะไรไม่ได้ ถ้าอนุญาตแล้วคือปล่อยเสรีเลย
ต่างจากในอเมริกาที่สารบางชนิดเช่นพาราควอต
ผู้พ่นจะต้องมีใบอนุญาต (license)
ทำไมการแบนจึงยุ่ง
การอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนสารกำจัดศัตรูพืชเป็นแบบ อสมมาตร (Asymmetric) คือ เข้าง่าย ออกยาก
ผลิตภัณฑ์ใหม่สามารถนำมาขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรได้ง่าย
และการขึ้นทะเบียนก็สะดวกและง่าย เช่นเอาเอกสารวิจัยมาแชร์กันได้ระหว่างบริษัทต่างๆ
แต่เวลาเลิกยากมาก
ต้องเสนอคณะกรรมการวัตถุอันตรายให้เปลี่ยนสารนั้นเป็นวัตถุอันตรายประเภท 4
คือห้ามการนำเข้าไปเลย
คณะกรรมการวัตถุอันตราย มีคนจากหลายกระทรวงมากเช่นอุตสาหกรรม สาธารณสุข และกรรมการอิสระ
จึงไม่ค่อยมีทิศทางในการทำงานที่ชัดเจน
ตอนนี้มาดู
ปัญหาทางด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้อง
การเกิดพิษเฉียบพลัน
การอนุญาตให้คนทั่วไปใช้สารพิษ ที่อันตรายมากนั้น
คนที่ใช้ไม่เป็นก็ได้รับอันตรายได้ ปีละราว 4,000 - 6,000 คน
มีผู้กล่าวว่า
คนไข้เหล่านี้กินยาเพื่อฆ่าตัวตาย จริงไหม
ตอบ ไม่จริง เพราะ 4,000 คนนี้มาจากกลุ่ม T60, X48 (กลุ่ม accidental exposure)
ซึ่งไม่รวมฆ่าตัวตาย (T60, X68)
สารที่ก่อให้เกิดการป่วยเหล่านี้คืออะไรบ้าง
ตอบ เป็นยาฆ่าแมลง และยาฆ่าหญ้า
ซึ่งไม่ได้เจาะจงเฉพาะสารสามตัวนี้
การเกิดพิษแบบเรื้อรัง
เราไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน ของการเกิดพิษเรื้อรังในไทย
แต่ในต่างประเทศมีงานวิจัยเยอะ เช่น
Chlorpyriphos เป็นยาฆ่าแมลงซึ่งพบตกค้างในพริกและผักบ่อยๆ
งานวิจัยของ Dr.Virginia A. Rauh จาก ม.โคลัมเบีย ซึ่ง
เป็นงานที่ละเอียดและดีที่สุดชิ้นหนึ่ง ได้ทำ fMRI ในเด็กกลุ่มควบคุม
และกลุ่มที่คุณแม่สัมผัสสารนี้ตอนตั้งครรภ์ แล้วพบว่าเด็กกลุ่มสัมผัสมีโครงสร้างของสมองที่เปลี่ยนไป
คือส่วน white matter ใหญ่ขึ้น รวมทั้ง IQ ที่ลดลงด้วย
และยังพบ inward deformations ในสมองส่วนที่เรียกว่า superior frontal gyrus
และยังสัมพันธ์กับระดับของการสัมผัสด้วย (positive dose–response relationship)
อ่านบทความนี้ได้ใน
"Brain anomalies in children exposed prenatally to a common organophosphate pesticide"
Glyphosate เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 2A ซึ่งอาจถือว่าไม่แรงมาก
สารนี้สัมพันธ์กับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่เรียกว่า NHL เท่านั้น
ไม่ใช่สัมพันธ์กับทุกมะเร็ง
สำหรับพิษเรื้อรังของสารนี้ มีการศึกษาเชิงระบาดวิทยาในศรีลังกา
พบว่าสัมพันธ์กับการเกิดโรคไตเรื้อรัง โดยเป็นผลมาจากปฏิกิริยาระหว่าง
Glyphosate กับสารเคมีในน้ำกระด้างและโลหะหนักที่มีพิษต่อไต
Glyphosate, hard water and nephrotoxic metals: are they the culprits behind the epidemic of chronic kidney disease of unknown etiology in Sri Lanka?
แต่น่าเสียดายที่หลังจากศรีลังกาแบนสารนี้ไปแล้ว ก็กลับมาใช้อีกในปี 61
ไม่ใช่เพราะงานวิจัยใหม่ๆ แต่เป็นเพราะมันส่งผลกระทบต่อการปลูกชา
Paraquat ถูกเสนอให้แบนเพราะพิษเฉียบพลันเป็นหลัก
ในเวบไซต์ของศูนย์พิษรามา กล่าวว่า
paraquat มีฤทธิ์กัดกร่อน สามารถกัดผิวหนังและเนื้อเยื่อจนเป็นแผล
และ paraquat จะทำปฏิกิริยากับ oxygen ในร่างกายทำให้เกิด nascent oxygen
ซึ่งไป oxidize เนื้อเยื่อต่างๆ ทำให้เกิดความเสียหาย
ปริมาณที่อาจจะทำให้ถึงแก่ชีวิตคือ ความเข้มข้น 20% ปริมาณ 10-15 ml
Paraquat เป็นพิษ ต่อ ไต ปอด และตับ และยังเป็นสารตัวหนึ่งที่แม้ผู้ป่วยจะรอดไปแล้ว ก็ยังเกิด
ผลกระทบอย่างถาวรได้ เช่นเป็นแผลเป็นที่ปอด
ในอเมริกาแม้แต่ผู้ที่มีใบอนุญาตพ่นก็ยังเสียท่าได้รับพิษ
ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น
เป็นมุมมองเรื่องการแบนสารเคมีอย่างสั้นที่สุด
โดยหวังว่าเพื่อนๆ ที่ไม่เคยติดตามเรื่องนี้จะได้เข้าใจ
เล่าเรื่องการแบนสารกำจัดศัตรูพืชสามชนิด สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามรายละเอียด
ผมจะเล่าเท่าที่รู้คือเรื่องสุขภาพ
เรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องการสูญพันธุ์ของผื้ง ผมไม่ชำนาญจึงขอไม่พูดถึง
สำหรับในไทยนั้น บริบทของการใช้สารกำจัดศัตรูพืชคือ
เราไม่สามารถจะควบคุมอะไรได้ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นอายุผู้พ่น การแต่งกายแบบป้องกันสาร เทคนิคการพ่น พื้นที่ใช้ การพ่นก่อนเก็บเกี่ยว
คือใคร ๆ ก็ซื้อมาพ่นได้ทุกคน
ดังนั้นถ้าสารนั้นไม่ OK ก็ต้องแบนเท่านั้น
เพราะเวลาที่ผ่านมา 40-50 ปี ชัดว่าคุมอะไรไม่ได้ ถ้าอนุญาตแล้วคือปล่อยเสรีเลย
ต่างจากในอเมริกาที่สารบางชนิดเช่นพาราควอต ผู้พ่นจะต้องมีใบอนุญาต (license)
ทำไมการแบนจึงยุ่ง
การอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนสารกำจัดศัตรูพืชเป็นแบบ อสมมาตร (Asymmetric) คือ เข้าง่าย ออกยาก
ผลิตภัณฑ์ใหม่สามารถนำมาขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรได้ง่าย
และการขึ้นทะเบียนก็สะดวกและง่าย เช่นเอาเอกสารวิจัยมาแชร์กันได้ระหว่างบริษัทต่างๆ
แต่เวลาเลิกยากมาก
ต้องเสนอคณะกรรมการวัตถุอันตรายให้เปลี่ยนสารนั้นเป็นวัตถุอันตรายประเภท 4
คือห้ามการนำเข้าไปเลย
คณะกรรมการวัตถุอันตราย มีคนจากหลายกระทรวงมากเช่นอุตสาหกรรม สาธารณสุข และกรรมการอิสระ
จึงไม่ค่อยมีทิศทางในการทำงานที่ชัดเจน
ตอนนี้มาดูปัญหาทางด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้อง
การเกิดพิษเฉียบพลัน
การอนุญาตให้คนทั่วไปใช้สารพิษ ที่อันตรายมากนั้น
คนที่ใช้ไม่เป็นก็ได้รับอันตรายได้ ปีละราว 4,000 - 6,000 คน
มีผู้กล่าวว่าคนไข้เหล่านี้กินยาเพื่อฆ่าตัวตาย จริงไหม
ตอบ ไม่จริง เพราะ 4,000 คนนี้มาจากกลุ่ม T60, X48 (กลุ่ม accidental exposure)
ซึ่งไม่รวมฆ่าตัวตาย (T60, X68)
สารที่ก่อให้เกิดการป่วยเหล่านี้คืออะไรบ้าง
ตอบ เป็นยาฆ่าแมลง และยาฆ่าหญ้า ซึ่งไม่ได้เจาะจงเฉพาะสารสามตัวนี้
การเกิดพิษแบบเรื้อรัง
เราไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน ของการเกิดพิษเรื้อรังในไทย
แต่ในต่างประเทศมีงานวิจัยเยอะ เช่น
Chlorpyriphos เป็นยาฆ่าแมลงซึ่งพบตกค้างในพริกและผักบ่อยๆ
งานวิจัยของ Dr.Virginia A. Rauh จาก ม.โคลัมเบีย ซึ่ง
เป็นงานที่ละเอียดและดีที่สุดชิ้นหนึ่ง ได้ทำ fMRI ในเด็กกลุ่มควบคุม
และกลุ่มที่คุณแม่สัมผัสสารนี้ตอนตั้งครรภ์ แล้วพบว่าเด็กกลุ่มสัมผัสมีโครงสร้างของสมองที่เปลี่ยนไป
คือส่วน white matter ใหญ่ขึ้น รวมทั้ง IQ ที่ลดลงด้วย
และยังพบ inward deformations ในสมองส่วนที่เรียกว่า superior frontal gyrus
และยังสัมพันธ์กับระดับของการสัมผัสด้วย (positive dose–response relationship)
อ่านบทความนี้ได้ใน
"Brain anomalies in children exposed prenatally to a common organophosphate pesticide"
Glyphosate เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 2A ซึ่งอาจถือว่าไม่แรงมาก
สารนี้สัมพันธ์กับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่เรียกว่า NHL เท่านั้น
ไม่ใช่สัมพันธ์กับทุกมะเร็ง
สำหรับพิษเรื้อรังของสารนี้ มีการศึกษาเชิงระบาดวิทยาในศรีลังกา
พบว่าสัมพันธ์กับการเกิดโรคไตเรื้อรัง โดยเป็นผลมาจากปฏิกิริยาระหว่าง
Glyphosate กับสารเคมีในน้ำกระด้างและโลหะหนักที่มีพิษต่อไต
Glyphosate, hard water and nephrotoxic metals: are they the culprits behind the epidemic of chronic kidney disease of unknown etiology in Sri Lanka?
แต่น่าเสียดายที่หลังจากศรีลังกาแบนสารนี้ไปแล้ว ก็กลับมาใช้อีกในปี 61
ไม่ใช่เพราะงานวิจัยใหม่ๆ แต่เป็นเพราะมันส่งผลกระทบต่อการปลูกชา
Paraquat ถูกเสนอให้แบนเพราะพิษเฉียบพลันเป็นหลัก
ในเวบไซต์ของศูนย์พิษรามา กล่าวว่า
paraquat มีฤทธิ์กัดกร่อน สามารถกัดผิวหนังและเนื้อเยื่อจนเป็นแผล
และ paraquat จะทำปฏิกิริยากับ oxygen ในร่างกายทำให้เกิด nascent oxygen
ซึ่งไป oxidize เนื้อเยื่อต่างๆ ทำให้เกิดความเสียหาย
ปริมาณที่อาจจะทำให้ถึงแก่ชีวิตคือ ความเข้มข้น 20% ปริมาณ 10-15 ml
Paraquat เป็นพิษ ต่อ ไต ปอด และตับ และยังเป็นสารตัวหนึ่งที่แม้ผู้ป่วยจะรอดไปแล้ว ก็ยังเกิด
ผลกระทบอย่างถาวรได้ เช่นเป็นแผลเป็นที่ปอด
ในอเมริกาแม้แต่ผู้ที่มีใบอนุญาตพ่นก็ยังเสียท่าได้รับพิษ
ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้น
เป็นมุมมองเรื่องการแบนสารเคมีอย่างสั้นที่สุด
โดยหวังว่าเพื่อนๆ ที่ไม่เคยติดตามเรื่องนี้จะได้เข้าใจ