กว่าจะรู้ตัวว่าเป็น "ลิ่มเลือดอุดตันที่ปอด" ก็เกือบจะแย่หล่ะ

ยาคุม กับ อาการลิ่มเลือดอุดตัน 

ปลายปี 2560 วันที่ 29 ธันวาคม วันที่ทุกคนเริ่มทะยอยออกเดินทางท่องเที่ยว กลับบ้านต่างจังหวัด เราก็มีนัดกับเพื่อน ว่าจะไปเดินเล่น คิงพาวเวอร์ ระหว่างขับรถไปทำไมมันแน่นๆหน้าอก หายใจไม่เข้า เหนื่อย จนไม่ไหว โทรหาเพื่อนที่นัดกันให้พาไป รพ. ชื่อดังแถวๆพญาไท เข้าไปแผนก ER ด้วยชีพจร 120 เครื่องวัดชีพจรร้องตลอด คุณหมอมาตรวจ บอกว่าเราใจสั่นเพราะผลข้างเคียงของยาพ่นแก้หอบหืด เรามีโรคประจำตัว คือ หอบหืด หมอให้นอนพัก 1 ชม. แล้วให้กลับบ้านได้ เราขับรถกลับไม่ไหว ต้องให้พี่สาวมารับกลับบ้าน

30 ธันวาคม 2560 นอนพักทั้งวัน แต่ชีพจร 120 เท่าเดิม เหนื่อยมาก ไม่อยากคุย ไม่อยากทานข้าว ปากเริ่มซีด ความดันเริ่มตก ตอนนี้หน้าเป็นกระดาษA4 สีขาวแล้ว เหงื่อเต็มมือ (เอาจริงๆตอนนั้น คือวูบไปพักนึง แล้วเหมือนพยายามเรียกตัวเองให้ตื่นขึ้นมา) ก็ไปเคาะห้องแม่ แม่เห็นท่าไม่ดี รีบพาไป ER รพ.ใกล้บ้าน รพ.นครธน 

หมอมาดูอาการ จับตรวจเลือด วัดคลื่นหัวใจ ให้ยาพ่นขยายปอด และเชิญคุณหมอเฉพาะทางด้านหัวใจมาดูอาการ คุณหมอสงสัย เรามีอาการ "ลิ่มเลือดอุดตันที่ปอด" ส่งเราไป CT Scan ปอด เรากลัวมาก จนต้องขอจับมือบุรุษพยาบาลตอนสแกน ผลออกมา คุณหมอฟันธง เรามีอาการ "ลิ่มเลือดอุดตันที่ปอด" คุณหมอเริ่มซักประวัติ ก็พบว่าน่าจะเกิดจากการที่เราทานยาคุมกำเนิด (ยี่ห้อนึงที่แพงที่สุดในตลาดและฮอร์โมนน้อย ผลข้างเคียงต่ำ) 

เราทานยาคุมกำเนิดนี้มา 4 เดือนพอดี เพื่อรักษาสิวและอาการข้างเคียงของการมีประจำเดือน ทานเดือนแรก ยังมีสิวอยู่บ้าง แต่อาการหงุดหงิด ปวดท้อง ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เดือนที่ 2 สิวเริ่มดีขึ้นไม่มีอักเสบ ไม่ปวดท้อง เดือนที่ 3 หน้าใสเลย แต่เริ่มเป็นตะคริวที่ขาด้านขวา เดินกะเพลก เจ็บขามากๆ 2-3 วันก็ไม่หาย เลยไปนวดจับเส้น ปรากฏก็ไม่ดีขึ้นทันที แต่อีก 2-3 วันก็ไม่เจ็บมากแล้ว เริ่มเดินปกติได้ เดือนที่ 4 เริ่มมีอาการเหนื่อยแล้ว ไม่อยากจะพูด (ปกติเป็นคนพูดมาก) ทานข้าวน้อย เป็นหอบหืดตลอด พ่นยาบ่อยมาก แต่ก็ไม่ไปหาหมอ เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็หาย (มารู้ทีหลังว่าไม่ใช่อาการหอบหืด แต่เป็นเพราะมีลิ่มเลือดที่ปอด)

หลังจากคุณหมอรู้สาเหตุแล้ว ก็ได้ไปนอนในห้อง CCU ฉีดยาละลายลิ่มเลือดที่พุง ให้ยาพ่นขยายหลอดลม ชีพจรวันแรกอยู่ที่ 120 เราเหนื่อยมาก ใช้ชีวิตหลับๆตื่นๆ อยู่ใน CCU เป็นเวลา 4 คืน เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ เค้าท์ดาวน์ในห้อง CCU และตักบาตรบนเตียงคนไข้ เรานอนอยู่ในห้อง CCU ดูอาการจนชีพจร ค่อยๆลดลงมาเรื่อยๆจนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้น ก็ได้ย้ายไปดูอาการห้องธรรมดา 1 คืน ก็ได้กลับบ้าน แต่ต้องทานยาละลายลิ่มเลือดต่ออีก 3 เดือน ช่วงอาทิตย์แรกที่กลับบ้านเหนื่อยมาก ไปอยู่ในสถานที่ที่อากาศไม่ถ่ายเท อ๊อกซิเย่นน้อยไม่ได้เลย

ผ่านไปได้ 1 เดือน อาการเหนื่อยเริ่มดีขึ้นและประจำเดือนมาครั้งแรกหลังจากทานยาละลายลิ่มเลือด ปรากฏเลือดออกเยอะผิดปกติ เป็นลิ่มใหญ่มากๆ เยอะมาก จนซีด ชีพจรเต้นเร็ว เหนื่อย หายใจไม่ออก ก็เลยไป รพ. คุณหมอคลำหน้าท้องตรวจเจอก้อนเนื้องอกที่มดลูก ขนาด 7 ซม. คุณหมอสูติ ที่ตรวจแนะนำให้ผ่าออกเลย แต่คุณหมอที่ดูแลเราเรื่องปอด บอกว่ามันอันตรายเกินไปที่จะผ่าออกตอนนี้ ร่างกายเราอาจจะไม่ไหว ควรรอให้ทานยาละลายลิ่มเลือดให้คบโดสก่อนแล้วค่อยผ่า คือ อีก 2 เดือน ระหว่างนี้คือต้องฉีดฮอรโมนเพื่อให้เลือดไม่ไหลไปก่อน 

ระหว่างรอ 2 เดือน มันทรมานมาก สิ่งที่กลัวที่สุดในชีวิต คือ เราต้องผ่าหน้าท้อง เหมือนคนคลอดลูก (ที่ไม่ได้ผ่าแบบส่องกล้อง เนื่องจากเนื้องอกมีขนาดใหญ่แล้ว และอยู่ในมดลูก ซึ่งถ้าส่องกล้องอาจใช้เวลานานมากและอันตรายกว่า) ช่วงนี้คือมีความหวังว่าอยากให้เนื้องอกเล็กลงไปเอง อ่านทุกเวบ (ไทยและเทศ) เกี่ยวกับการยุบของเนื้องอกมดลูก บ้างว่าให้ทานมังสวิรัติ บ้างว่าให้ทานแต่น้ำผัก อย่าเครียด ให้นั่งสมาธิ เราทำหมดทุกอย่าง ผ่านไป 1 เดือน ไปตรวจอีกรอบ ปรากฏเนื้องอกใหญ่ขึ้นอีก เนื่องจากการฉีดฮอร์โมน จาก 7 ซม. เป็น 10 ซม. ใหญ่จนเหมือนผู้หญิงท้อง 3-4 เดือน เครียดมาก แต่พยายามสวดมนต์ทุกคืน เพื่อให้ตัวเองมีสมาธิและไม่เครียดจนเกินไป หลังจากรู้ว่า เนื้องอกใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เรากลับมากินปกติ เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการผ่าตัด ในวันที่ 10 พค. 2561 

ก่อนการผ่าตัด คุณหมอให้เอ็กซเรย์ปอด ทำ CT Scan ตรวจเลือดหาสาเหตุการอุดตันของลิ่มเลือด ผลออกมาคือ เราพร้อมผ่าได้แล้ว ลิ่มเลือดหมดแล้ว และโชคดีอีกอย่าง คือ ได้ผ่าตัดที่ รพ.จุฬา กับคุณหมอแพทย์หญิง ท่านหนึ่งที่ใจดีมาก อ่อนโยน ปลอบใจ และดูแลเป็นอย่างดี คุณหมอบอกว่าการผ่าตัดยากลำบากพอสมควร เพราะก้อนเนื้อตอนนี้น่าจะใหญ่สักประมาณ 12-13 ซม. ได้และมีพังผืดติด ต้องค่อยๆเลาะออก แต่การผ่าตัดก็ผ่านไปได้ด้วยดี ก้อนเนื้อที่ผ่าออกมาใหญ่มาก และหน้าตาดูไม่ดี คุณหมอเลยส่งไปตรวจว่ามีเชื้อมะเร็งไหม  10 วันผ่านไปได้ผลตรวจ ดีใจมาก ไม่มีเชื้อมะเร็ง 

ครั้งนี้ได้บทเรียนชีวิตมา 3-4 ข้อ

1) ควรตรวจร่างกายทุกปี (เพราะถ้าเจอก้อนเนื้อแต่เนิ่นๆ อาจไม่ต้องผ่าตัดก็ได้ เราเคยกลัวการตรวจร่างกาย ปัจจุบันตรวจทุกปี)
2) อย่าซื้อยามาทานเอง ผลลัพธ์อาจร้ายแรงกว่าที่คิด (ตอนนอน ER แล้วคุณหมอแจ้งว่าเป็น ลิ่มเลือดอุดตันที่ปอด พยาบาลบอกว่า มีเคสแบบน้องมาเยอะ ทานยาคุมมา แล้ว ลิ่มเลือดอุดตันที่สมองก็มี ลิ่มเลือดอุดตันหัวใจก็มี น่ากลัวมาก
3) ต้องออมเงินไว้บ้าง เราอาจป่วยไข้ ได้เมื่อไหร่ไม่รู้ 
4) ชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอน เราไม่มีวันรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น หมั่นทำคุณงามความดี กับคนใกล้ชิดรอบตัว ให้สักวันนึง ถ้าเราไม่อยู่แล้ว พวกเค้าจะคิดถึงเราในแง่ดีๆ  

ขอบคุณที่สละเวลามาอ่านกันนะค่ะ ขอให้สุขภาพดีกันทุกคนค่ะ
^ ^ 
 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่