อารมณ์แบบที่ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข หัวหน้าค่ายภูมิใจไทย บอสใหญ่ยักษ์ก่อสร้างยี่ห้อ “ซิโน–ไทยฯ” โพสต์เฟซบุ๊ก “ออกตัวล้อฟรี” ชีวิตดีแล้ว มั่นคงมาก ไม่ต้องเอื้อธุรกิจครอบครัว
โชว์โปร่งใสไร้ “conflict of interest” ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน กู้กระแสตัวถ่วงอีอีซี จากการไล่ขย่มเมกะโปรเจกต์รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รื้อประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ฟันงานเมืองการบินอู่ตะเภา
ห้าวเป้งลุยดะ ไม่สนเจ้าสัว เส้นใหญ่ เส้นเล็ก
พร้อมๆกับจังหวะปั่นแต้มหน้าตัก “เสี่ยหนู” เล่นบทพระเอกเดินหน้า “แบน 3 สารพิษ” ถึงขั้นท้าเดิมพันเก้าอี้ 3 รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย “ฮาราคีรี” แน่ถ้าแบนพาราควอตไม่สำเร็จ
ถูกอกถูกใจ โดยเฉพาะกองเชียร์สายเกรียนโซเชียลฯ
ซึ่งนั่นมันน้อยมาก ถ้าเทียบกับเดิมพันอันตราย ตามเสียงทักนิ่มๆ แต่ต้องหันขวับ กับช็อตที่ “โคตรอ๋อง” กฎหมายปราบคอร์รัปชันอย่างนายแก้วสรร อติโพธิ อดีตกรรมการ คตส. หัวขบวนไล่ล่าขุมทรัพย์ “ทักษิณ” เปิดคอร์สเลกเชอร์ จัดถามตอบปมผลประโยชน์ทับซ้อนของ “เสี่ยหนู” เป็น “การเฉพาะเจาะจง”
ตามรายละเอียดใน
www.thaipost.net และ
เว็บไซต์สำนักข่าวอิศราฯ
สรุปสั้นๆ “แก้วสรร” ฟันธงว่า ในฐานะรองนายกฯ กำกับกระทรวงคมนาคม ถึงจะถือหุ้นบริษัทกงสีไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ พ้น “เงี่ยง” กฎหมาย ป.ป.ช. แต่ไม่พ้น “เหลี่ยม” รัฐธรรมนูญอยู่ดี
อดีต คตส.คนดังชี้ ถ้ากงสีของ “เสี่ยหนู” ประมูลเมกะโปรเจกต์รัฐบาลได้ ในลักษณะที่เอกชนมีเอี่ยวในการบริหารจัดการระยะยาว ก็เตรียมตัวเสียวได้ หนีไม่พ้นปมผลประโยชน์ทับซ้อน
ได้อ่านเลกเชอร์เซียนกฎหมายปราบคอร์รัปชัน “อนุทิน” น่าจะร้อนๆหนาวๆ
แต่คนที่เสียวสันหลังวาบเลย ก็คือ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ถ้าปล่อยให้เกิดปมผลประโยชน์ทับซ้อน ทั้งๆที่มือกฎหมายปราบคอร์รัปชันเลกเชอร์แล้ว ส่อลอยตัวลำบาก
เพราะไม่ใช่แค่จิ้งจกทัก แต่มันคือตุ๊กแกยักษ์ ร้องเตือนดังๆ.
วิบาก "ตี๋คาบช้อนทอง"
ยิ่งใกล้เป็นไปตามที่อาจารย์แก้วสรรได้วิเคราะห์ไว้ในบทความ และให้พึ่งระวังอันตรายจากการถือประโยชน์ทับซ้อน เพราะล่าสุด ทางกลุ่ม BBS ที่เป็นผู้ชนะในซองที่ 3 (ซองด้านราคา) ในโครงการประมูลสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก ที่มีบริษัท ซิโน-ไทย จำกัด ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการประมูลไปได้
พบว่าท่านรองนายกฯ ถือหุ้นของซิโนไทยไว้ 4.6% ซึ่งถือไม่ถึง 5% ก็สามารถเล่นการเมืองได้ โดยไม่ต้องกลัวกฎหมาย ปปช.
ล่าสุดจากข่าวที่ที่รัฐมนตรีคมนาคม คุณศักดิ์สยาม ชิดชอบ พยายามยกเลิก
โครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในรถไฟฟ้าสีส้ม คือเปลี่ยนชนิดสัญญามาให้เป็นสัญญาจ้างเอกชนรับเหมาก่อสร้างและขายระบบให้ รฟม.เท่านั้น ก็จะทำให้ซิโน-ไทยสามารถเข้าประมูลโครงการฯ ได้ แต่ถ้ายังเป็นโครงการ PPP ตามรูปแบบเดิมอยู่ หากซิโน-ไทย เข้าร่วม และประมูลได้ มีโอกาสที่รัฐมนตรีอนุทิน จะมีปัญหาคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแน่นอน
" เนื่องจากถือหุ้นซิโนไทยแค่ 4.6 % เท่านั้น แต่ถ้าดูรัฐธรรมนูญด้วย เขาก็จะเห็นปัญหาคุณสมบัติในทันที
ว่าซิโนไทยยุ่งกับสัมปทาน หรือ PPP ของ อีอีซี ไม่ได้เลย "
ดังนั้น หากกลุ่ม BBS ชนะการประมูลโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาจริง คนไทยเราอาจจะได้เห็นท่านรองฯ อนุทินเทขายหุ้น 4.6% ของซิโน-ไทยทิ้งก่อนวันลงนามก็ได้ อยู่ที่ว่าคำพูดที่เคยพูดไว้ชัดเจนเมื่อวันก่อนจะกลับมาเตือนตัวเองได้เมื่อไหร่ก็เท่านั้นเอง
หรือจะเป็น "คดีขายที่ดินรัชดา 2" เหมือนอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ก็เป็นได้ ....
... ผลประโยชน์ทับซ้อน ... ไม่พูดเยอะ เจ็บลิ้นไก่
โชว์โปร่งใสไร้ “conflict of interest” ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน กู้กระแสตัวถ่วงอีอีซี จากการไล่ขย่มเมกะโปรเจกต์รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน รื้อประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ฟันงานเมืองการบินอู่ตะเภา
ห้าวเป้งลุยดะ ไม่สนเจ้าสัว เส้นใหญ่ เส้นเล็ก
พร้อมๆกับจังหวะปั่นแต้มหน้าตัก “เสี่ยหนู” เล่นบทพระเอกเดินหน้า “แบน 3 สารพิษ” ถึงขั้นท้าเดิมพันเก้าอี้ 3 รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย “ฮาราคีรี” แน่ถ้าแบนพาราควอตไม่สำเร็จ
ถูกอกถูกใจ โดยเฉพาะกองเชียร์สายเกรียนโซเชียลฯ
ซึ่งนั่นมันน้อยมาก ถ้าเทียบกับเดิมพันอันตราย ตามเสียงทักนิ่มๆ แต่ต้องหันขวับ กับช็อตที่ “โคตรอ๋อง” กฎหมายปราบคอร์รัปชันอย่างนายแก้วสรร อติโพธิ อดีตกรรมการ คตส. หัวขบวนไล่ล่าขุมทรัพย์ “ทักษิณ” เปิดคอร์สเลกเชอร์ จัดถามตอบปมผลประโยชน์ทับซ้อนของ “เสี่ยหนู” เป็น “การเฉพาะเจาะจง”
ตามรายละเอียดใน www.thaipost.net และเว็บไซต์สำนักข่าวอิศราฯ
สรุปสั้นๆ “แก้วสรร” ฟันธงว่า ในฐานะรองนายกฯ กำกับกระทรวงคมนาคม ถึงจะถือหุ้นบริษัทกงสีไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ พ้น “เงี่ยง” กฎหมาย ป.ป.ช. แต่ไม่พ้น “เหลี่ยม” รัฐธรรมนูญอยู่ดี
อดีต คตส.คนดังชี้ ถ้ากงสีของ “เสี่ยหนู” ประมูลเมกะโปรเจกต์รัฐบาลได้ ในลักษณะที่เอกชนมีเอี่ยวในการบริหารจัดการระยะยาว ก็เตรียมตัวเสียวได้ หนีไม่พ้นปมผลประโยชน์ทับซ้อน
ได้อ่านเลกเชอร์เซียนกฎหมายปราบคอร์รัปชัน “อนุทิน” น่าจะร้อนๆหนาวๆ
แต่คนที่เสียวสันหลังวาบเลย ก็คือ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ถ้าปล่อยให้เกิดปมผลประโยชน์ทับซ้อน ทั้งๆที่มือกฎหมายปราบคอร์รัปชันเลกเชอร์แล้ว ส่อลอยตัวลำบาก
เพราะไม่ใช่แค่จิ้งจกทัก แต่มันคือตุ๊กแกยักษ์ ร้องเตือนดังๆ.
วิบาก "ตี๋คาบช้อนทอง"
ยิ่งใกล้เป็นไปตามที่อาจารย์แก้วสรรได้วิเคราะห์ไว้ในบทความ และให้พึ่งระวังอันตรายจากการถือประโยชน์ทับซ้อน เพราะล่าสุด ทางกลุ่ม BBS ที่เป็นผู้ชนะในซองที่ 3 (ซองด้านราคา) ในโครงการประมูลสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก ที่มีบริษัท ซิโน-ไทย จำกัด ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการประมูลไปได้
พบว่าท่านรองนายกฯ ถือหุ้นของซิโนไทยไว้ 4.6% ซึ่งถือไม่ถึง 5% ก็สามารถเล่นการเมืองได้ โดยไม่ต้องกลัวกฎหมาย ปปช.
ล่าสุดจากข่าวที่ที่รัฐมนตรีคมนาคม คุณศักดิ์สยาม ชิดชอบ พยายามยกเลิกโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในรถไฟฟ้าสีส้ม คือเปลี่ยนชนิดสัญญามาให้เป็นสัญญาจ้างเอกชนรับเหมาก่อสร้างและขายระบบให้ รฟม.เท่านั้น ก็จะทำให้ซิโน-ไทยสามารถเข้าประมูลโครงการฯ ได้ แต่ถ้ายังเป็นโครงการ PPP ตามรูปแบบเดิมอยู่ หากซิโน-ไทย เข้าร่วม และประมูลได้ มีโอกาสที่รัฐมนตรีอนุทิน จะมีปัญหาคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญแน่นอน