แชร์ประสบการณ์ขอวีซ่าท่องเที่ยวอังกฤษ ฉบับขอครั้งแรก & ไปเที่ยวคนเดียว (UK Visitor VISA)

วันนี้จะมารีวิวการขอวีซ่าท่องเที่ยวอังกฤษ (UK Standard Visitor Visa 6 months) รอบ ก.ย. 2019
ฉบับขอครั้งแรก ไปเที่ยวคนเดียว ไม่มี Sponsor ค่ะ 
 
 
เม่าอ่าน Part 1/4 – มาเตรียมเอกสารกัน
 
ก่อนอื่นขอเกริ่น Background จขกท.นิดนึง นะคะ

- ทำงานประจำมา 3 ปีกว่าๆ องค์กรค่อนข้างมั่นคง
- เงินเดือนประมาณ 3x,xxx
- Statement เงินฝาก 1xx,xxx บาท
- Statement เงินปอนด์ 1x,xxx บาท (แปลงเป็นบาท)
- ไม่มีภาระกู้หรือผ่อน
- ระบุขอไปเที่ยวประมาณ 10 วัน

ซึ่งจขกท. ดำเนินการขอเอง ไม่ได้ใช้บริการ Agency นะคะ
 

ขั้นตอนการเตรียมเอกสาร (แบบไม่ละเอียด)
 
ปกติเมื่อดำเนินการกรอกข้อมูลส่วนตัวในหน้าเว็บ Gov.uk ไปจนจบขั้นตอนจ่ายเงินแล้ว จะมีลิงค์ให้ดาวน์โหลด Document Checklist ค่ะ หน้าตาจะมี Barcode บนมุมขวาบน ให้กดโหลดออกมา 
 
ในเอกสารนี้จะมี Checklist เอกสารสำคัญที่เราต้องเตรียมค่ะ เช่น Information about your visit, Current Employment, Money (either income or savings), Home address, Evidence of assets and additional information 
 
และถ้าเลือกจองวันทำวีซ่าแล้ว อย่าลืม Print เอกสารนัดหมาย (หน้าตาคล้ายๆใบเสร็จ) เพื่อเอาไปยื่นวันจริงค่ะ
ใน Checklist แต่ละหัวข้อ ก็มีเอกสารที่ต้องเตรียมค่อนข้างเยอะค่ะ (จขกท. อาจลำดับเอกสารไม่เป๊ะตามหัวข้อนะคะเพราะมันเยอะมากก แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ วันที่ไปยื่นเอกสาร จนท.เค้าจะช่วยเรียงตามหมวดให้อีกที) – เอกสารสำคัญที่ต้องมี ได้แก่..
 
1) Information about your visit
 
Flight detail  : สามารถจองไฟล์ทบินกับ tour agency ได้ค่ะ บอกเค้าว่าขอใบจองเพื่อเอาไปทำวีซ่า สำคัญคือต้องระบุตามวันเวลาที่ตรงกับช่วงที่เรากรอกในเว็บ Gov.uk ว่าจะไปกลับเมื่อไร

Accommodation : ใบจองที่พัก ตามแพลนว่าวันนี้เราจะไปเมืองไหน พักที่ไหน ส่วนนี้จองกับ Agoda ก็ได้ค่ะ เพื่อประกอบตัว cover letter ด้วย

Cover letter : หรือจดหมายแนะนำตัวนะคะ ส่วนตัวคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นการแสดงความจริงใจว่าเราจะไปเที่ยวจริงๆ โดยในเนื้อความ สามารถตามตัวอย่างในเว็บที่เค้าขอเซงเก้นวีซ่าได้ค่ะ ที่สำคัญคือ กรณีทำงานประจำจะต้องระบุว่าช่วงที่เราไปได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานแล้ว (ถ้าต้องลางาน) ซึ่งต้องแนบใบลาเป็นทางการของบริษัทมาด้วย และในนี้ควรเขียนแผนการเที่ยวของเราในแต่ละวันให้ชัดเจน ระบุวันไปกลับให้ชัดเจนด้วย

ประกันการเดินทาง : จำได้ว่าเค้าไม่ระบุค่ะ แต่เคยอ่านเจอว่าควรซื้อตามระยะเวลาที่เราจะไป และวงเงินประกัน 2 ล้านบาทขึ้นไป (จขกท. ซื้อไป 7 วัน ราคารวม 6 ร้อยกว่าบาทเองค่ะ) 
 

2) Current Employment

Letter of employment :  หรือใบรับรองการทำงานที่ออกอย่างเป็นทางการจากบริษัท ระบุว่าเราเริ่มงานเมื่อไร ตำแหน่งอะไร เงินเดือนเท่าไร

Leave certificate :  หรือจดหมายลาอย่างเป็นทางการจากบริษัท ควรระบุระยะเวลาที่ลา ตั้งแต่วันไหนถึงวันไหน และเราจะกลับมาทำงานในวันไหน (ส่วนตัวคิดว่า Part นี้สำคัญมาก ในการยืนยันความบริสุทธิ์ใจว่าเราจะไม่หนีเข้าไปหางานทำในประเทศเค้า)

Slip เงินดือน 6 เดือนย้อนหลังเป็นทางการจากบริษัท

Slip กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่หักจากเงินเดือนทุกเดือน ถ้าบริษัทมีกองทุนสำรองฯ ก็หา slip ย้อนหลัง 6 เดือนมาเผื่อด้วยค่ะ

สำเนาบัตรพนักงาน หน้าหลัง และฟอร์มเวอร์ชั่นแปลเป็นภาษาอังกฤษ – อันนี้ จขกท.เพิ่มไปเองค่ะ เพื่อยืนยันอีกทางว่าเราทำงานที่หน่วยงานนี้จริงๆ ซึ่งอันนี้ จขกท. แปลเป็นภาษาอังกฤษเอง ทำรูปเอง และอย่าลืมเซนต์กำกับด้วยนะคะ (ตัวอย่างจะคล้ายๆ กับฟอร์มแปลบัตรประชาชนเป็นอังกฤษของกงศุลไทย http://www.consular.go.th/main/th/form/1421/page-2.html )
 

3) Money (either income or savings)

หน้าแรกสมุดบัญชีที่เงินเดือนเข้า (อันนี้จะขอ Bank Certificate ด้วยก็ได้ แต่ จขกท.ไม่ได้ขอ)

Bank Statement 6 เดือนย้อนหลังของบัญชีที่เงินเดือนเข้า ที่ออกโดยธนาคารเจ้าของบัญชี

หน้าแรกของสมุดบัญชีเงินฝาก ที่มีการเดินบัญชีประจำ เช่น ฝากทุกเดือน เดือนละ 8,000 ส่วนเรื่องยอดเงินคงเหลือ ควรมีมากพอสำหรับการใช้จ่ายตลอดทริป รวมค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าโรงแรม และค่ากินอยู่ค่ะ ซึ่งตอนที่กรอกข้อมูลลง Gov.uk เค้าจะให้เราประมาณ คชจ.ตลอดทริปเป็นปอนด์อยู่แล้ว

Bank certificate ของบัญชีเงินฝาก ที่ออกโดยธนาคารเจ้าของบัญชี 

Bank Statement 6 เดือนย้อนหลังของบัญชีเงินฝาก ที่ออกโดยธนาคารเจ้าของบัญชี

หลักฐานการลงทุนใน กองทุน หุ้น หรือสินทรัยพ์ทางการเงินอื่นๆ ก็เอามาแสดงด้วยค่ะ เผื่อไว้ๆ
 
ข้อควรระวัง 
จากที่ไปอ่านรีวิวหลายๆท่านมาในส่วนของ Money คือ การใส่เงินเข้ามาเป็นก้อนใหญ่ๆ ทีเดียวก่อนจะไปทำวีซ่าค่ะ คือ ถ้ามี ก็ควรทำจดหมายด้วยว่าเป็นเงินจากไหน เช่น ถ้าได้สปอนเซอร์จากคุณพ่อคุณแม่ก็ควรเขียนจดหมายชี้แจงด้วย เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกปฏิเสธเพราะไม่ทราบแหล่งที่มาของเงินค่ะ (แต่ จขกท.ไม่มีเงินก้อนใหญ่แบบนี้เข้ามาค่ะ เลยไม่มีจดหมายชี้แจง )
 

4) Home address

ทะเบียนบ้าน : สำเนาะเบียนบ้านตัวจริง และแปลเป็นฟอร์มภาษาอังกฤษ ตามลิงค์นี้ (http://www.consular.go.th/main/th/form/1421/page-2.html) อย่าลืมเซนต์กำกับด้วยค่ะ

Property deed/ mortgage statement : เอกสารแสดงว่าเราเป็นเจ้าของบ้านที่อยู่ในทะเบียนบ้าน (ถ้ามี) เช่น โฉนดที่ดิน หรือ ใบแสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ 

สำเนาบัตรประชาชนตัวเอง ภาษาไทย และแปลเป็นฟอร์มภาษาอังกฤษ ตามลิงค์ข้างบน
สำเนา Passport ทุกหน้า ของทุกเล่มที่มี

 
5) Evidence of assets

Property deed/ mortgage deed/ land deed : สำเนาเอกสารแสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในสินทรัยพ์อื่นๆ เช่า มีที่ดิน มีบ้านอีกที่ โดยต้องแปลเป็นฟอร์มภาษาอังกฤษค่ะ จขกท.ก็เอาโฉนดมานั่งแปลเอง ทำรูปเอง ซึ่งตัวอย่างการแปลโฉนด Search ใน Google ได้ค่ะ มีคนเคยทำไว้
 
เอกสาร evidence of assets ก็สำคัญค่ะ แต่ไม่ได้ซีเรียสว่าไม่มีแล้วจะแย่นะคะ เพียงแค่มันแสดงถึงภาระผูกพันที่เราต้องกลับมาไทย ให้ดูมีน้ำหนักค่ะ แต่ย้ำว่าไม่มีก็ไม่เป็นไรค่ะ

 
6) Additional documents

สำเนาบัตรประชาชนคุณพ่อคุณแม่ หรือคนในครอบครัว ที่เป็นภาษาไทย และฟอร์มที่แปลเป็นอังกฤษ 

สำเนาทะเบียนบ้านคุณพ่อคุณแม่ หรือคนในครอบครัว ที่เป็นภาษาไทย และฟอร์มที่แปลเป็นอังกฤษภาษาค่ะ
เพื่อแสดงภาระผูกพันว่าเรามีครอบครัวที่ไทย 

ถ้าเรียนจบแล้ว ก็แนบหลักฐานจบการศึกษาไปด้วยค่ะ แบบเป็นภาษาอังกฤษนะคะ (จริงๆ หลักฐานการศึกษา ถ้าไม่มีคงไม่ซีเรียสค่ะ แต่เราเตรียมไปเผื่อด้วย)

ถ้ายังเรียนไม่จบ ควรขอหลักฐานการศึกษาจากมหาวิทยาลัย/โรงเรียน เป็นภาษาอังกฤษ และถ้าให้ดี ให้มหาวิทยาลัยออกใบรับรองว่าเราเป็นนิสิต และถ้าจะให้ดีมาก คือให้เขียนมาเลยว่าหลังจบทริปเราจะกลับมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยค่ะ

การเซนต์รับรองความถูกต้องเอกสาร
- เอกสารที่เป็นสำเนาทุกฉบับ ต้องเซนต์รับรองเป็นภาษาอังกฤษ / This is a true copy of the original แล้วลงชื่อ-นามสกุล ภาษาอังกฤษกำกับ
-เอกสารที่แปลเป็นฟอร์มภาษาอังกฤษ ต้องเซนต์รับรองว่าแปลถูกต้อง / Certified Correct Translation แล้วลงชื่อ-นามสกุล ภาษาอังกฤษกำกับ
 
 
 
เม่าดี๊ด๊า Part 2/4 – ไปทำวีซ่ากันเถอะ
 
วีซ่าอังกฤษจะทำผ่าน Agency ที่ชื่อ VFS Thailand ที่อาคารเทรนดี้ สุขุมวิทซอย 13
 
เดินทางโดยลง BTS สถานีนานา ทางออก 3 เดินตรงทางเชื่อมไป ลงบันได และเข้าซอยสุขุมวิท 13 ค่ะ
 
จขกท. นัดเวลาไว้รอบเช้าสุด คือ 8.30 และไปรอตั้งแต่ 7.30 ค่ะ พบว่ามีคนมารออยู่เยอะพอสมควรเลย เนื่องจากออฟฟิศของ VFS จะรับทำวีซ่าของประเทศในยุโรปอื่นๆด้วย แยกตาม Floor ไปค่ะ แนะนำให้เผื่อเวลาเดินทางนิดนึงค่ะ
 
เมื่อไปถึงแล้วก็นั่งรอใกล้ๆลิฟท์ เพื่อรอเจ้าหน้าที่เรียกขึ้น ถ้าไม่มั่นใจเรื่องเวลาว่าถึงรอบตัวเองแล้วยังก็ถามเค้าได้ค่ะ
 
 
 
เม่าหอยทาก Part 3/4 – ยื่นเอกสารกันเถอะ
 
เมื่อขึ้นไปถึงออฟฟิศ VFS ชั้น 28 แล้ว จะเดินผ่านเครื่องแสกนก่อน และไม่อนุญาตให้เอาน้ำหรืออาหารเข้าไปนะคะ
 
เมื่อผ่านเครื่องแสกนเข้าประตูไป จะเห็นเคาน์เตอร์ยื่นเอกสารทางขวามือที่มีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่สองท่าน ให้ยื่นใบนัดหมายตรงช่อง UK Visa ค่ะ จากนั้นเจ้าหน้าที่จะให้ใบปะหน้าเอกสาร เพื่อเอาไปเรียง โดยใบปะหน้าจะต้องอยู่หน้าเอกสารแต่ละหมวด 
 
เมื่อเรียเอกสารเสร็จแล้วให้ไปต่อเคาท์เตอร์ยาวๆ ด้านซ้ายมือของห้อง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบการเรียงเอกสาร และตรวจว่าเอกสารครบมั้ย 
เมื่อเรียบร้อยแล้วเจ้าหน้าที่จะให้บัตรคิว และเราจะเข้าไปอีกห้องนึงเพื่อรอเรียกคิวยื่นเอกสารทั้งหมด ถ่ายรูปและแสกนลายนิ้วมือค่ะ (Biometric)
 
Tips : เอกสารทั้งหมดองเราควรแสกนเป็น PDF แล้วส่งเข้าเมล์ให้หมด เผื่อกรณีลืมปรินท์เอกสารไป  หรือแสกนเอกสารเข้าระบบทั้งหมดตั้งแต่ตอนกรอกข้อมูลใน Gov.uk 
 
ปล. กรณีไม่ได้แสกนเอกสารเข้าระบบไว้ก่อน ก็ไม่ต้องกังวลค่ะ วันนัดจริงสามารถให้เจ้าหน้าที่ VFS แสกนเอกสารเข้าระบบให้เราได้เหมือนกัน แต่จะมีค่าใช้จ่ายนิดหน่อยค่ะ
 
 
 
 
เม่าบัลเล่ต์ Part 4/4 – มาลุ้นกัน
 
 
ผลจากการเตรียมเอกสารอย่างรัดกุมก็ทำให้ได้วีซ่ามาแล้วค่ะ  เย้
 
ยอมรับว่าแม้จะมั่นใจว่าเตรียมเอกสารสำคัญครบ และ Clarify ข้อมูลทุกอย่างด้วยความสัตย์จริงแล้ว แต่ยังแอบลุ้นๆ ค่ะ 
รวมๆ แล้ว จขกท.ใช้เวลาประมาณ 12 วันทำการก็ได้รับวีซ่าแปะมาในเล่ม Passport ค่ะ โดยครั้งนี้เลือกเป็นแบบส่งพัสดุมาที่บ้าน
 
 
 
ก็จบไปแล้วนะคะ สำหรับการขอวีซ่าอังกฤษ คิดว่าอาจจะมีประโยชน์แก่เพื่อนๆ ไม่มากก็น้อยค่ะ
ถ้าตกหล่นตรงไหนไป คอมเม้นเพิ่มเติมได้นะคะ
 
 
ขอบคุณค่ะ ยิ้ม 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่