ตั้งกระทู้ ในหมวดกระทู้คำถาม
เพื่อให้สมาชิกทุกท่านส่งความเห็นได้
***********************************
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=31&A=10812&Z=10974
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓
ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
ปัญญาวรรค วิปัสสนากถา
สาวัตถีนิทานบริบูรณ์
[๗๓๑] ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นสังขาร
ไรๆ โดยความเป็นของเที่ยงอยู่
จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้ไม่
เป็นฐานะที่จะมีได้
ผู้ไม่ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม
ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
เมื่อไม่ย่างลงสู่สัมมัตตติยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดา-
*ปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ
พิจารณาเห็นสังขารทั้งปวงโดยความเป็นของไม่
เที่ยงอยู่
จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขัติน ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้
ผู้ประกอบ
ด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้
ผู้ย่างลงสู่
สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล
หรืออรหัตผล ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ฯ
[๗๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ
พิจารณาเห็นสังขารไรๆ
โดยความเป็นสุข
จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ
ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ผู้ไม่ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่
จะมีได้
เมื่อไม่ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล
อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นสังขารทั้งปวงโดยความเป็นทุกข์อยู่
จักเป็นผู้ประกอบ
ด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ
จักย่างลงสู่
สัมมัตตนิยาม ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม
จักทำให้แจ้งซึ่ง
โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้เป็นฐานะที่
มีได้ ฯ
[๗๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ
พิจารณาเห็นธรรมไรๆ
โดยความเป็นอัตตาอยู่
จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ
ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่
จะมีได้ ผู้ไม่ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม ข้อนี้ไม่เป็น
ฐานะที่จะมีได้
เมื่อไม่ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล
สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ
พิจารณาเห็นธรรมไรๆ โดยความเป็นอนัตตาอยู่
จักเป็น
ผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ
จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม
จักทำ
ให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้เป็น
ฐานะที่มีได้ ฯ
[๗๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นนิพพานโดย
ความเป็นทุกข์อยู่
จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ผู้ไม่ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมี
ได้
เมื่อไม่ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล
อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
นั้นหนอ พิจารณาเห็นนิพพานโดยความเป็นสุขอยู่ จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลม
ขันติ ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม
ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล
สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ฯ
[๗๓๕] ภิกษุย่อมได้อนุโลมขันติด้วยอาการเท่าไร ย่างลงสู่สัมมัตต
นิยามด้วยอาการเท่าไร ภิกษุย่อมได้อนุโลมขันติด้วยอาการ ๔๐ ย่างลงสู่สัมมัตต
นิยามด้วยอาการ ๔๐ ฯ
ภิกษุย่อมได้อนุโลมขันติด้วยอาการ ๔๐ เป็นไฉน ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม
ด้วยอาการ ๔๐ เป็นไฉน ฯ
ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ๑ เป็นทุกข์ ๑
เป็นโรค ๑ เป็นดังหัวฝี ๑ เป็นดังลูกศร ๑ เป็นความลำบาก ๑ เป็นอาพาธ ๑
เป็นอย่างอื่น ๑ เป็นของชำรุด ๑ เป็นเสนียด ๑ เป็นอุบาทว์ ๑ เป็นภัย ๑
เป็นอุปสรรค ๑ เป็นความหวั่นไหว ๑ เป็นของผุพัง ๑ เป็นของไม่ยั่งยืน ๑
เป็นของไม่มีอะไรต้านทาน ๑ เป็นของไม่มีอะไรป้องกัน ๑ เป็นของไม่เป็น
ที่พึ่ง ๑ เป็นของว่าง ๑ เป็นของเปล่า ๑ เป็นของสูญ ๑ เป็นอนัตตา ๑ เป็น
โทษ ๑ เป็นของมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ๑ เป็นของหาสาระมิได้ ๑ เป็น
มูลแห่งความลำบาก ๑ เป็นดังเพชฌฆาต ๑ เป็นความเสื่อมไป ๑ เป็นของ
มีอาสวะ ๑ เป็นของอันปัจจัยปรุงแต่ง ๑ เป็นเหยื่อแห่งมาร ๑ เป็นของมีความ
เกิดเป็นธรรมดา ๑ เป็นของมีความแก่เป็นธรรมดา ๑ เป็นของมีความป่วยไข้
เป็นธรรมดา ๑ เป็นของมีความตายเป็นธรรมดา ๑ เป็นของมีความเศร้าโศกเป็น
ธรรมดา ๑ เป็นของมีความร่ำไรเป็นธรรมดา ๑ เป็นของมีความคับแค้นใจเป็น
ธรรมดา ๑ เป็นของมีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา ๑
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์
โดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมได้อนุโลมขันติ
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับ
แห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเที่ยง ย่อมย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม
เมื่อพิจารณาเห็น
เบญจขันธ์โดยความเป็นทุกข์ ย่อมได้อนุโลมขันติ
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความ
ดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นสุข ย่อมย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม
เมื่อพิจารณา
เห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นโรค ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์
เป็นนิพพานไม่มีฝี ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นดังลูกศร ...
เมื่อ
พิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีลูกศร ...
เมื่อพิจารณา
เห็นเบญจขันธ์โดยความลำบาก ... เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์เป็น
นิพพานไม่มีความลำบาก ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอาพาธ ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์ เป็นนิพพานไม่มีอาพาธ ...
เมื่อ
พิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอื่น ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่ง
เบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีสิ่งอื่นเป็นปัจจัย ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดย
ความเป็นของชำรุด ... เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่
มีความชำรุดเป็นธรรมดา ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นเสนียด ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีเสนียด ...
เมื่อ
พิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอุบาทว์ ... เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่ง
เบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีอุบาทว์ ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็น
ภัย ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานอันไม่มีภัย ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอุปสรรค ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความ
ดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีอุปสรรค ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดย
ความเป็นของหวั่นไหว ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็น
นิพพานไม่มีความหวั่นไหว ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของ
ผุพัง ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความ
ผุพัง ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่ยั่งยืน ... เมื่อพิจารณา
เห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานมีความยั่งยืน ...
เมื่อพิจารณาเห็น
เบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่มีอะไรต้านทาน ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับ
แห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นที่ต้านทาน ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความ
เป็นของไม่มีอะไรป้องกัน ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็น
นิพพานเป็นที่ป้องกัน ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่มี
ที่พึ่ง ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นที่พึ่ง ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของว่าง ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความ
ดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่ว่าง ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความ
เป็นของว่างเปล่า ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่
เปล่า ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของ
สูญ ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า
ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานสูญอย่างยิ่ง...
เมื่อพิจารณาเห็น
เบญจขันธ์โดยความเป็น
อนัตตา ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า
ความดับแห่งเบญจขันธ์
เป็นนิพพานเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง...
.
.
.
**********************************
==========================
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=731
อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ปัญญาวรรค๙. วิปัสสนากถา
อรรถกถาวิปัสสนากถา
...
.
บทว่า
ปรมสุญฺญํ สูญอย่างยิ่ง
ชื่อว่าสูญอย่างยิ่ง เพราะสูญจากสังขารทั้งหมด และเพราะสูญอย่างสูงสุด.
บทว่า
ปรมตฺถํ มีประโยชน์อย่างสูงสุด เพราะเป็นของเลิศกว่าสังขตะและอสังขตะ เป็นนปุงสกลิงค์เพราะลิงควิปลาส.
ท่านไม่กล่าวปริยายโดยอนุโลมในสองบทนี้ เพราะนิพพานเป็นของสูญและเพราะเป็นอนัตตา
...
.
.
.
==========================
-------------
นปุงสกลิงค์
นปุงสกลิงค์ นปุงสกลึงค์
[นะปุงสะกะ] (ไว) น. เพศของคําที่ไม่เป็นเพศชายและเพศหญิง เช่น ภูเขา บ้าน โต๊ะ เก้าอี้ ดิน นํ้า. (ป. ส. นปุ?สก = กะเทย + ลิงฺค = เพศ).
https://dictionary.sanook.com/search/dict-th-th-royal-institute/%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C
ลิงค์
(๑) น. เครื่องหมายเพศ (ป., ส.).
(๒) น. ประเภทคำในไวยากรณ์ที่บอกให้รู้ว่าคำนั้นเป็นเพศอะไร เช่น ปุงลิงค์ คือ เพศชาย อิตถีลิงค์ คือ เพศหญิง (ป., ส.).
(๓) น. ลึงค์ ก็ว่า. (ป., ส.).
http://www.royin.go.th/dictionary/
----------------
===== ท่านไม่กล่าวปริยายโดยอนุโลมในสองบทนี้ เพราะนิพพานเป็น ของสูญ และเพราะเป็น อนัตตา. ======
เพื่อให้สมาชิกทุกท่านส่งความเห็นได้
***********************************
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.php?B=31&A=10812&Z=10974
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓
ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
ปัญญาวรรค วิปัสสนากถา
สาวัตถีนิทานบริบูรณ์
[๗๓๑] ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นสังขาร
ไรๆ โดยความเป็นของเที่ยงอยู่
จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้ไม่
เป็นฐานะที่จะมีได้
ผู้ไม่ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม
ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
เมื่อไม่ย่างลงสู่สัมมัตตติยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดา-
*ปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ
พิจารณาเห็นสังขารทั้งปวงโดยความเป็นของไม่
เที่ยงอยู่
จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขัติน ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้
ผู้ประกอบ
ด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้
ผู้ย่างลงสู่
สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล
หรืออรหัตผล ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ฯ
[๗๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นสังขารไรๆ
โดยความเป็นสุข
จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ผู้ไม่ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่
จะมีได้
เมื่อไม่ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล
อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นสังขารทั้งปวงโดยความเป็นทุกข์อยู่
จักเป็นผู้ประกอบ
ด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ
จักย่างลงสู่
สัมมัตตนิยาม ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม
จักทำให้แจ้งซึ่ง
โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้เป็นฐานะที่
มีได้ ฯ
[๗๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นธรรมไรๆ
โดยความเป็นอัตตาอยู่
จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่
จะมีได้ ผู้ไม่ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม ข้อนี้ไม่เป็น
ฐานะที่จะมีได้
เมื่อไม่ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล
สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นธรรมไรๆ โดยความเป็นอนัตตาอยู่ จักเป็น
ผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ
จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม
จักทำ
ให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้เป็น
ฐานะที่มีได้ ฯ
[๗๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นหนอ พิจารณาเห็นนิพพานโดย
ความเป็นทุกข์อยู่
จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
ผู้ไม่ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมี
ได้
เมื่อไม่ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล
อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
นั้นหนอ พิจารณาเห็นนิพพานโดยความเป็นสุขอยู่ จักเป็นผู้ประกอบด้วยอนุโลม
ขันติ ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ประกอบด้วยอนุโลมขันติ จักย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม
ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ผู้ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม จักทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล
สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตผล ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ ฯ
[๗๓๕] ภิกษุย่อมได้อนุโลมขันติด้วยอาการเท่าไร ย่างลงสู่สัมมัตต
นิยามด้วยอาการเท่าไร ภิกษุย่อมได้อนุโลมขันติด้วยอาการ ๔๐ ย่างลงสู่สัมมัตต
นิยามด้วยอาการ ๔๐ ฯ
ภิกษุย่อมได้อนุโลมขันติด้วยอาการ ๔๐ เป็นไฉน ย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม
ด้วยอาการ ๔๐ เป็นไฉน ฯ
ภิกษุพิจารณาเห็นเบญจขันธ์ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ๑ เป็นทุกข์ ๑
เป็นโรค ๑ เป็นดังหัวฝี ๑ เป็นดังลูกศร ๑ เป็นความลำบาก ๑ เป็นอาพาธ ๑
เป็นอย่างอื่น ๑ เป็นของชำรุด ๑ เป็นเสนียด ๑ เป็นอุบาทว์ ๑ เป็นภัย ๑
เป็นอุปสรรค ๑ เป็นความหวั่นไหว ๑ เป็นของผุพัง ๑ เป็นของไม่ยั่งยืน ๑
เป็นของไม่มีอะไรต้านทาน ๑ เป็นของไม่มีอะไรป้องกัน ๑ เป็นของไม่เป็น
ที่พึ่ง ๑ เป็นของว่าง ๑ เป็นของเปล่า ๑ เป็นของสูญ ๑ เป็นอนัตตา ๑ เป็น
โทษ ๑ เป็นของมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ๑ เป็นของหาสาระมิได้ ๑ เป็น
มูลแห่งความลำบาก ๑ เป็นดังเพชฌฆาต ๑ เป็นความเสื่อมไป ๑ เป็นของ
มีอาสวะ ๑ เป็นของอันปัจจัยปรุงแต่ง ๑ เป็นเหยื่อแห่งมาร ๑ เป็นของมีความ
เกิดเป็นธรรมดา ๑ เป็นของมีความแก่เป็นธรรมดา ๑ เป็นของมีความป่วยไข้
เป็นธรรมดา ๑ เป็นของมีความตายเป็นธรรมดา ๑ เป็นของมีความเศร้าโศกเป็น
ธรรมดา ๑ เป็นของมีความร่ำไรเป็นธรรมดา ๑ เป็นของมีความคับแค้นใจเป็น
ธรรมดา ๑ เป็นของมีความเศร้าหมองเป็นธรรมดา ๑
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์
โดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมได้อนุโลมขันติ
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับ
แห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเที่ยง ย่อมย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม
เมื่อพิจารณาเห็น
เบญจขันธ์โดยความเป็นทุกข์ ย่อมได้อนุโลมขันติ
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความ
ดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นสุข ย่อมย่างลงสู่สัมมัตตนิยาม
เมื่อพิจารณา
เห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นโรค ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์
เป็นนิพพานไม่มีฝี ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นดังลูกศร ...
เมื่อ
พิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีลูกศร ...
เมื่อพิจารณา
เห็นเบญจขันธ์โดยความลำบาก ... เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์เป็น
นิพพานไม่มีความลำบาก ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอาพาธ ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์ เป็นนิพพานไม่มีอาพาธ ...
เมื่อ
พิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอื่น ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่ง
เบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีสิ่งอื่นเป็นปัจจัย ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดย
ความเป็นของชำรุด ... เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่
มีความชำรุดเป็นธรรมดา ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นเสนียด ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีเสนียด ...
เมื่อ
พิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอุบาทว์ ... เมื่อพิจารณาเห็นว่าความดับแห่ง
เบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีอุบาทว์ ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็น
ภัย ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานอันไม่มีภัย ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นอุปสรรค ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความ
ดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีอุปสรรค ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดย
ความเป็นของหวั่นไหว ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็น
นิพพานไม่มีความหวั่นไหว ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของ
ผุพัง ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่มีความ
ผุพัง ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่ยั่งยืน ... เมื่อพิจารณา
เห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานมีความยั่งยืน ...
เมื่อพิจารณาเห็น
เบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่มีอะไรต้านทาน ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับ
แห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นที่ต้านทาน ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความ
เป็นของไม่มีอะไรป้องกัน ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็น
นิพพานเป็นที่ป้องกัน ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของไม่มี
ที่พึ่ง ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานเป็นที่พึ่ง ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของว่าง ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความ
ดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่ว่าง ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความ
เป็นของว่างเปล่า ... เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานไม่
เปล่า ...
เมื่อพิจารณาเห็นเบญจขันธ์โดยความเป็นของสูญ ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์เป็นนิพพานสูญอย่างยิ่ง...
เมื่อพิจารณาเห็น
เบญจขันธ์โดยความเป็นอนัตตา ...
เมื่อพิจารณาเห็นว่า ความดับแห่งเบญจขันธ์
เป็นนิพพานเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง...
.
.
.
**********************************
==========================
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=731
อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ปัญญาวรรค๙. วิปัสสนากถา
อรรถกถาวิปัสสนากถา
...
.
บทว่า ปรมสุญฺญํ สูญอย่างยิ่ง ชื่อว่าสูญอย่างยิ่ง เพราะสูญจากสังขารทั้งหมด และเพราะสูญอย่างสูงสุด.
บทว่า ปรมตฺถํ มีประโยชน์อย่างสูงสุด เพราะเป็นของเลิศกว่าสังขตะและอสังขตะ เป็นนปุงสกลิงค์เพราะลิงควิปลาส.
ท่านไม่กล่าวปริยายโดยอนุโลมในสองบทนี้ เพราะนิพพานเป็นของสูญและเพราะเป็นอนัตตา
...
.
.
.
==========================
-------------
นปุงสกลิงค์
นปุงสกลิงค์ นปุงสกลึงค์
[นะปุงสะกะ] (ไว) น. เพศของคําที่ไม่เป็นเพศชายและเพศหญิง เช่น ภูเขา บ้าน โต๊ะ เก้าอี้ ดิน นํ้า. (ป. ส. นปุ?สก = กะเทย + ลิงฺค = เพศ).
https://dictionary.sanook.com/search/dict-th-th-royal-institute/%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C
ลิงค์
(๑) น. เครื่องหมายเพศ (ป., ส.).
(๒) น. ประเภทคำในไวยากรณ์ที่บอกให้รู้ว่าคำนั้นเป็นเพศอะไร เช่น ปุงลิงค์ คือ เพศชาย อิตถีลิงค์ คือ เพศหญิง (ป., ส.).
(๓) น. ลึงค์ ก็ว่า. (ป., ส.).
http://www.royin.go.th/dictionary/
----------------