มันเริ่มมาจากมีนักวิทยาศาสตร์ทำการศึกษา
รูปลายนิ้วกับบุคลิกภาพ
งานวิจัย
รูปลายนิ้วกับบุคลิกภาพนี้เอง ทำให้มีความน่าเชื่อถือ
แต่ถ้าดูแค่ คนมีรูปลายนิ้วแบบนี้ มีบุคลิกอย่างไร ก็หาเงินได้แค่ระดับหมอดูลายมือ
นักธุรกิจจึงคิดว่า
เอ ทำอย่างไรน้า จะทำเงินได้มากกว่าดูรูปลายนิ้ว
ต่อมานักวิทยาศาสตร์เริ่มศึกษาด้วยการนับจำนวนเส้นลาย
งานวิจัย
การนับจำนวนเส้นลาย กับศักยภาพของสมองส่วนต่างๆ ทำให้เกิดไอเดียธุรกิจ
ทีนี้ก็ได้วิธีเพิ่มมูลค่าธุรกิจแล้ว โดย
1. แทนที่จะปั๊มหมึกดูรูปลายนิ้ว ก็ใช้เครื่องสแกนนิ้วลงเวลาทำงานเอามาประยุกต์ ===> ใช้เทคโนโลยีเพิ่มมูลค่า
2. แทนที่จะนั่งนับจำนวนเส้นลายเอง ก็
จ้างโปรแกรมเมอร์ให้สร้างซอฟต์แวร์นับจำนวนลายเส้นสิ ===> ใช้เทคโนโลยีเพิ่มมูลค่าขึ้นไปอีก
3. เผอิ๊ญ มีทฤษฎีพหุปัญญาเกิดขึ้น แล้วดันไปสัมพันธ์กับส่วนต่าง ๆ ของสมอง
พอเรานับจำนวนเส้นลายเสร็จก็เอาไปสัมพันธ์กับทฤษฎีนี้เลยสิ ===> ใช้ทฤษฏีที่มีความน่าเชื่อถืออยู่แล้วมาส่งเสริมธุระกิจได้อี๊ก
4. จะแค่นับจำนวนแส้นลายว่ามีกี่เส้นแล้วบอกศักยภาพ ก็ดูไม่ค่อยมีอะไร จึงจ้างโปรแกรมเมอร์คำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ ==> ดูว้าวไหม
5. เดี๋ยวแปลผลออกเล่มแล้วมันจะบางเกินไป ก็เพิ่มการเปรียบเทียบกับคน กับสัตว์ ให้ดูมีอะไรหน่อย ==> เริ่มดูคุ้มกับเงินหลักพัน
6. บางเจ้า ขี้เกียจจ้างโปรแกรมเมอร์มาเขียนซอฟต์แวร์ ก็ไปซื้อซอฟต์แวร์สำเร็จรูปมาเลย (มีขายเยอะมากเหมือนเกมแถวคลองถม)
ทีนี้ธุรกิจมันก็จะเข้าใจถูกนิดๆ เข้าใจผิดหน่อยๆ แบบขาวๆ เทาๆ แบบนี้แหละดูลึกลับดี เพราะ
1. พอคนโต้แย้งว่าไม่เป็นวิทยาศาสตร์
===> ฉันก็แย้งได้ว่ามีนักวิทยาศาสตร์เขาวิจัยไปค้นดูได้เลย (อ้างคนอื่นตลอด แล้วมันเกี่ยวเอะไรกับซอฟต์แวร์ของตัวเอง)
2. พอคนโต้แย้งว่าไม่มีงานวิจัย
===> ฉันก็จะไปหา
งานวิจัยที่นักวิทยาศาสตร์คนอื่นเขาทำมาให้ดู (ขอย้ำว่าคนอื่นเขาทำ แล้วมันเกี่ยวเอะไรกับซอฟต์แวร์ของตัวเอง)
แต่ที่ธุรกิจพวกนี้โกหกแน่นอนคือ ===> ฉันมีงานวิจัยเป็นของตัวเอง โดยใช้คนเป็นล้านคน (แต่อย่ามาขอดูข้อมูลดิบนะ ฉันไม่มีให้ดูหรอก)
ถ้าคุณอยากจะใช้การดูลายนิ้วมือหาศักยภาพ ให้ทำแบบนี้ ไม่ต้องเสียเงินค่าโง่แพงๆ แต่อย่างใด
1. ปํมนิ้วลงบนกระดาษสีขาว แบบบ้าน ๆ นี่แหละ เสร็จแล้วก็ดูรูปลายว่าเป็นรูปลายแบบไหน เช่น รูปก้นหอย รูปตัวยู เป็นต้น
รูปลายไหน บอกบุคลิกแบบไหน ก็ไปหาในอินเตอร์เน็ต รับรองว่าเหมือนที่คนเขาเสียเงินเป็นหมื่นนั่นแหละ
2. นับจำนวนแส้นลายแบบคร่าว ๆ ก็ได้ แล้วก็เปรียบเทียบว่าจำนวนเส้นของนิ้วไหนมีมากน้อยกว่ากัน ถ้านับจำนวนแส้นลายได้เยอะ
แสดงว่านิ้วนั้นมีศักยภาพสูง แล้วก็ไปหาในอินเตอร์เน็ตว่านิ้วนั้นบอกศักยภาพอะไร รับรองว่าเหมือนที่คนเขาเสียเงินเป็นหมื่น เป๊ะ
มันมีแค่นี้จริง ๆ ที่มีความน่าเชื่อถือ แค่นี้จริง ๆ
นอกนั้นคืออะไรก็ไม่รู้ เหมือนสร้างเกม ๆ นึง ให้มีมัลติมีเดียเยอะ ๆ ดูอลังการ เพื่อจะได้ขายได้แพงๆ
กว่าจะมาเป็นธุรกิจสแกนลายนิ้วมือ หาพรสวรรค์ เรื่องเล่าแบบนิทานเข้าใจง่าย และวิธีดูศักยภาพได้เอง ไม่ต้องเสียเงิน
งานวิจัยรูปลายนิ้วกับบุคลิกภาพนี้เอง ทำให้มีความน่าเชื่อถือ
แต่ถ้าดูแค่ คนมีรูปลายนิ้วแบบนี้ มีบุคลิกอย่างไร ก็หาเงินได้แค่ระดับหมอดูลายมือ
นักธุรกิจจึงคิดว่า
เอ ทำอย่างไรน้า จะทำเงินได้มากกว่าดูรูปลายนิ้ว
ต่อมานักวิทยาศาสตร์เริ่มศึกษาด้วยการนับจำนวนเส้นลาย
งานวิจัยการนับจำนวนเส้นลาย กับศักยภาพของสมองส่วนต่างๆ ทำให้เกิดไอเดียธุรกิจ
ทีนี้ก็ได้วิธีเพิ่มมูลค่าธุรกิจแล้ว โดย
1. แทนที่จะปั๊มหมึกดูรูปลายนิ้ว ก็ใช้เครื่องสแกนนิ้วลงเวลาทำงานเอามาประยุกต์ ===> ใช้เทคโนโลยีเพิ่มมูลค่า
2. แทนที่จะนั่งนับจำนวนเส้นลายเอง ก็จ้างโปรแกรมเมอร์ให้สร้างซอฟต์แวร์นับจำนวนลายเส้นสิ ===> ใช้เทคโนโลยีเพิ่มมูลค่าขึ้นไปอีก
3. เผอิ๊ญ มีทฤษฎีพหุปัญญาเกิดขึ้น แล้วดันไปสัมพันธ์กับส่วนต่าง ๆ ของสมอง
พอเรานับจำนวนเส้นลายเสร็จก็เอาไปสัมพันธ์กับทฤษฎีนี้เลยสิ ===> ใช้ทฤษฏีที่มีความน่าเชื่อถืออยู่แล้วมาส่งเสริมธุระกิจได้อี๊ก
4. จะแค่นับจำนวนแส้นลายว่ามีกี่เส้นแล้วบอกศักยภาพ ก็ดูไม่ค่อยมีอะไร จึงจ้างโปรแกรมเมอร์คำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ ==> ดูว้าวไหม
5. เดี๋ยวแปลผลออกเล่มแล้วมันจะบางเกินไป ก็เพิ่มการเปรียบเทียบกับคน กับสัตว์ ให้ดูมีอะไรหน่อย ==> เริ่มดูคุ้มกับเงินหลักพัน
6. บางเจ้า ขี้เกียจจ้างโปรแกรมเมอร์มาเขียนซอฟต์แวร์ ก็ไปซื้อซอฟต์แวร์สำเร็จรูปมาเลย (มีขายเยอะมากเหมือนเกมแถวคลองถม)
ทีนี้ธุรกิจมันก็จะเข้าใจถูกนิดๆ เข้าใจผิดหน่อยๆ แบบขาวๆ เทาๆ แบบนี้แหละดูลึกลับดี เพราะ
1. พอคนโต้แย้งว่าไม่เป็นวิทยาศาสตร์
===> ฉันก็แย้งได้ว่ามีนักวิทยาศาสตร์เขาวิจัยไปค้นดูได้เลย (อ้างคนอื่นตลอด แล้วมันเกี่ยวเอะไรกับซอฟต์แวร์ของตัวเอง)
2. พอคนโต้แย้งว่าไม่มีงานวิจัย
===> ฉันก็จะไปหางานวิจัยที่นักวิทยาศาสตร์คนอื่นเขาทำมาให้ดู (ขอย้ำว่าคนอื่นเขาทำ แล้วมันเกี่ยวเอะไรกับซอฟต์แวร์ของตัวเอง)
แต่ที่ธุรกิจพวกนี้โกหกแน่นอนคือ ===> ฉันมีงานวิจัยเป็นของตัวเอง โดยใช้คนเป็นล้านคน (แต่อย่ามาขอดูข้อมูลดิบนะ ฉันไม่มีให้ดูหรอก)
ถ้าคุณอยากจะใช้การดูลายนิ้วมือหาศักยภาพ ให้ทำแบบนี้ ไม่ต้องเสียเงินค่าโง่แพงๆ แต่อย่างใด
1. ปํมนิ้วลงบนกระดาษสีขาว แบบบ้าน ๆ นี่แหละ เสร็จแล้วก็ดูรูปลายว่าเป็นรูปลายแบบไหน เช่น รูปก้นหอย รูปตัวยู เป็นต้น
รูปลายไหน บอกบุคลิกแบบไหน ก็ไปหาในอินเตอร์เน็ต รับรองว่าเหมือนที่คนเขาเสียเงินเป็นหมื่นนั่นแหละ
2. นับจำนวนแส้นลายแบบคร่าว ๆ ก็ได้ แล้วก็เปรียบเทียบว่าจำนวนเส้นของนิ้วไหนมีมากน้อยกว่ากัน ถ้านับจำนวนแส้นลายได้เยอะ
แสดงว่านิ้วนั้นมีศักยภาพสูง แล้วก็ไปหาในอินเตอร์เน็ตว่านิ้วนั้นบอกศักยภาพอะไร รับรองว่าเหมือนที่คนเขาเสียเงินเป็นหมื่น เป๊ะ
มันมีแค่นี้จริง ๆ ที่มีความน่าเชื่อถือ แค่นี้จริง ๆ
นอกนั้นคืออะไรก็ไม่รู้ เหมือนสร้างเกม ๆ นึง ให้มีมัลติมีเดียเยอะ ๆ ดูอลังการ เพื่อจะได้ขายได้แพงๆ