ว่าด้วย ปฏิจจสมุปบาท แห่ง สุวิมุตตจิต(1)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายจงกระทำโยนิโสมนสิการซึ่งจักษุ และจงพิจารณาเห็นความที่จักษุเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง ตามที่เป็นจริง. 
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! 
เธอ !, เมื่อกระทำโยนิโสมนสิการซึ่งจักษุ และพิจารณาเห็นความที่จักษุเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงตามที่เป็นจริงอยู่, 
เธอเห็นจักษุอันไม่เที่ยงนั่นแล ว่าไม่เที่ยง(ถอนความยัดมั่นลูบคลำ....นั้นเสีย) ความเห็นเช่นนั้น เป็นสัมมาทิฏฐิ(หรือเรียกว่า วิชชา เพราะทำหน้าที่ได้อย่างเดียวกัน) (การเห็นอยู่โดยถูกต้อง) ของเธอนั้น. 
เมื่อเห็นอยู่โดยถูกต้อง
(มีสัมมาทิฏฐินำหน้า. เช่นนั้นแหละ ความรู้ ความเห็นที่ถูกต้อง เป็นต้น. แล้ว
ซึ่งวิชชาเกิดขึ้นแทนที่.')
ย่อมเบื่อหน่าย (หายบอดฺแล้ว)
(สมฺมา ปสฺสํ นิพฺพินฺทติ);
 
 
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักษุ.
เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิ จึงมีความสิ้นไปแห่งราคะ; 
(นนฺทิกฺขยา ราคกฺขโย);
เพราะความสิ้นไปแห่งราคะ จึงมีความสิ้นไปแห่งนันทิ; 
(ราคกฺขยา นนฺทิกฺขโย);
เพราะความสิ้นไปแห่งนันทิและราคะ กล่าวได้ว่า “จิตหลุดพ้นแล้วด้วยดี” ดังนี้. (นนฺทิราคกฺขยา จิตฺตํ สุวิมุตฺตนฺติ วุจฺจติ) (นิพพานะ)
 
(ในกรณีแห่งอายตนะภายในที่เหลืออีก ๕ คือ โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ มโน และในกรณีแห่งอายตนะภายนอก ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ ก็ตรัสอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งอายตนะภายในคือจักษุ ที่กล่าวมาแล้วนี้ ทุกประการ.)
....
 
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ก็การประสพความพอใจในอรหัตตผล ย่อมมีได้เพราะการศึกษาโดยลำดับ เพราะการกระทำโดยลำดับ เพราะการปฏิบัติโดยลำดับเป็นอย่างไรเล่า ?
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! บุรุษบุคคลในกรณีนี้ :
เป็นผู้มีสัทธาเกิดขึ้นแล้ว ย่อมเข้าไปหา;
เมื่อเข้าไปหา ย่อมเข้าไปนั่งใกล้;
เมื่อเข้าไปนั่งใกล้ ย่อมเงี่ยโสตลงสดับ;
ผู้เงี่ยโสตลงสดับ ย่อมได้ฟังธรรม;
ครั้นฟังแล้ว ย่อมทรงจำธรรมไว้ด้วยดี, ย่อมใคร่ครวญพิจารณาซึ่งเนื้อความแห่งธรรมทั้งหลายที่ตนทรงจำไว้;
เมื่อเขาใคร่ครวญพิจารณา ซึ่งเนื้อความแห่งธรรมนั้นอยู่, ธรรมทั้งหลายย่อมทนต่อการเพ่งพิสูจน์;
เมื่อธรรมทนต่อการเพ่งพิสูจน์มีอยู่ ฉันทะ (ความพอใจ) ย่อมเกิด;
ผู้เกิดฉันทะแล้ว ย่อมมีอุตสาหะ;
ครั้นมีอุตสาหะแล้ว ย่อมใช้ดุลยพินิจ ได้เอง.(เพื่อหาความจริง);
ครั้นใช้ดุลยพินิจ (พบ) แล้ว ย่อมตั้งตนไว้ในธรรมนั้น;
ผู้มีตนส่งไปแล้วในธรรมนั้นอยู่ ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งบรมสัจจ์ด้วยกายด้วย,
ย่อมเห็นแจ้งแทงตลอดซึ่งบรมสัจจ์นั้นด้วย ปัญญาอันยิ่งเอง ด้วย. {บรมสัจธรรม(1)}
{....ซึ่งมีอยู่แต่ความมืด เป็นความมืดซึ่งกระทำความบอด.แก่ข้าพระเจ้า)
....{หาเอาเอง.เฉพาะตน} ...ทำหน้าที่กันต่อไป...
>>>>>>>>.<<<<<<<<
 
ส่วนพรหมจรรย์ของเรานี้
ย่อม เป็นไปเพื่อนิพพิทาโดยส่วนเดียว เพื่อวิราคะ นิโรธะ อุปสมะ อภิญญา สัมโพธะ นิพพานะ 
พรหมจรรย์เป็นไปเพื่อนิพพิทาโดยส่วนเดียว เพื่อวิราคะ นิโรธะ อุปสมะ อภิญญา
สัมโพธะ นิพพานะ นั้นเป็นไฉน คืออัฏฐังคิกมรรค เป็นอริยะนี้เอง คือสัมมาทิฏฐิ สัมมา 
สังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัม มันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
ดูกรปัญจสิขะ พรหมจรรย์นี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อนิพพิทาโดยส่วนเดียว เพื่อวิราคะ นิโรธะ อุปสมะ
อภิญญา สัมโพธะ นิพพานะ ดูกรปัญจสิขะ ก็บรรดาสาวกของเรา ที่รู้คำสั่งสอนทั่วทั้งหมด 
ย่อมทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะ มิได้ เพราะอาสวะสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่ง
ด้วยตนเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่.
บรรดาสาวกผู้ไม่รู้คำสั่งสอนทั่วทั้งหมด บางพวกเป็น
โอปปาติกสัตว์ เพราะสิ้น โอรัมภาคิยสังโยชน์ทั้ง ๕ ปรินิพพานในภพนั้น ไม่กลับมาจากโลกนั้น
เป็นธรรมดา ก็มี บางพวกเป็นพระสกทาคามี เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓ อย่าง เพราะราคะ โทสะ
และโมหะเบาบาง กลับมายังโลกนี้เพียงครั้งเดียว แล้วจักทำที่สุดทุกข์ได้ก็มี บางพวกเป็นพระ
โสดาบัน เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓ อย่าง มีความไม่ตกต่ำเป็น ธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีอันจะตรัสรู้
เป็นเบื้องหน้าก็มี ฯ
 
 
 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่