เขียนบทความไว้ในเพจ เอามาแชร์ให้ทุกคนได้อ่านกันนะครับ
[MOVIE] JOKER
ตอน Subway Vigilante: The Story of Bernhard Goetz
[ระวัง SPOIL นะ ดูหนังแล้วค่อยมาอ่าน]
.
ยังคงอยู่กับเรื่องราวของ Joker หนังดราม่าต้นกำเนิด Villain สุดคลาสสิค ที่หลายๆคนคงได้ดูกันแล้ว
.
แน่นอนว่าหนังแต่ละเรื่องมันจะต้องมีแรงบันดาลใจมาจากอะไรหลายๆอย่าง อย่างเช่นในเรื่องนี้อย่างที่เคยกล่าวไปว่า โครงสร้างของหนังมันอ้างอิงมาจากหนังเก่าอย่าง Taxi Driver / King of Comedy ค่อนข้างเยอะ
.
แต่ก็ยังมีแง่มุมอีกหลายส่วนที่ Joker และ ผู้กำกับ Todd Phillips หยิบยกเหตุการณ์ทางการเมืองและสังคมมาอ้างอิงในตัวหนังเช่นกัน อย่างเรื่องความตกต่ำของเมืองและสังคมความเป็นอยู่ของคนใน New York (ในที่นี้ก็คือ Gotham), ปัญหาเรื่องความสะอาด และปัญหาด้านชนชั้น ซึ่งประเด็นเหล่านี้เป็นประเด็นร้อนในช่วงยุคศตวรรษที่ 80 เฉกเช่นเดียวกับเซตติ้งในหนัง
.
แต่อีกเรื่องที่จะนำเสนอในวันนี้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กันครับ หากใครได้ดูหนังมาแล้ว คงจะได้เห็นฉากที่ตัว Arthur ยิงพนักงานของ Wayne Enterprise สามคนตายบนรถไฟใต้ดิน ซึ่งนั่นนอกจากจะเป็น จุดหักเหสำคัญของตัวละครจุดนึง ยังทำให้กระแสของประชาชนที่มีต่อบ้านเมืองและสังคม ประทุขึ้นมาอีกด้วย
.
ซึ่งเรื่องราวในโลกแห่งความจริง ใน New York ช่วงปี 1984 ก็มีเรื่องที่โด่งดังเป็นกระแสสังคมแบบนี้เหมือนกัน นั่นคือเรื่องราวของ Bernhard Goetz ชายหนุ่มวิศวะกรผิวขาว ตัวผอมๆใส่แว่นหน้าตาเนิร์ดๆ
.
วันที่ 22 ธันวาคม 1984 Bernhard ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินที่สถานี 14th Street และถูกวัยรุ่นผิวดำ 4 คน (Barry Allen, Troy Canty, Darrell Cabey, และ James Ramseur) วัย 19 ปีจากย่าน Bronx ล้มวงเข้ามาเพื่อจะไถเงิน (โดยข่มขู่ขอเงิน 5 เหรียญ)
.
Bernhard ด้วยความที่เมื่อประมาณ 3 ปีก่อน ตัวเขาเคยถูกปล้นบนรถไฟใต้ดินมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เค้าคิดว่า จะไม่ยอมตกเป็นเหยื่ออีกต่อไป
.
เขาชักปืนพก ยิงหนุ่มผิวดำทั้ง 4 ทันทีด้วยความรวดเร็วคนละนัด
Cabey ที่ถูกยิงแต่ไม่บาดเจ็บมากนัก หมอบลงกับพื้นรถไฟ จากคำให้การ Bernhard พูดกับเค้าว่า "ก็ดูไม่แย่เท่าไหร่นี่นะ งั้นเอาไปอีกนัดละกัน" และยิงนัดที่ 5 ไปที่กลางหลังของ Cabey ซึ่งนั่นทำให้ตัวเขาต้องพิการตลอดชีวิต
.
แม้ว่าจะไม่มีใครตาย แต่ Bernhard ก็หลบหนีและหายตัวไปกว่า 9 วัน ก่อนที่จะมอบตัวกับตำรวจ
.
ในขณะที่อัตราการก่ออาชญากรรมใน New York ช่วงนั้นพุ่งสูงขึ้นจนวิกฤต การก่อเหตุครั้งนี้จึงเป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง หนังสือพิมพ์ต่างพาดหัว Subway Vigilante หรือ ฮีโร่นอกกฏหมายบนรถใต้ดิน และได้รับความสนใจอย่างมาก
.
ประเด็นนี้มันเลยขยายตัวกลายเป็นเรื่องของสังคม เกินกว่าที่จะเป็นเรื่องของบุคคล
ชายผิวขาว ยิงชายผิวดำ แน่นอนมันก็ต้องมีเรื่องของการเหยียดผิว เข้ามาเกี่ยว และเรื่องการป้องกันตัวเอง หรือ การทำเกินกว่าเหตุเกินกว่ากฏหมาย ก็เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันเป็นวงกว้าง มีนักเคลื่อนไหวทางสังคม มีนักกฏหมาย ออกมาโต้เถียงกันมากมาย รวมถึงประชาชนที่ก็มีทั้งเห็นด้วย และ ไม่เห็นด้วย กับเรื่องเหตุการยิงนี้ ทำให้เหมือนจะเกิดเป็นการประท้วง/ประทะกัน ของผู้ที่เห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยอยู่กลายๆ
.
คำให้การของ Bernhard กับตำรวจ ก็เหมือนจะยิ่งเติมเชื้อไฟเข้าไปอีก ด้วยการที่เค้าไม่ได้รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำไป แถมยังบอกอีกว่า ถ้ากระสุนในปืนของเขาไม่หมด เค้าก็จะกระหนำยิงไอ้พวกโจ๋นี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งนั่นก็ทำให้หลายคนพยายามยัดเยียดข้อหา จงใจฆ่า หรือ Attempted Murder ให้กับเขา
.
แต่สิ่งที่เหมือนมาช่วย Bernhard ก็คือ คำสารภาพของเด็กหนุ่มที่ถูกยิงว่า จริงๆแล้วพวกเค้ากำลังจะเดินทางเข้าเมืองและไปปล้นร้านเกม Arcade โดยมีไขขวงเป็นอาวุธ
.
กลายเป็นว่าสิ่งที่ Bernhard ทำ มันคือการช่วยหยุดการก่อเหตุที่คนอื่นจะได้รับผลกรรมไปด้วย
เรื่องราวของ Bernhard เป็นกระแสไปในวงกว้าง ให้ผู้คนตั้งคำถามว่า ถ้าคุณเป็นแบบ Bernhard ในตอนนั้น คุณจะทำแบบนั้นมั้ย ซึ่งหลายคนก็บอกว่าเห็นด้วย รายการทีวีมีผู้ชมนับพันสายโทรเข้ามาให้กำลังใจ Bernhard แถมยังส่งเช็คเงินสดมาให้เพื่อเป็นเงินค่าประกันและค่าทนายตัวอีก
.
สุดท้ายคำตัดสินของ Jury Bernhard ไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าวัยรุ่นทั้ง 4 แค่โดนโทษจำคุก 8 เดือนฐานมีปืนไม่ได้จดทะเบียนในครอบครองแค่นั้น
.
เรื่องราวของ Bernhard แสดงให้เห็นว่า แค่เรื่องยิงกันทำไมมันถึงเกิดประเด็นสังคมจนแทบก่อจราจรขึ้นมาได้ ด้วย Context สภาพบ้านเมืองในตอนนั้น เรื่องสีผิว (อย่างในหนัง Joker ก็เปลี่ยนมาเป็นเรื่องของชนชั้นแทน) เรื่อง การป้องกันตัวหรือทำเกินกว่าเหตุ มันเป็นเรื่องของมุมมอง และยิ่งมีตัวละครอื่นอย่าง นักการเมือง หรือ นักเคลื่อนไหวทางสังคม นักกฏหมาย ออกมาพูดเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง (อย่างที่ Thomas Wayne ทำในหนัง) มันก็ยิ่งปลุกกระแสต่อต้านของอีกฝ่ายให้ลุกโชนมากยิ่งขึ้น
.
แล้วถ้าเป็นคุณล่ะครับ ถ้าคุณเป็น Bernhard คุณจะทำเช่นไรในสถานการณ์นี้?
.
ถ้าชอบบทความเรื่องราวเกี่ยวกับหนัง ฝากติดตามเพจด้วยนะคร้าบ
https://www.facebook.com/Gamovient-284021519017233
[SPOILER] JOKER: ตอน Subway Vigilante: The Story of Bernhard Goetz
[MOVIE] JOKER
ตอน Subway Vigilante: The Story of Bernhard Goetz
[ระวัง SPOIL นะ ดูหนังแล้วค่อยมาอ่าน]
.
ยังคงอยู่กับเรื่องราวของ Joker หนังดราม่าต้นกำเนิด Villain สุดคลาสสิค ที่หลายๆคนคงได้ดูกันแล้ว
.
แน่นอนว่าหนังแต่ละเรื่องมันจะต้องมีแรงบันดาลใจมาจากอะไรหลายๆอย่าง อย่างเช่นในเรื่องนี้อย่างที่เคยกล่าวไปว่า โครงสร้างของหนังมันอ้างอิงมาจากหนังเก่าอย่าง Taxi Driver / King of Comedy ค่อนข้างเยอะ
.
แต่ก็ยังมีแง่มุมอีกหลายส่วนที่ Joker และ ผู้กำกับ Todd Phillips หยิบยกเหตุการณ์ทางการเมืองและสังคมมาอ้างอิงในตัวหนังเช่นกัน อย่างเรื่องความตกต่ำของเมืองและสังคมความเป็นอยู่ของคนใน New York (ในที่นี้ก็คือ Gotham), ปัญหาเรื่องความสะอาด และปัญหาด้านชนชั้น ซึ่งประเด็นเหล่านี้เป็นประเด็นร้อนในช่วงยุคศตวรรษที่ 80 เฉกเช่นเดียวกับเซตติ้งในหนัง
.
แต่อีกเรื่องที่จะนำเสนอในวันนี้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กันครับ หากใครได้ดูหนังมาแล้ว คงจะได้เห็นฉากที่ตัว Arthur ยิงพนักงานของ Wayne Enterprise สามคนตายบนรถไฟใต้ดิน ซึ่งนั่นนอกจากจะเป็น จุดหักเหสำคัญของตัวละครจุดนึง ยังทำให้กระแสของประชาชนที่มีต่อบ้านเมืองและสังคม ประทุขึ้นมาอีกด้วย
.
ซึ่งเรื่องราวในโลกแห่งความจริง ใน New York ช่วงปี 1984 ก็มีเรื่องที่โด่งดังเป็นกระแสสังคมแบบนี้เหมือนกัน นั่นคือเรื่องราวของ Bernhard Goetz ชายหนุ่มวิศวะกรผิวขาว ตัวผอมๆใส่แว่นหน้าตาเนิร์ดๆ
.
วันที่ 22 ธันวาคม 1984 Bernhard ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินที่สถานี 14th Street และถูกวัยรุ่นผิวดำ 4 คน (Barry Allen, Troy Canty, Darrell Cabey, และ James Ramseur) วัย 19 ปีจากย่าน Bronx ล้มวงเข้ามาเพื่อจะไถเงิน (โดยข่มขู่ขอเงิน 5 เหรียญ)
.
Bernhard ด้วยความที่เมื่อประมาณ 3 ปีก่อน ตัวเขาเคยถูกปล้นบนรถไฟใต้ดินมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เค้าคิดว่า จะไม่ยอมตกเป็นเหยื่ออีกต่อไป
.
เขาชักปืนพก ยิงหนุ่มผิวดำทั้ง 4 ทันทีด้วยความรวดเร็วคนละนัด
Cabey ที่ถูกยิงแต่ไม่บาดเจ็บมากนัก หมอบลงกับพื้นรถไฟ จากคำให้การ Bernhard พูดกับเค้าว่า "ก็ดูไม่แย่เท่าไหร่นี่นะ งั้นเอาไปอีกนัดละกัน" และยิงนัดที่ 5 ไปที่กลางหลังของ Cabey ซึ่งนั่นทำให้ตัวเขาต้องพิการตลอดชีวิต
.
แม้ว่าจะไม่มีใครตาย แต่ Bernhard ก็หลบหนีและหายตัวไปกว่า 9 วัน ก่อนที่จะมอบตัวกับตำรวจ
.
ในขณะที่อัตราการก่ออาชญากรรมใน New York ช่วงนั้นพุ่งสูงขึ้นจนวิกฤต การก่อเหตุครั้งนี้จึงเป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง หนังสือพิมพ์ต่างพาดหัว Subway Vigilante หรือ ฮีโร่นอกกฏหมายบนรถใต้ดิน และได้รับความสนใจอย่างมาก
.
ประเด็นนี้มันเลยขยายตัวกลายเป็นเรื่องของสังคม เกินกว่าที่จะเป็นเรื่องของบุคคล
ชายผิวขาว ยิงชายผิวดำ แน่นอนมันก็ต้องมีเรื่องของการเหยียดผิว เข้ามาเกี่ยว และเรื่องการป้องกันตัวเอง หรือ การทำเกินกว่าเหตุเกินกว่ากฏหมาย ก็เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันเป็นวงกว้าง มีนักเคลื่อนไหวทางสังคม มีนักกฏหมาย ออกมาโต้เถียงกันมากมาย รวมถึงประชาชนที่ก็มีทั้งเห็นด้วย และ ไม่เห็นด้วย กับเรื่องเหตุการยิงนี้ ทำให้เหมือนจะเกิดเป็นการประท้วง/ประทะกัน ของผู้ที่เห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยอยู่กลายๆ
.
คำให้การของ Bernhard กับตำรวจ ก็เหมือนจะยิ่งเติมเชื้อไฟเข้าไปอีก ด้วยการที่เค้าไม่ได้รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำไป แถมยังบอกอีกว่า ถ้ากระสุนในปืนของเขาไม่หมด เค้าก็จะกระหนำยิงไอ้พวกโจ๋นี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งนั่นก็ทำให้หลายคนพยายามยัดเยียดข้อหา จงใจฆ่า หรือ Attempted Murder ให้กับเขา
.
แต่สิ่งที่เหมือนมาช่วย Bernhard ก็คือ คำสารภาพของเด็กหนุ่มที่ถูกยิงว่า จริงๆแล้วพวกเค้ากำลังจะเดินทางเข้าเมืองและไปปล้นร้านเกม Arcade โดยมีไขขวงเป็นอาวุธ
.
กลายเป็นว่าสิ่งที่ Bernhard ทำ มันคือการช่วยหยุดการก่อเหตุที่คนอื่นจะได้รับผลกรรมไปด้วย
เรื่องราวของ Bernhard เป็นกระแสไปในวงกว้าง ให้ผู้คนตั้งคำถามว่า ถ้าคุณเป็นแบบ Bernhard ในตอนนั้น คุณจะทำแบบนั้นมั้ย ซึ่งหลายคนก็บอกว่าเห็นด้วย รายการทีวีมีผู้ชมนับพันสายโทรเข้ามาให้กำลังใจ Bernhard แถมยังส่งเช็คเงินสดมาให้เพื่อเป็นเงินค่าประกันและค่าทนายตัวอีก
.
สุดท้ายคำตัดสินของ Jury Bernhard ไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าวัยรุ่นทั้ง 4 แค่โดนโทษจำคุก 8 เดือนฐานมีปืนไม่ได้จดทะเบียนในครอบครองแค่นั้น
.
เรื่องราวของ Bernhard แสดงให้เห็นว่า แค่เรื่องยิงกันทำไมมันถึงเกิดประเด็นสังคมจนแทบก่อจราจรขึ้นมาได้ ด้วย Context สภาพบ้านเมืองในตอนนั้น เรื่องสีผิว (อย่างในหนัง Joker ก็เปลี่ยนมาเป็นเรื่องของชนชั้นแทน) เรื่อง การป้องกันตัวหรือทำเกินกว่าเหตุ มันเป็นเรื่องของมุมมอง และยิ่งมีตัวละครอื่นอย่าง นักการเมือง หรือ นักเคลื่อนไหวทางสังคม นักกฏหมาย ออกมาพูดเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง (อย่างที่ Thomas Wayne ทำในหนัง) มันก็ยิ่งปลุกกระแสต่อต้านของอีกฝ่ายให้ลุกโชนมากยิ่งขึ้น
.
แล้วถ้าเป็นคุณล่ะครับ ถ้าคุณเป็น Bernhard คุณจะทำเช่นไรในสถานการณ์นี้?
.
ถ้าชอบบทความเรื่องราวเกี่ยวกับหนัง ฝากติดตามเพจด้วยนะคร้าบ
https://www.facebook.com/Gamovient-284021519017233