ขอเกาะกระแสกราดยิง(และระบายบ้างในฐานะคนไม่ปกติ)สื่อควรนำเสนอปมของผู้ก่อเหตุเป็นอุทาหรณ์ ไม่ใช่ลบทิ้งเพราะสังคมกลัว

09-Feb-2020 23.55 AM
.
[ระบายในฐานะคนไม่ปกติ]ประวัติศาสตร์ทุกชิ้นมีค่าในฐานะบทเรียน..แม้เป็นของคนบ้าหรือชั่วแค่ไหนก็ตาม!!!
.
.
ขอเกาะกระแสกราดยิงที่โคราชเสียหน่อย..เห็นการรณรงค์บนโซเชียล บอกทั้งสื่อทั้งชาวเน็ต อย่าเอ่ยชื่อ อย่าลงรูปคนร้าย อย่าแม้แต่ไปขุดคุ้ยว่าคนร้ายมีปมอะไรถึงมาก่อเหตุ เพราะจะทำให้คนที่มีปมแบบเดียวกันรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนร้าย และในจำนวนนั้นอาจจะมีบางรายลุกขึ้นมาก่อเหตุซ้ำก็ได้ใครจะไปรู้ ผมเองด้านหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการกราดยิงคนบริสุทธิ์ ( ถ้าจะแค้นใครก็ฆ่าเฉพาะคนนั้นอันนั้นเป็นเรื่องของแต่ละคน..ผมก็ไม่โลกสวยขนาดเรียกร้องให้อภัยหรือปล่อยวางคนที่มาทำให้เราเจ็บแค้น ) แต่อีกด้านหนึ่ง พอเห็นการรณรงค์แบบนี้แล้วในฐานะที่ตัวเองก็เป็นคนหนึ่งที่สวมหมวก “ผู้ถูกสังคมตีตราว่าไม่ปกติ” จากปัญหาเชิงบุคลิกภาพ ( ถ้าใครดูหนังเรื่อง Joker ฉบับวาคิน ฟินิกส์ ฉากที่อาเธอร์ เฟล็กซ์ พยายามปั้นหน้าตลกหยอกล้อกับเด็กน้อย แล้วถูกแม่เด็กหันมาต่อว่า นั่นละชีวิตผมเจออะไรคล้ายๆ แบบนั้นมาพอสมควรตั้งแต่จำความได้ ) ด้วยความเป็นคนบุคลิกแย่ คนไม่ค่อยไว้วางใจหรอก มองในแง่ลบไว้ก่อน พอเห็นท่าทีของคนปกติแสดงออกกับผู้ก่อเหตุ ( ทั้งกรณีนี้และกรณีอื่นๆ ) แบบนั้น บางทีมันก็เหมือนมากระตุ้นความรู้สึกตัวเอง จึงขอใช้พื้นที่ตรงนี้ระบายบ้างว่าทำไมผมถึงไม่เห็นด้วยกับเสียงเรียกร้องให้ลบเรื่องพวกนี้ออกจากประวัติศาสตร์
.
ย้อนไปสิบกว่าปีก่อน ช่วงนั้นเหตุกราดยิงมั่วๆ ยังไกลตัวคนไทยมาก เชื่อว่าเราๆ ท่านๆ รวมถึงผมคงคิดว่ามันเป็นปัญหาเฉพาะในสังคมสหรัฐอเมริกา ( เหมือนที่ฝรั่งงงว่าทำไมอาชีวะไทยต้องตีกัน อาชีวะที่อื่นไม่มีแบบนี้ ) ที่มีความเหลื่อมล้ำสูง คนเก็บกดเยอะ ถ้าเป็นวัยรุ่นก็จะเหมือนถูกรังแกดูหมิ่นเหยียดหยาม จำได้ว่าผมก็คิดแบบนี้ละ ผมไม่เห็นด้วยกับการยิงมั่วๆ จะฆ่าก็ฆ่าคนที่เคยมารังแกก็พอ แต่พอเห็นช่วงนั้นน่าจะเป็นการณรงค์ในแวดวงตำรวจและสื่อสหรัฐฯ ที่ไม่อยากให้ทำข่าวคนเหล่านี้ ผมก็ของขึ้นทันที ยิ่งได้อ่านแรงจูงใจทั้งที่เกิดในมัธยมโคลัมไบน์ หรือที่วิทยาลัยเวอร์จิเนียเทค ที่คนยิงเล่าว่าถูกเย้ยหยันจากบรรดาดาวเด่นในโรงเรียน ยอมรับว่าในบางขณะจิตผมก็อินและเห็นใจคนก่อเหตุไปบ้างเหมือนกัน
.
จำได้ว่าในเวลานั้นผมก็คิดโปรเจ็คท์เรื่องสั้นไว้จำนวนหนึ่ง ว่าด้วยชาย 2 คนที่ได้รับการปลุกพลังพิเศษเพราะชาติก่อนเป็นมนุษย์ต่างดาวที่เคยสู้กันในอวกาศอันไกลโพ้นก่อนที่ดวงวิญญาณจะลอยมาเกิดใหม่บนโลกในดินแดนประเทศไทยของเรา คนหนึ่งตั้งตัวเป็นจอมวายร้าย ใช้พลังเพื่อเข้าถึงจิตใจบรรดาผู้ที่เห็นว่าตัวเองถูกกดทับจากค่านิยมหลักของสังคมและการที่สังคมไม่รับฟังปัญหาของพวกเขาแถมบางคนยังเย้ยหยันอีกต่างหาก แล้วทำลายความกลัวพร้อมยั่วยุให้คนเหล่านี้ออกมาก่อเหตุร้ายสั่นสะเทือนสังคม บางครั้งฝึกสอนยุทธวิธีแถมจัดหาอาวุธให้ด้วย หรือบางทีก็ยุยงให้เข้าไปอ่านเนื้อหาปลุกระดมบนอินเตอร์เน็ต ส่วนอีกคนเป็นตำรวจที่พลังพิเศษตื่นขึ้นเพราะเหมือนชะตาลิขิตให้ต้องสู้กับชายคนแรก เมื่อชายคนแรกหลังตื่นชายคนหลังพลังก็ตื่นโดยอัตโนมัติ
.
เรื่องราวจะสั้นๆ ไม่ซับซ้อน มีตั้งแต่เด็กวัยรุ่นที่เกลียดชังระบบการศึกษาแบบแข่งขันเข้มข้น และสังคมที่ตีค่าคนจากชื่อชั้นสถาบัน ผมตั้งใจบรรยายให้วัยรุ่นคนนี้คิดทำคาร์บอมบ์ถล่มอาคารกระทรวงศึกษาธิการ โดยอ้างว่าได้รับแรงบันดาลใจและวิธีทำระเบิดจากบทความในอินเตอร์เน็ตที่ชายคนแรกและพรรคพวกเผยแพร่ว่าด้วยการกระจายกันไปปลุกระดมให้คนไม่ปกติทั่วโลกลุกขึ้นก่อการ หรือครูที่เจอแรงกดดันจากระบบห้ามตี ห้ามด่า ห้ามให้เด็กตก แต่พอเด็กแย่ๆ ก็โดนผู้ปกครองโดนสังคมว่า เมื่อครูต้องออกจากงาน ชายคนแรกมาพบพร้อมยื่นอาวุธสงครามให้เอาไปก่อเหตุกราดยิง เน้นที่เด็กเกรียนพวกนี้ละ หรือแม้แต่ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง เดิมก็มีแฟนชีวิตปกติดี แต่วันหนึ่งก็รู้ว่าแฟนแอบหาคู่แบบว่าผ่านออนไลน์แล้วก็นัดไปจริงๆ เพราะอีกฝ่ายหุ่นดีกว่าและร่ำรวยกว่า ( ยุคนั้นคนเล่น MSN จะรู้ว่านัดแบบว่ากันง่ายมาก ) ชายคนดังกล่าวก็มาปรากฏตัวอีก พร้อมกับยั่วยุให้ออกไปก่อเหตุยิงคนที่แย่งแฟนและคนที่มีพฤติกรรมคล้ายกันกันเถอะ ฯลฯ บลาๆๆ ทุกกรณีจบลงด้วยถ้าไม่ถูกวิสามัญก็จะฆ่าตัวตาย ตัดสลับทิ้งท้ายด้วยการที่ชายผู้มีพลังพิเศษ 2 คนยังคงไล่ล่ากันต่อไป
.
( แต่สุดท้ายคือผมไม่ได้ลงมือเขียนครับเพราะโดนความขี้เกียจเข้าครอบงำ..ฮา!!! )
.
ทำไมตอนนั้นผมถึงหมกมุ่นกับเรื่องพวกนี้ เพราะผมอยากสะท้อนให้บรรดาคนปกติที่อยู่กับสังคมได้รวมถึงได้ประโยชน์จากโครงสร้างของสังคมที่มันดำรงอยู่นี้ ได้หันมามองคนที่ตกสำรวจไปจากสังคมบ้าง ด้วยเหตุผลว่าผมก็เป็นคนหนึ่งในกลุ่มนี้นี่ละ ในขณะที่ผมหงุดหงิดกับบรรดาคนปกติที่จะชอบเย้ยหยันคนที่บ่นเรื่องความเหลื่อมล้ำ บ่นเรื่องระบบที่ไม่เป็นธรรมว่าเป็นพวก Loser ทำไมไม่ปรับตัว บุคลิกไม่ดีก็แก้สิ เรียนวิชานี้ไม่ได้ก็ต้องขยันเพิ่ม แฟนทิ้งก็ช่างมัน หรือถ้าทนอาชีพนี้ไม่ได้ วัฒนธรรมองค์กรมันแย่ก็ลาออกสิ ( เน้นๆ ก็ในพันติ๊ปนี่ละครับ..หลายกระทู้ที่ผมนั่งอ่านเวลามีสมาชิกมาตั้งแล้วมีคนเฮโลมาตอบทำนองเย้ยหยัน ผมนี่ภาวนาอยากให้มีคนแบบ Joker มาจับพวกคนเก่งคนดีหน้าจอนี่ไปเล่นเกมจริงๆ นะ คือลองให้ไปอยู่สถานการณ์กดดันลำบากยากแค้นแบบที่ จขกท. นั้นบรรยายมา อยากรู้จังว่าจะยังทำตัวเป็นคนดีผู้ทรงศีลธรรมได้อย่างที่แพล่มผ่านคีย์บอร์ดได้จริงไหม หรือจะเข้าสู่ด้านมืดของพลังแบบคนที่พวกเขาต่อว่าประณาม ) ผมนี่ของขึ้นมากนะเวลาเจอความเห็นแบบนี้ ผมคิดว่าทางที่ควรจะเป็นมันคือการแก้ไขระบบหรือค่านิยมบางอย่างของสังคมที่มันกดทับคนบางกลุ่มพวกนี้ให้มันเหลื่อมล้ำน้อยลงหรือเปล่า
.
ยกอีกตัวอย่างก่อนหน้าเหตุกราดยิงก็ได้ ที่มีคนคนหนึ่งออกมาเสนอว่าเราสามารถมีอะไรกันโดยไม่ใส่ถุงยางได้แล้วไม่เสี่ยงติดเอดส์ด้วย ข้อเท็จจริงด้านหนึ่งก็ต้องยอมรับละว่าก่อนหน้านี้มันมีการรณรงค์กันเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ ทั้งการให้กินยาต้านไวรัส HIV 1 ปีติดต่อกันขึ้นไปจะกดเชื้อจนไม่สามารถแพร่ไปหาคนอื่นได้ หรือการกินยา PrEP ที่บอกว่าสามารถป้องกัน HIV ได้ ผมเชื่อว่าคนที่รณรงค์คงไม่คิดว่าวันดีคืนดีจะมีใครอุตริลุกขึ้นมาบอกว่าถ้างั้นเรามาสดไม่ใส่ถุงกันเถอะ แต่คงคิดว่าให้ทั้ง 2 วิธีเป็นทางเลือกเสริมนอกจากถุงยาง ( กรณีถุงยางแตก รั่ว หลุด จะได้มั่นใจอีกชั้น ซึ่งจริงๆ ถ้าไม่แตกไม่รั่วไม่หลุดคือปลอดภัยแน่นอนอยู่แล้วละ ) ถึงกระนั้นผมนี่หงุดหงิดจริงๆ นะ ที่มีเสียงเรียกร้องจากชาวเน็ตว่าคนคนนี้มันไม่ปกติ ช่วยลบคลิปลบทุกอย่างบนโซเชียลที่เกี่ยวกับคนคนนี้ไปจากสารบบออนไลน์ที ผมเห็นว่ามันควรใช้โอกาสนี้ให้ผู้เชี่ยวชาญจริงๆ ออกมาดีเบตกันให้ชัดไปเลยดีกว่า เอาให้จบว่าทำไมจึงควรใส่ถุงยางแม้จะมีหนทางใหม่ทั้ง 2 วิธีข้างต้นก็ตาม 
.
หรือเรื่อง ผอ. ที่ไปปล้นทอง ก็มีการโยงไปถึงปัญหาหนี้สินครู มีความตระหนกว่าไม่รู้จะมีครูคนไหนบ้าๆ ออกมาก่อเหตุแบบนี้อีกหรือเปล่า แล้วก็บอกว่าคนที่มีหนี้สินไม่ควรเป็นครูหรือควรถูกย้ายไปทำอย่างอื่น มีการบอกว่าคนเป็นหนี้คือพวกฟุ้งเฟ้อ ใครชอบก่อหนี้อย่าไปคบ ผมนี่ของขึ้นเลย ไม่ได้เห็นใจ ผอ. ที่ปล้นทองนะ แต่มองว่า ผอ.คนนี้ก็เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจาก “สังคมติดเปลือก” นั่นละ มองคนจากภายนอก ต้องมีนั่นมีนี่ สมัยนี้ไม่ใช่แค่มีบ้านมีรถ ต้องมีภาพอวดโปรไฟล์หรูๆ แพงๆ ลงอินเตอร์เน็ตด้วย ไม่งั้นก็โดนมองลดค่าไปเป็นอีกระดับชั้นหนึ่ง ( คน Gen-Y ลงมาจึงเครียดและซึมเศร้าง่ายกว่าคน Gen-X หรือ Babyboom เพราะเจออัตราเร่งของการอวดประชันที่หนักหน่วงและถี่กว่า ) อันนี้เป็นกันทุกอาชีพ เพียงแต่ข้าราชการจะชัดหน่อยเพราะช่องทางกู้ได้ง่ายกว่ามนุษย์เงินเดือนเอกชนก็เท่านั้น ยิ่งถ้าเป็นผู้ชายด้วยความคาดหวังยิ่งสูงเพราะมีเรื่องเพศตรงข้ามมาเกี่ยว..ใช่ครับ ถ้าคุณไม่รวย ไม่มีเฟอร์ฯ แพงๆ สาวโปรไฟล์ดีๆ เขาไม่มองหรอก ( อันนี้เป็นปมส่วนตัวผมด้วยส่วนหนึ่ง..ฮาอีกแล้ว!!! ) เราถูกปลุกเร้าให้ต้องอวดแข่งกับคนรอบๆ ตลอดเวลา ใครไม่มีก็จะถูกถามเรื่อยๆ สิ่งที่มันควรจะเป็นคือแทนที่จะตีตราคนเป็นหนี้ว่าเป็นผู้ก่อปัญหาสังคมตามจริตคนปกติที่เก่งและดีเหลือเกิน น่าจะมาคิดกันว่าทำยังไงจะลดดีกรีเจ้าสิ่งที่เรียกว่าสังคมติดเปลือกลงได้บ้าง หรืออย่างน้อยก็ช่วยกันแยกแยะหน่อยหนี้อะไรจำเป็น หนี้อะไรเกินเลย   
.
โดยส่วนตัวผมชอบอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับฆาตกรต่อเนื่อง หรือคนที่อยู่ดีๆ ลุกขึ้นมาก่อเหตุรุนแรงนะ ( สมัยนี้มีคำว่า Lone Wolf ใช้เรียกคนที่ไม่เคยเกี่ยวข้องอะไรกับกลุ่มก่อการร้ายเลย แต่ไปอ่านแนวคิดบางอย่างแล้วมันอินแล้วก็ลุกขึ้นมาก่อเหตุ ) ยิ่งมีคนไปทำสารคดีหรือข่าวเจาะหาแรงจูงใจ ประวัติตั้งแต่เด็กๆ มานำเสนอเยอะๆ นี่ผมว่าเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำไป ผมไม่ได้ยกย่องคนเหล่านี้เป็นฮีโร่ ( แม้ว่าผมจะถูกสังคมตีตราว่าไม่ปกติมาตลอดจนทุกวันนี้ คล้ายๆ กับประวัติของคนเหล่านี้ก็เถอะ ) แต่ที่อยากให้นำเสนอก็เพื่อเป็นอุทาหรณ์ และผมว่าที่ผ่านมาสังคมเราก็ค่อยๆ ใช้บทเรียนพวกนี้ปรับเปลี่ยนอะไรไปพอสมควร อย่างเรื่องการแสดงออกเชิงเยาะเย้ย การรังแกกันไม่ว่าในโรงเรียนหรือที่ทำงาน วัฒนธรรมองค์กรที่ก่อให้เกิดความกดดันจนเกินควรถูกมองว่าเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขไม่มากก็น้อยขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่มองว่าคนที่ทนไม่ได้คือพวกไม่ได้เรื่อง ไม่ปกติอะไรก็ว่าไป ใส่หน้ากากเข้าหากันไปวันๆ รอปัจจัยแวดล้อมอำนวยให้เกิดการระเบิดขึ้น 
.
สุดท้ายอยากบอกว่าท่านๆ ที่คิดว่าเป็นคนปกติทั้งหลาย เก่งแล้วดีแล้ว โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยเชื่อนะว่าถ้าท่านไปอยู่ในจุดเดียวกับคนที่ท่านต่อว่าประณามแล้วท่านจะไม่ทำแบบเดียวกันโดยเด็ดขาด ตรงกันข้ามผมเชื่ออย่างหนักแน่นว่าท่านจะทำนั่นละ ส่วนผลกระทบที่ได้มันจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับศักยภาพในการก่อเหตุของท่านเอง ดังนั้นผมจึงไม่เห็นด้วยเรื่องจงฝังประวัติศาสตร์ของคนชั่วคนเลวคนบ้าอย่าส่งต่อ เพราะมันไม่ช่วยให้รากของปัญหาที่คนอีกกลุ่มในสังคมเผชิญหายไป แต่จนบันทึกไว้อย่างกระจ่างแจ้งว่าที่มาของความบ้าความเลวความชั่วนั้นคืออะไร เพื่อนำไปสู่การแก้ไขหรือป้องกันไม่ให้เกิดปัจจัยที่สร้างคนแบบนี้ขึ้นมาอีก
.
( ระบายจบแล้ว..ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่อดทนอ่านจนจบครับ  )
.
ปล.หลายปีก่อนมีกระแสแบนเครื่องหมายสวัสดิกะ-รูปฮิตเลอร์ ทั้งๆ ที่คนไทยเอามาใช้ในเชิงล้อเลียนขำๆ ไม่ได้อวยผู้นำนาซีแต่อย่างใด ผมเองก็ต่อต้านกระแสนี้อยู่เหมือนกัน เพราะในบางมุมผมเห็นใจฮิตเลอร์ด้วยซ้ำ สังคมเยอรมันขณะนั้นถูกพวกชาติฝ่ายสัมพันธมิตรทำสัญญาเอาเปรียบสารพัดในฐานะผู้แพ้สงคราม ผมไม่แปลกใจที่ทำไมฮิตเลอร์ถึงขึ้นมาเป็นใหญ่ได้ ถ้าจะมีผิดพลาดคือเรื่องกำจัดชาวยิวแบบล้างเผ่าพันธุ์นี่ละ ไม่งั้นคงไม่ถูกประณามหนักขนาดนี้ แต่ครั้นจะบอกว่านาซีผิดฝ่ายเดียว ไม่อยากให้พาดพิงสัมพันธมิตรหรือชาวยิวบางส่วนที่หาประโยชน์จากความลำบากของคนเยอรมันเพราะไม่อยากให้ฮิตเลอร์ได้รับความเห็นใจกลัวจะมีการเลียนแบบในอนาคต ผมว่าแบบนี้เกินไปหน่อย!!!
.
ปล2. สำหรับคนที่อ่านถึงตรงนี้ บอกให้สบายใจได้ครับว่าผมไม่ออกไปฆ่าใครแน่นอน ขนาดสัตว์ตัวเล็กๆ ไม่จำเป็นผมยังเลือกไล่มากกว่าฆ่าเลย ที่สำคัญผมยิงปืนไม่เป็นและไม่สู้คนด้วยจ้า ( ฮาอีกรอบ )
 
TonyMao_NK51 ( ใช้แทนอมยิ้มที่ถูกแบน )
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่