เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2552
พี่สะใภ้ มาขอให้สามีดิฉันเซ็นค้ำประกันเข้าทำงานในตำแหน่งผู้จัดการช่วยผู้จัดการ (ในเอกสารของศาลมีระบุ)
ต่อมามีการยักยอกทรัพย์ของบริษัทโดยมีพี่สะใภ้เป็นผู้ต้องหา
ในการถูกแจ้งดำเนินคดี ผู้ต้องหาคือน.ส.สุดารัตน์ เซ็นรับคำสารภาพแต่เพียงผู้เดียว (ซึ่งมาอ้างในตอนหลังว่ากลัวติดคุกเพราะถูกบังคับจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในคดี)
วันขึ้นศาล ทางสามีดิฉัน คือนายเทพฤทธิ์ซึ่งตกเป็นจำเลยที่ 2 ในฐานะคนค้ำประกัน ไม่ได้เข้าร่วมฟังคำตัดสินด้วย เพราะไม่มีผู้ใดแจ้ง และจำเลยที่ 1 คือน.ส.สุดารัตน์ (ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็นจุฑามาศ) ก็ไม่ได้บอกว่าต้องไปศาล แม้กระทั่งทนายที่เข้ามาให้คำแนะนำปรึกษาในคดีนี้ก็ไม่ได้บอกกล่าวแต่อย่างใด
ศาลตัดสินให้จำเลยที่ 1 คือน.ส.สุดารัตน์ ทำการชำระหนี้ให้กับบ.ทิพยประกันภัยในจำนวน 3 หมื่นบาททุกเดือน ต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี มีผลทันทีนับไป 1 เดือนจากคำพิพากษา (ต้นปี 53)
ทนาย ซึ่งเป็นคนรู้จักกันได้ฝากบอกมายังสามีตู่ว่าคดีนี้ผมกันพี่เทพฤทธิ์ออกได้แล้ว
... เวลาล่วงมาเกือบ 10 ปี (ยอด ณ ปัจจุบันคือล้านกว่า)
จำเลยที่ 1 คือน.ส.สุดารัตน์ ก็ยังเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านนางที่ จ.โคราช และบ้านของสามีนางที่ จ.ปทุม
ไม่มีการพูดถึงเรื่องคดี ไม่เคยรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา นางได้ชำระหนี้ตามคำสั่งศาลหรือไม่แต่อย่างใด
จนกระทั่งสัปดาห์ก่อน เราได้เอกสารจากกรมบังคับคดีให้จำเลยที่ 2 คือนายเทพฤทธิ์ชดใช้หนี้จากคดียักยอกทรัพย์นี้เป็นจำนวนเงิน 13,600.- ทุกเดือน โดยมีบ.ทิพย เป็นโจทย์
ความผิดที่นายเทพฤทธิ์ จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ได้เป็นผู้ก่อ เหตุใดจึงต้องมาชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ทั้ง ๆ ที่มีคำตัดสินจากศาลซึ่งถือเป็นอันสิ้นสุดแล้ว
... คนที่เสียภาษีให้กับแผ่นดินอย่างถูกต้องชอบธรรม คนที่เซ็นค้ำประกันให้ผู้อื่นได้มีอาชีพ คนที่มีเจตนาดีบริสุทธิ์ กลับตกเป็นเหยื่อให้กับบริษัทนายประกัน
ในขณะที่จำเลยที่ 1 ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้หนีหายไปไหน ทำไมบริษัททิพยถึงไม่ทำการติดต่อให้เขามารับผิดชอบโดยตรง
ก่อนจะมีเอกสารบังคับให้ชดใช้หนี้ในทันที เหตุใดจึงไม่มีหนังสือแจ้งเตือนมาก่อน
... ถ้าดิฉันจะฟ้องบ.ทิพย สามารถทำได้หรือไม่ (เพราะไม่ได้รับการติดต่อใด ๆ จนกระทั่งบริษัทต้นสังกัดที่สามีดิฉันทำงานอยู่ได้ทำการหักเงินเดือนโดยอัตโนมัติหลังจากแจ้งให้รับทราบเพียง 2 วัน)
... หรือเราจะมีทางออกอื่นหรือไม่ ขอรบกวนท่านหมอความช่วยชี้ทางให้ด้วยค่ะ
เคราะห์กรรมของคนค้ำประกัน
พี่สะใภ้ มาขอให้สามีดิฉันเซ็นค้ำประกันเข้าทำงานในตำแหน่งผู้จัดการช่วยผู้จัดการ (ในเอกสารของศาลมีระบุ)
ต่อมามีการยักยอกทรัพย์ของบริษัทโดยมีพี่สะใภ้เป็นผู้ต้องหา
ในการถูกแจ้งดำเนินคดี ผู้ต้องหาคือน.ส.สุดารัตน์ เซ็นรับคำสารภาพแต่เพียงผู้เดียว (ซึ่งมาอ้างในตอนหลังว่ากลัวติดคุกเพราะถูกบังคับจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในคดี)
วันขึ้นศาล ทางสามีดิฉัน คือนายเทพฤทธิ์ซึ่งตกเป็นจำเลยที่ 2 ในฐานะคนค้ำประกัน ไม่ได้เข้าร่วมฟังคำตัดสินด้วย เพราะไม่มีผู้ใดแจ้ง และจำเลยที่ 1 คือน.ส.สุดารัตน์ (ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็นจุฑามาศ) ก็ไม่ได้บอกว่าต้องไปศาล แม้กระทั่งทนายที่เข้ามาให้คำแนะนำปรึกษาในคดีนี้ก็ไม่ได้บอกกล่าวแต่อย่างใด
ศาลตัดสินให้จำเลยที่ 1 คือน.ส.สุดารัตน์ ทำการชำระหนี้ให้กับบ.ทิพยประกันภัยในจำนวน 3 หมื่นบาททุกเดือน ต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี มีผลทันทีนับไป 1 เดือนจากคำพิพากษา (ต้นปี 53)
ทนาย ซึ่งเป็นคนรู้จักกันได้ฝากบอกมายังสามีตู่ว่าคดีนี้ผมกันพี่เทพฤทธิ์ออกได้แล้ว
... เวลาล่วงมาเกือบ 10 ปี (ยอด ณ ปัจจุบันคือล้านกว่า)
จำเลยที่ 1 คือน.ส.สุดารัตน์ ก็ยังเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านนางที่ จ.โคราช และบ้านของสามีนางที่ จ.ปทุม
ไม่มีการพูดถึงเรื่องคดี ไม่เคยรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา นางได้ชำระหนี้ตามคำสั่งศาลหรือไม่แต่อย่างใด
จนกระทั่งสัปดาห์ก่อน เราได้เอกสารจากกรมบังคับคดีให้จำเลยที่ 2 คือนายเทพฤทธิ์ชดใช้หนี้จากคดียักยอกทรัพย์นี้เป็นจำนวนเงิน 13,600.- ทุกเดือน โดยมีบ.ทิพย เป็นโจทย์
ความผิดที่นายเทพฤทธิ์ จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ได้เป็นผู้ก่อ เหตุใดจึงต้องมาชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ทั้ง ๆ ที่มีคำตัดสินจากศาลซึ่งถือเป็นอันสิ้นสุดแล้ว
... คนที่เสียภาษีให้กับแผ่นดินอย่างถูกต้องชอบธรรม คนที่เซ็นค้ำประกันให้ผู้อื่นได้มีอาชีพ คนที่มีเจตนาดีบริสุทธิ์ กลับตกเป็นเหยื่อให้กับบริษัทนายประกัน
ในขณะที่จำเลยที่ 1 ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้หนีหายไปไหน ทำไมบริษัททิพยถึงไม่ทำการติดต่อให้เขามารับผิดชอบโดยตรง
ก่อนจะมีเอกสารบังคับให้ชดใช้หนี้ในทันที เหตุใดจึงไม่มีหนังสือแจ้งเตือนมาก่อน
... ถ้าดิฉันจะฟ้องบ.ทิพย สามารถทำได้หรือไม่ (เพราะไม่ได้รับการติดต่อใด ๆ จนกระทั่งบริษัทต้นสังกัดที่สามีดิฉันทำงานอยู่ได้ทำการหักเงินเดือนโดยอัตโนมัติหลังจากแจ้งให้รับทราบเพียง 2 วัน)
... หรือเราจะมีทางออกอื่นหรือไม่ ขอรบกวนท่านหมอความช่วยชี้ทางให้ด้วยค่ะ