“พี่แผน ฉันขอฝากลูกด้วยนะ ศันมันเป็นเด็กกินง่าย อยู่ง่าย ลูกฉันค่อนข้างฉลาดหัวไว คงไม่ใช้เวลาปรับตัวนานหรอกจ้ะ เอาไว้ให้อะไรๆ มันลงตัวก่อน แล้วฉันจะมารับลูกกลับไปอยู่ด้วยกัน”
เสียงของแม่ที่กำลังคุยกับลุงดังแว่วมาให้ได้ยินแต่ไกล เด็กหญิงตัวอวบหนาในชุดเอี๊ยมยีนส์ขายาวสีซีดออกแรงโยกตัวบนชิงช้า ที่ทำจากยางรถยนต์ผูกกับเชือกเส้นใหญ่ แว่นสายตาเลนส์หนาสะท้อนแสงในยามบ่าย ทำให้มองไม่เห็นแววตาของเด็กน้อยที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่นทรงกลมนั้น
เด็กหญิงกราดมองสำรวจทุกสิ่งทุกอย่างรอบกาย ก่อนเบ้ปากออกมาอย่างไม่ชอบใจ เธอถูกแม่พานั่งรถทัวร์ออกจากกรุงเทพมาตั้งหลายชั่วโมง แล้วยังต่อรถสองแถวคันใหญ่ปุเลงออกนอกเมืองมาอีกตั้งไกล เพื่อเด็กเก้าขวบอย่างเธอจะได้ถูกนำมาทิ้ง ให้อยู่ในการดูแลของพี่ชายคนโตของแม่ที่นี่
ศันสนีย์ไม่ชอบลุงแผน ไม่ชอบบ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ แท้จริงแล้ว เด็กหญิงไม่ชอบอะไรเลยสักอย่างที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นสถานที่แห่งนี้ ยกเว้นสุนัขพันทางสองตัวชื่อ เจ้ามะระกับเจ้ามะยม ที่เข้ามาคลอแข้งคลอขาผูกมิตร ทั้งสองตัวกำลังนอนหมอบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้าน อยู่เฝ้าระวังเป็นเพื่อนให้กับเด็กหญิงที่กำลังไกวชิงช้าเล่นด้วยแรงอารมณ์
รอแม่ออกมาก่อนเถอะ จะกรีดร้องใส่หน้าว่า หนูจะไม่ยอมอยู่ที่นี่ หนูจะกลับห้องที่กรุงเทพ ถ้าแม่ไม่ให้หนูอยู่ด้วย หนูจะไปอยู่กับพ่อก็ได้!
“นังผึ้ง เด็กมันเกิดโตในเมือง อยู่ๆ ปุบปับก็ถูกย้ายมาอยู่ที่กันดารแบบนี้ มันจะไม่มีปัญหารึ ข้ากลัวลูกเอ็งจะปรับตัวไม่ได้เอาน่ะซี”
แผนพูดกับน้องสาวคนเล็กด้วยความหนักใจ ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบห้าปีครองตัวเป็นโสด รักสันโดษ และเป็นพี่ชายคนโตเพียงคนเดียวในบรรดาลูกทั้งหมด ผู้อยู่ดูแลพ่อแม่จนวาระสุดท้าย บ้านที่อยู่กันมาตั้งแต่เดิม รวมถึงที่นาจำนวนหลายสิบไร่อันเป็นมรดก ยังไม่มีพี่น้องคนไหนออกปากขอจัดสรรปันส่วนแบ่งเอาไป ด้วยทุกคนยังคงอยากสงวนรักษาที่ทางของพ่อแม่เอาไว้ รวมถึงมีบางคนที่กำลังเดือดร้อน อย่างเช่น น้ำผึ้งที่จำเป็นต้องรบกวนพี่ชาย ให้ช่วยเป็นธุระดูแลลูกสาว ในระหว่างที่ตนไม่สามารถทำหน้าที่แม่ได้อย่างเต็มที่เหมือนเดิม
หลังจบชั้นมัธยมปลาย น้ำผึ้งเดินทางเข้าเมืองหลวง ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจจะลงเรียนมหาวิทยาลัยเปิด ควบคู่ไปกับการทำงานหาเลี้ยงตัวเอง สองปีแรก ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามแผนชีวิตที่วางเอาไว้ ทว่าพอขึ้นปีสาม เธอเริ่มคบหากับเพื่อนชายในโรงงานเดียวกัน จนเกิดมีลูกสาวตัวน้อยขึ้นมา โดยที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส จัดงานแต่งงาน หรือแม้แต่ผูกข้อไม้ข้อมือกันแต่อย่างใด การศึกษาเล่าเรียนจึงต้องยุติลงโดยปริยาย น้ำผึ้งกลายเป็นแม่ลูกหนึ่งที่ต้องทำงานสายตัวแทบขาด เพื่อหาเงินมาใช้จ่ายและเลี้ยงดูลูก อีกทั้งยังต้องช่วยใช้หนี้พนันที่สามีตัวดีเป็นผู้ก่อขึ้นมาเป็นระยะอีกด้วย
อดทนประคองชีวิตคู่ ลุ่มๆ ดอนๆ มานานหลายปี จนในท้ายที่สุด ผีพนันก็กลืนกินวิญญาณสามีไปจนหมดสิ้น วันหนึ่งหลังจากรับลูกกลับจากโรงเรียน เธอก็แทบล้มทั้งยืน เมื่อพบสภาพห้องเช่าว่างเปล่า ข้าวของมีค่าที่พอจำนำหรือขายได้ถูกกวาดออกไปจนหมดสิ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นฝีมือของใคร คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพ่อของลูกผู้ไม่ยอมทำงานทำการ หายหัวไปกินนอนอยู่ในบ่อนพนันเมื่อหลายวันที่แล้วนั่นเอง
ไม่เหลือทรัพย์สินอะไรเลย นอกจากเงินจำนวนไม่กี่พันในกระเป๋าสะพายที่พกติดตัว น้ำผึ้งตัดสินใจในคืนเดียวกันนั้น เพื่อไม่ให้ทั้งแม่และลูกต้องอดตาย หญิงสาวเก็บเสื้อผ้าและข้าวของของลูกสาวใส่กระเป๋าใบใหญ่ ซื้อตั๋วรถทัวร์บ่ายหน้ากลับมายังบ้านเกิดที่จากไปนาน บากหน้ามาหาญาติใกล้ชิดที่ยังเหลืออยู่ เธออ้อนวอนพี่ชายคนโตด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา ฝากลูกไว้ให้อยู่ที่นี่เสียยังดีกว่า ให้ลูกต้องมาลำบากกัดก้อนเกลือกินไปกับตนด้วย
.
ป. ไสยศาสตร์ 3/5 ::: บท 1 : ลุงแผน
เสียงของแม่ที่กำลังคุยกับลุงดังแว่วมาให้ได้ยินแต่ไกล เด็กหญิงตัวอวบหนาในชุดเอี๊ยมยีนส์ขายาวสีซีดออกแรงโยกตัวบนชิงช้า ที่ทำจากยางรถยนต์ผูกกับเชือกเส้นใหญ่ แว่นสายตาเลนส์หนาสะท้อนแสงในยามบ่าย ทำให้มองไม่เห็นแววตาของเด็กน้อยที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่นทรงกลมนั้น
เด็กหญิงกราดมองสำรวจทุกสิ่งทุกอย่างรอบกาย ก่อนเบ้ปากออกมาอย่างไม่ชอบใจ เธอถูกแม่พานั่งรถทัวร์ออกจากกรุงเทพมาตั้งหลายชั่วโมง แล้วยังต่อรถสองแถวคันใหญ่ปุเลงออกนอกเมืองมาอีกตั้งไกล เพื่อเด็กเก้าขวบอย่างเธอจะได้ถูกนำมาทิ้ง ให้อยู่ในการดูแลของพี่ชายคนโตของแม่ที่นี่
ศันสนีย์ไม่ชอบลุงแผน ไม่ชอบบ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ แท้จริงแล้ว เด็กหญิงไม่ชอบอะไรเลยสักอย่างที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นสถานที่แห่งนี้ ยกเว้นสุนัขพันทางสองตัวชื่อ เจ้ามะระกับเจ้ามะยม ที่เข้ามาคลอแข้งคลอขาผูกมิตร ทั้งสองตัวกำลังนอนหมอบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้าน อยู่เฝ้าระวังเป็นเพื่อนให้กับเด็กหญิงที่กำลังไกวชิงช้าเล่นด้วยแรงอารมณ์
รอแม่ออกมาก่อนเถอะ จะกรีดร้องใส่หน้าว่า หนูจะไม่ยอมอยู่ที่นี่ หนูจะกลับห้องที่กรุงเทพ ถ้าแม่ไม่ให้หนูอยู่ด้วย หนูจะไปอยู่กับพ่อก็ได้!
“นังผึ้ง เด็กมันเกิดโตในเมือง อยู่ๆ ปุบปับก็ถูกย้ายมาอยู่ที่กันดารแบบนี้ มันจะไม่มีปัญหารึ ข้ากลัวลูกเอ็งจะปรับตัวไม่ได้เอาน่ะซี”
แผนพูดกับน้องสาวคนเล็กด้วยความหนักใจ ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบห้าปีครองตัวเป็นโสด รักสันโดษ และเป็นพี่ชายคนโตเพียงคนเดียวในบรรดาลูกทั้งหมด ผู้อยู่ดูแลพ่อแม่จนวาระสุดท้าย บ้านที่อยู่กันมาตั้งแต่เดิม รวมถึงที่นาจำนวนหลายสิบไร่อันเป็นมรดก ยังไม่มีพี่น้องคนไหนออกปากขอจัดสรรปันส่วนแบ่งเอาไป ด้วยทุกคนยังคงอยากสงวนรักษาที่ทางของพ่อแม่เอาไว้ รวมถึงมีบางคนที่กำลังเดือดร้อน อย่างเช่น น้ำผึ้งที่จำเป็นต้องรบกวนพี่ชาย ให้ช่วยเป็นธุระดูแลลูกสาว ในระหว่างที่ตนไม่สามารถทำหน้าที่แม่ได้อย่างเต็มที่เหมือนเดิม
หลังจบชั้นมัธยมปลาย น้ำผึ้งเดินทางเข้าเมืองหลวง ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจจะลงเรียนมหาวิทยาลัยเปิด ควบคู่ไปกับการทำงานหาเลี้ยงตัวเอง สองปีแรก ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามแผนชีวิตที่วางเอาไว้ ทว่าพอขึ้นปีสาม เธอเริ่มคบหากับเพื่อนชายในโรงงานเดียวกัน จนเกิดมีลูกสาวตัวน้อยขึ้นมา โดยที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส จัดงานแต่งงาน หรือแม้แต่ผูกข้อไม้ข้อมือกันแต่อย่างใด การศึกษาเล่าเรียนจึงต้องยุติลงโดยปริยาย น้ำผึ้งกลายเป็นแม่ลูกหนึ่งที่ต้องทำงานสายตัวแทบขาด เพื่อหาเงินมาใช้จ่ายและเลี้ยงดูลูก อีกทั้งยังต้องช่วยใช้หนี้พนันที่สามีตัวดีเป็นผู้ก่อขึ้นมาเป็นระยะอีกด้วย
อดทนประคองชีวิตคู่ ลุ่มๆ ดอนๆ มานานหลายปี จนในท้ายที่สุด ผีพนันก็กลืนกินวิญญาณสามีไปจนหมดสิ้น วันหนึ่งหลังจากรับลูกกลับจากโรงเรียน เธอก็แทบล้มทั้งยืน เมื่อพบสภาพห้องเช่าว่างเปล่า ข้าวของมีค่าที่พอจำนำหรือขายได้ถูกกวาดออกไปจนหมดสิ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นฝีมือของใคร คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพ่อของลูกผู้ไม่ยอมทำงานทำการ หายหัวไปกินนอนอยู่ในบ่อนพนันเมื่อหลายวันที่แล้วนั่นเอง
ไม่เหลือทรัพย์สินอะไรเลย นอกจากเงินจำนวนไม่กี่พันในกระเป๋าสะพายที่พกติดตัว น้ำผึ้งตัดสินใจในคืนเดียวกันนั้น เพื่อไม่ให้ทั้งแม่และลูกต้องอดตาย หญิงสาวเก็บเสื้อผ้าและข้าวของของลูกสาวใส่กระเป๋าใบใหญ่ ซื้อตั๋วรถทัวร์บ่ายหน้ากลับมายังบ้านเกิดที่จากไปนาน บากหน้ามาหาญาติใกล้ชิดที่ยังเหลืออยู่ เธออ้อนวอนพี่ชายคนโตด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา ฝากลูกไว้ให้อยู่ที่นี่เสียยังดีกว่า ให้ลูกต้องมาลำบากกัดก้อนเกลือกินไปกับตนด้วย
.