ผมแกรี่ เนวิลล์ ไม่ใช่คนขี้แย
การเล่นให้แมนฯยูไนเต็ด มันมีหลากหลายอารมณ์ แต่ ผมแทบไม่เคยร้องไห้ จะแพ้ จะชนะ ผมไม่ใช่คนอ่อนไหวขนาดนั้น
แต่มีแค่ 3 ครั้งเท่านั้น ที่ผมน้ำตาไหลอย่างช่วยไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่เปี่ยมล้นจริงๆ
1) ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1999 ที่คัมป์นู
2) ได้สัญญาฉบับแรก ตอนอายุ 14 คำพูดแรกของโค้ช ที่บอกว่า ผมจะมีโอกาสได้เล่นกับทีมชุดใหญ่
และ 3) เกมแรกที่ผมได้ลงสนาม พบกับตอร์ปิโด มอสโก ในปี 1992
ที่ผมจะมาเล่าให้คุณฟังวันนี้ คือข้อ 3 กับจุดเริ่มต้นของผมในอาชีพนี้ วันที่ 16 กันยายน 1992
ตลอดช่วงชีวิตในการค้าแข้ง การได้เล่นให้ยูไนเต็ดเกมแรก เป็นโมเมนต์ที่ยิ่งใหญ่สำหรับผมเหลือเกิน
ตอนนี้มันผ่านมานาน 25 ปีแล้วนะ แต่ผมยังจำความรู้สึกได้ชัดเจนจริงๆ
นั่นเป็นเกมที่พิลึกที่สุด เพราะสัมผัสแรกของผมกับทีม ดันไม่ได้ใช้เท้าสัมผัสบอล ผมประเดิมสนามให้กับทีม ด้วยการใช้มือทุ่มบอล คือไม่รู้มีนักเตะคนไหน เป็นแบบผมไหม ประเดิมสัมผัสแรกกับสโมสรด้วยการใช้มือ !
รู้ไหม ผมจดจำรายละเอียดได้ถึงขั้นปลีกย่อยเลยนะ นั่นเป็นเกมแรก ที่ผมต้องมาพักที่โรงแรมของสโมสร ก่อนจะลงแข่งในวันรุ่งขึ้น
คุณพ่อของผมมาส่งก่อนเที่ยง ที่โรงแรมมิดแลนด์ ใจกลางเมือง ตอนนั้น ผมแชร์ห้องกับคริส แคสเปอร์ นักเตะเยาวชนอีกคน ที่ถูกดันมาเล่นชุดใหญ่ด้วยกัน ความรู้สึกของผมน่ะหรอ
"แคส มันเหลือเชื่อชะมัด ตอนนี้เราสองคนได้นอนที่โรงแรมมิดแลนด์ว่ะ!"
--------------------------------------
เมื่อเก็บของในห้องเสร็จ เราลงมาทานอาหารเที่ยง เราเจอไลน์บุฟเฟ่ต์ที่น่าตื่นตะลึงมาก
สำหรับนักเตะเยาวชน เราคุ้นเคยกับอาหารที่เดอะ คลิฟฟ์ แต่ที่นี่มันอีกระดับเลย ( *เดอะ คลิฟฟ์ คือสนามซ้อมเก่าของแมนฯยูไนเต็ด ก่อนย้ายมาใช้สนามแคร์ริงตัน ในปี 1999- แอดมิน)
ที่เดอะ คลิฟฟ์ ทุกวันศุกร์ เทเรซ่า แม่ครัวของทีมเยาวชน เธอจะทำ ไส้กรอก กับถั่วอบให้คุณกิน ส่วนวันพฤหัสฯ จะมีชีสทาร์ต เมนูวนไปวนมาแบบนี้ทุกสัปดาห์
ทีมเยาวชนของแมนฯยูไนเต็ดนั้นมีหลายทีม แต่ถ้าคุณติดทีม A ได้ล่ะก็ เอริค แฮร์ริสัน โค้ชของพวกเรา สัญญาว่าในมื้อหลังจากซ้อมแข่ง เราจะได้กินฟิช แอนด์ชิพด้วย!
สำหรับเด็กๆ แค่นั้นมันก็สุดยอดแล้ว
ผมบอกคุณได้เลยว่าในยุคนั้นที่ผมอยู่ยูไนเต็ดใหม่ๆ มันไม่มีเรื่องการไดเอ็ต หรือวางแผนการกินอะไรทั้งสิ้น!
จากเด็กสองคนที่แฮปปี้กับฟิช แอนด์ ชิพ ผมกับแคส เรามาอยู่ที่โรงแรมมิดแลนด์ และดูไลน์อาหารที่มีครบทุกอย่างที่คุณจะจินตนาการได้ ในใจผมคิดว่า เฮ้ย เราทำได้ว่ะ
หลังจากกินอาหารเสร็จ ผมขึ้นมาบนห้องนอน ในใจก็คิดต่อว่า "แล้วทีนี้ต้องทำอะไรต่อวะ?"
สำหรับรุ่นพี่ในทีม พวกเขามีวิธีจัดการกับเวลาได้ดี บางคนนอนพักผ่อน บางอ่านหนังสือ แต่กับเด็ก 17 อย่างพวกผมล่ะ นึกอะไรไม่ออกหรอก นอนก็ไม่หลับด้วย!
นิกกี้ บัตต์ กับ เดวิด เบ็คแฮม ก็ติดทีมชุดนี้ เตรียมลงเล่นกับตอร์ปิโด มอสโก เหมือนกัน พวกเรามีความหวังในใจว่า อาจจะถูกส่งลงสนามได้
จนถึงวันนี้ เรายังหยิบเอาเรื่องนี้มาคุยกันตลอด มันเป็นความทรงจำที่สวยงามจริงๆ
--------------------------------------
ในคืนนั้นที่โรงแรมมิดแลนด์ ผมมานอนคิดกับตัวเอง ว่ากว่าจะผ่านมาถึงตรงนี้ มันไม่ง่ายเลยนะ
เพราะทีมเยาวชนของแมนฯยูไนเต็ด มันเขี้ยวกว่าที่คุณคิดไว้เยอะ
ในทีมเต็มไปด้วยความกดดัน ความจริงจัง โค้ชของคุณเป็นมืออาชีพ นักเตะทุกคน อยากผลักดันตัวเองไปอยู่ทีม A ให้ได้ เพราะเรารู้ว่า ถ้าทำได้ เราจะมีโอกาสไปเล่นชุดใหญ่
ผมจำได้ว่า กองกลางของทีม A ตอนนั้น ประกอบไปด้วย เบ็คส์ , บัตต์ , ไซม่อน เดวีส์, เบน ธอร์นลี่ย์ และ คีธ จิลเลสพี คิดดูนักเตะอย่างพอล สโคลส์ ยังเป็นได้แค่สำรอง!
ขณะที่ไรอัน กิ๊กส์ เขาก้าวหน้าเร็วกว่าใครเพื่อน เขาติดทีมชุดใหญ่ไปก่อนแล้ว นานๆทีจะมาเล่นทีมเยาวชนกับพวกเราสักครั้ง
สำหรับผม รู้ดีว่า คุณต้องเต็มที่กับการเป็นผู้เล่นในอคาเดมี่ เราจะทำเป็นเล่นไม่ได้ ตอนแมนฯยูไนเต็ด เซ็นสัญญา 4 ปีกับผม พร้อมคำสัญญาว่า พร้อมจะดันขึ้นสู่ชุดใหญ่ นั่นทำให้คุณพ่อ บอกกับสโมสรว่า "งั้นผมต้องให้เขาลาออกจากโรงเรียน"
ในใจผมคิด "เฮ้ย บ้าน่า เอาจริงหรอ ลาออกเลยหรอ"
แต่กลายเป็นว่าคุณพ่อคิดถูก เพราะเมื่อคุณคิดจะเป็นนักเตะอาชีพแล้ว คุณต้องทุ่มเทให้กับมันจริงๆ
ตอนเป็นนักเตะเยาวชน โค้ชของผมมีสองคนคือเอริค แฮร์ริสัน และ น็อบบี้ สไตลส์
เอริค เคยเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ของทีมนอกลีก ในสมัยเป็นนักเตะเขาเป็นกองหลังที่โหดที่สุดที่คุณจินตนาการได้ ผมว่าเขาเคยจมูกหัก 8 หนนะถ้าจำไม่ผิด คือเอริคนี่แข็งแกร่งผิดมนุษย์เลยล่ะ
ส่วนน็อบบี้ ก็คือน็อบบี้ เขาเป็นตำนานของยูไนเต็ด และเคยติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่มาแล้ว
คำหนึ่งที่น็อบบี้เตือน และมันอยู่ในใจผมมาตลอด
"ในสนาม อย่าลืมว่านายมีเพื่อนแค่คนเดียว"
เพื่อนคนนั้น เขาหมายถึงรองเท้าสตั๊ดของคุณนะ!
สุดท้ายแล้วอย่างที่เขาบอก ในสนามไม่มีใครช่วยคุณได้หรอก ไม่ว่าจะเจอกับอะไร ต้องเอาตัวรอดให้ได้ด้วยตัวเอง
ผมเข้าใจความจริงจังของทุกคนนะ การที่พวกเขาสอน พวกเขาเคี่ยวเข็ญ มันเป็นการเตรียมความพร้อมให้นักเตะเยาวชนรับมือให้ได้ กับเกมของทีมชุดใหญ่
แต่ก็นะ เมื่อสุดท้ายคุณกำลังจะได้เล่นกับทีมชุดใหญ่ มันเป็นความกดดันที่อธิบายไม่ถูกจริงๆ
--------------------------------------
และแล้ว คืนนั้นที่โรงแรมมิดแลนด์ก็ผ่านไป โปรแกรมระหว่างแมนฯยูไนเต็ด กับ ตอร์ปิโด มอสโก ในยูฟ่าคัพ เลกแรก ก็มาถึง
ความเครียดของผมมาถึงจุดสูงสุด เมื่อเดินเข้ามาในห้องแต่งตัวของแมนฯยูไนเต็ด
ในห้องคุณเห็นสตีฟ บรูซ , แกรี่ พัลลิสเตอร์ , พอล อินซ์ ,ไบรอัน ร็อบสัน , ปีเตอร์ ชไมเคิล , มาร์ก ฮิวจ์ส และ เดนิส เออร์วิน แต่ละคนคือสุดยอดทั้งนั้น
แถมในปีต่อมา มีเอริค คันโตน่า กับ รอย คีนเข้ามาอีก คือทุกคนล้วนยิ่งใหญ่ ผมว่าพวกเขาใครก็ได้ เป็นกัปตันทีมได้หมดเลย
เมื่อผมเห็นพวกเขาเหล่านั้น ผมรู้ว่าตัวเองจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด ผมห้ามส่งพลาด ผมห้ามโหม่งพลาด ผมห้ามปล่อยกองหน้าคู่แข่งหลุดไปได้
ความเครียดเข้ามาครอบงำผม ผมต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อลดแรงกดดัน
การอยู่ในห้องแต่งตัวที่มีแต่แชมเปี้ยน ผมไม่รู้จะไปยืนตรงไหน จะไปคุยกับใคร ผมเลยเดินงงๆ ไปหา นักกายภาพบำบัดของเรา จิม แม็คเกรเกอร์
"ช่วยนวดแผ่นหลังของผมหน่อยได้ไหม จิม"
จิม งง เพราะผมไม่เคยมีอาการปวดที่แผ่นหลังมาก่อน
"เพื่ออะไรวะ?"
"เถอะนะ ผมแค่อยากโดนนวดจริงๆ"
สุดท้ายด้วยความที่เสียไม่ได้ จิมเลยต้องนวดให้ผมจนได้ เขานวดไปบ่นไป ซึ่งผมก็เข้าใจเขานะ เขาบอก "อะไรของวะ" คือผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าให้เขานวดทำไม
แต่จากนั้นมา 25 ปี เชื่อหรือไม่ ก่อนจะลงเล่นทุกนัด ผมต้องให้นักกายภาพบำบัดมานวดให้ตรงแผ่นหลังนี่แหละ มันเหมือนเป็นความเชื่อส่วนตัวไปแล้ว
หลังการโดนนวด ผมรู้สึกสงบใจมากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น และแล้วเวลาก็มาถึง เกมเริ่มต้นขึ้น และผมต้องเริ่มจากการเป็นตัวสำรองที่ม้านั่งไปก่อน
--------------------------------------
ผู้จัดการทีมส่งผมลงไปวอร์มอัพ ช่วงครึ่งหลัง ผมคิดในใจ "ว้าว"
นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่ผมลงมาที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด ในเกมนั้นมีคนดูน้อยกว่าสองหมื่นเสียอีก แต่สำหรับผมก็คิดว่ามันเยอะอยู่ดี
นาทีที่ 85 ผู้จัดการทีมบอกให้ผมวอร์มอีกครั้ง ผมคิดในใจว่าโอกาสของผมหมดไปแล้วล่ะ มันท้ายเกมเกินไปแล้ว เขาไม่ส่งผมลงแน่ๆ
แต่ผมเข้าใจผิด
"เอาล่ะ แกลงไปเล่นซะ" อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หันมาออกคำสั่ง
ความตื่นเต้นทั้งหมดจู่โจมผมรัวเป็นหมัดชุด
พอคุณได้ยินแบบนั้น ความรู้สึกต่างๆมันหลั่งไหลเข้ามาในหัวผม เกมแรกกับทีมชุดใหญ่ ในฐานะกองหลัง ผมคิดอยู่คำเดียว
"อย่าทำเก๋า"
กับนักเตะบางคนอาจจะคิดว่า ลงมาท้ายเกม กูขอยิงประตูเป็นฮีโร่ แต่สำหรับกองหลังอย่างผม ขอแค่จ่ายบอลให้ดี ไม่ก่อความผิดพลาด นั่นถือว่าเล่นได้ดีแล้ว
ในยุคปัจจุบัน อาจประเมินค่ากองหลังเก่งๆ ว่าต้องทำ 10 แอสซิสต์ และยิงได้ปีละ 3 ลูก แต่ในยุคนั้น หน้าที่ของกองหลังคือ ป้องกันให้ดี และจ่ายบอลให้ถึงมิดฟิลด์เท่านั้น
งานของผม คือทำหน้าที่ของตัวเองไป พยายามสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมให้ได้ และเมื่อไหร่ก็ตามที่ได้บอล ทำให้ชัวร์ว่า คุณจ่ายบอลดี ไม่ไปเข้าเท้าคู่แข่ง
แกรี่ แกจำไว้
- อย่าทิ้งตัวประกบ
- อย่าโดนคู่แข่งกระชากหลบ
- อย่าทำเสียจุดโทษ
- อย่าทำอะไรโง่ๆ
- อย่าโชว์เก๋า
ผมโดนส่งลงสนามในตำแหน่งแบ็กขวา แทนที่ ลี มาร์ติน โดยตำแหน่งคือยืนอยู่ด้านหลัง อันเดร แคนเชลสกี้ ซึ่งการเล่นข้างหลังอันเดร มันเล่นได้ง่ายมาก เพราะเขาเก่งจริงๆ
ความเร็วของแคนเชลสกี้ นั่นทำให้ ปีกซ้ายของคู่แข่งต้องลงไปเล่นเกมรับด้วย นั่นส่งผลให้แบ็กขวาอย่างผม ไม่ต้องโดนกดดันเท่าไหร่ ซึ่งก็ถือเป็นโชคดีนะ
แถมในยุคต่อมา ปีกขวาที่เล่นกับผม ก็มีเดวิด เบ็คแฮม และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ แต่ละคนอันตรายทั้งนั้น จนผมไม่โดนกดดันมาก และนั่นอาจเป็นเหตุผล ที่ผมยืนหยัดได้ตลอด 20 ปีก็ได้
กับเกมแรกของผม ในการเจอตอร์ปิโด มอสโก ผมไม่โดนบอลเลย แต่สุดท้ายในช่วงทดเจ็บ คู่แข่งทำบอลออกข้าง บริเวณกลางสนามฝั่งขวา
สัมผัสแรกของผมกับทีมชุดใหญ่เลยกลายเป็นการทุ่ม ซึ่งในช่วงวัยรุ่น ผมมีพลังมหาศาลเรื่องการทุ่มอยู่แล้ว ผมทุ่มลึกเข้าไปในเขตโทษคู่แข่งได้เลย
ผมทุ่มยัดเข้าไป ลึกถึงเขตโทษ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น สุดท้ายเกมจบลงที่สกอร์ 0-0 เราทำได้แค่เสมอกับตอร์ปิโด มอสโก ในเลกแรก ของยูฟ่าคัพ
เกมจบ เราเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว ทีนี้ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เดินแยกเขี้ยวมาหาแกรี่ พัลลิสเตอร์ และระเบิดลงทันที
"ไอ้เวรเอ๊ย แกเคยไปดูเกมเยาวชนมั่งหรือเปล่าวะ!"
"น่าอาย
ถ้าแกดูทีมเยาวชนของเราซะบ้าง จะรู้ว่าไอ้เด็กเนวิลล์นี่มันทุ่มได้ไกลมาก"
"เราเสมอ 0-0 ในนาทีสุดท้าย แล้วแกยังเดินแกร่วอยู่กลางสนาม ทำไมไม่เข้าไปในเขตโทษวะ!"
วันนี้ เฟอร์กี้ เดือดดาลอย่างน่าตกใจ แต่รู้อะไรไหม ในใจลึกๆของผมแอบดีใจนะ
เหมือนเขาชมลูกทุ่มของผม ทั้งๆที่จริงๆเขาอาจจะแค่อยากด่าพัลลิสเตอร์ก็ได้
เอาเป็นว่า ถ้าผมตายวันรุ่งขึ้นก็ไม่มีอะไรติดค้างในใจแล้ว เพราะผมได้เล่นให้ยูไนเต็ด ทีมที่ผมฝันมาตลอดตั้งแต่ 4 ขวบแล้ว
--------------------------------------
เกมแรกในชีวิตของผมมันจบไปแล้ว ความรู้สึกของผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่นัก ผมนอนไม่หลับเลยคืนนั้น
การได้เดินออกจากอุโมงค์ลงไปสู่สนาม มันเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรเหมือน
ก่อนเกมเริ่ม ความตื่นเต้น อะดรีนาลีน ทุกสิ่งทุกอย่าง มันทำให้ร่างกายคุณสูบฉีด
จากนั้นพอจบเกม คุณจะรู้สึกปลื้มใจ ตื้นตันจนน้ำตาไหล
สิ่งแรกที่ผมคิด ณ เวลานั้น คือ
"มันช่างสุดยอดจริงๆ"
เป็นความรู้สึกที่ผมไม่มีวันลืม แม้ผ่านมานานหลายสิบปีแล้วก็ตาม!
#GaryNeville
--------------------------------------
เครดิต : เพจ -- วิเคราะห์ บอลจริงจัง
(ขอแสดงความ เคารพ และขอบคุณ อย่างสุดซึ้ง กับบทแปล+ บทความดีๆ ครับ
ขออนุญาติ นำมาแบ่งปัน ให้เพื่อนๆผู้ขายวิญญาณให้ปีศาจ ได้มีโอกาสได้อ่านกัน)
## เรื่องราวของ ลูกนกหัดบิน Class of ‘92 ... จิตวิญญาณแห่ง ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ##
การเล่นให้แมนฯยูไนเต็ด มันมีหลากหลายอารมณ์ แต่ ผมแทบไม่เคยร้องไห้ จะแพ้ จะชนะ ผมไม่ใช่คนอ่อนไหวขนาดนั้น
แต่มีแค่ 3 ครั้งเท่านั้น ที่ผมน้ำตาไหลอย่างช่วยไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่เปี่ยมล้นจริงๆ
1) ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1999 ที่คัมป์นู
2) ได้สัญญาฉบับแรก ตอนอายุ 14 คำพูดแรกของโค้ช ที่บอกว่า ผมจะมีโอกาสได้เล่นกับทีมชุดใหญ่
และ 3) เกมแรกที่ผมได้ลงสนาม พบกับตอร์ปิโด มอสโก ในปี 1992
ที่ผมจะมาเล่าให้คุณฟังวันนี้ คือข้อ 3 กับจุดเริ่มต้นของผมในอาชีพนี้ วันที่ 16 กันยายน 1992
ตลอดช่วงชีวิตในการค้าแข้ง การได้เล่นให้ยูไนเต็ดเกมแรก เป็นโมเมนต์ที่ยิ่งใหญ่สำหรับผมเหลือเกิน
ตอนนี้มันผ่านมานาน 25 ปีแล้วนะ แต่ผมยังจำความรู้สึกได้ชัดเจนจริงๆ
นั่นเป็นเกมที่พิลึกที่สุด เพราะสัมผัสแรกของผมกับทีม ดันไม่ได้ใช้เท้าสัมผัสบอล ผมประเดิมสนามให้กับทีม ด้วยการใช้มือทุ่มบอล คือไม่รู้มีนักเตะคนไหน เป็นแบบผมไหม ประเดิมสัมผัสแรกกับสโมสรด้วยการใช้มือ !
รู้ไหม ผมจดจำรายละเอียดได้ถึงขั้นปลีกย่อยเลยนะ นั่นเป็นเกมแรก ที่ผมต้องมาพักที่โรงแรมของสโมสร ก่อนจะลงแข่งในวันรุ่งขึ้น
คุณพ่อของผมมาส่งก่อนเที่ยง ที่โรงแรมมิดแลนด์ ใจกลางเมือง ตอนนั้น ผมแชร์ห้องกับคริส แคสเปอร์ นักเตะเยาวชนอีกคน ที่ถูกดันมาเล่นชุดใหญ่ด้วยกัน ความรู้สึกของผมน่ะหรอ
"แคส มันเหลือเชื่อชะมัด ตอนนี้เราสองคนได้นอนที่โรงแรมมิดแลนด์ว่ะ!"
--------------------------------------
เมื่อเก็บของในห้องเสร็จ เราลงมาทานอาหารเที่ยง เราเจอไลน์บุฟเฟ่ต์ที่น่าตื่นตะลึงมาก
สำหรับนักเตะเยาวชน เราคุ้นเคยกับอาหารที่เดอะ คลิฟฟ์ แต่ที่นี่มันอีกระดับเลย ( *เดอะ คลิฟฟ์ คือสนามซ้อมเก่าของแมนฯยูไนเต็ด ก่อนย้ายมาใช้สนามแคร์ริงตัน ในปี 1999- แอดมิน)
ที่เดอะ คลิฟฟ์ ทุกวันศุกร์ เทเรซ่า แม่ครัวของทีมเยาวชน เธอจะทำ ไส้กรอก กับถั่วอบให้คุณกิน ส่วนวันพฤหัสฯ จะมีชีสทาร์ต เมนูวนไปวนมาแบบนี้ทุกสัปดาห์
ทีมเยาวชนของแมนฯยูไนเต็ดนั้นมีหลายทีม แต่ถ้าคุณติดทีม A ได้ล่ะก็ เอริค แฮร์ริสัน โค้ชของพวกเรา สัญญาว่าในมื้อหลังจากซ้อมแข่ง เราจะได้กินฟิช แอนด์ชิพด้วย!
สำหรับเด็กๆ แค่นั้นมันก็สุดยอดแล้ว
ผมบอกคุณได้เลยว่าในยุคนั้นที่ผมอยู่ยูไนเต็ดใหม่ๆ มันไม่มีเรื่องการไดเอ็ต หรือวางแผนการกินอะไรทั้งสิ้น!
จากเด็กสองคนที่แฮปปี้กับฟิช แอนด์ ชิพ ผมกับแคส เรามาอยู่ที่โรงแรมมิดแลนด์ และดูไลน์อาหารที่มีครบทุกอย่างที่คุณจะจินตนาการได้ ในใจผมคิดว่า เฮ้ย เราทำได้ว่ะ
หลังจากกินอาหารเสร็จ ผมขึ้นมาบนห้องนอน ในใจก็คิดต่อว่า "แล้วทีนี้ต้องทำอะไรต่อวะ?"
สำหรับรุ่นพี่ในทีม พวกเขามีวิธีจัดการกับเวลาได้ดี บางคนนอนพักผ่อน บางอ่านหนังสือ แต่กับเด็ก 17 อย่างพวกผมล่ะ นึกอะไรไม่ออกหรอก นอนก็ไม่หลับด้วย!
นิกกี้ บัตต์ กับ เดวิด เบ็คแฮม ก็ติดทีมชุดนี้ เตรียมลงเล่นกับตอร์ปิโด มอสโก เหมือนกัน พวกเรามีความหวังในใจว่า อาจจะถูกส่งลงสนามได้
จนถึงวันนี้ เรายังหยิบเอาเรื่องนี้มาคุยกันตลอด มันเป็นความทรงจำที่สวยงามจริงๆ
--------------------------------------
ในคืนนั้นที่โรงแรมมิดแลนด์ ผมมานอนคิดกับตัวเอง ว่ากว่าจะผ่านมาถึงตรงนี้ มันไม่ง่ายเลยนะ
เพราะทีมเยาวชนของแมนฯยูไนเต็ด มันเขี้ยวกว่าที่คุณคิดไว้เยอะ
ในทีมเต็มไปด้วยความกดดัน ความจริงจัง โค้ชของคุณเป็นมืออาชีพ นักเตะทุกคน อยากผลักดันตัวเองไปอยู่ทีม A ให้ได้ เพราะเรารู้ว่า ถ้าทำได้ เราจะมีโอกาสไปเล่นชุดใหญ่
ผมจำได้ว่า กองกลางของทีม A ตอนนั้น ประกอบไปด้วย เบ็คส์ , บัตต์ , ไซม่อน เดวีส์, เบน ธอร์นลี่ย์ และ คีธ จิลเลสพี คิดดูนักเตะอย่างพอล สโคลส์ ยังเป็นได้แค่สำรอง!
ขณะที่ไรอัน กิ๊กส์ เขาก้าวหน้าเร็วกว่าใครเพื่อน เขาติดทีมชุดใหญ่ไปก่อนแล้ว นานๆทีจะมาเล่นทีมเยาวชนกับพวกเราสักครั้ง
สำหรับผม รู้ดีว่า คุณต้องเต็มที่กับการเป็นผู้เล่นในอคาเดมี่ เราจะทำเป็นเล่นไม่ได้ ตอนแมนฯยูไนเต็ด เซ็นสัญญา 4 ปีกับผม พร้อมคำสัญญาว่า พร้อมจะดันขึ้นสู่ชุดใหญ่ นั่นทำให้คุณพ่อ บอกกับสโมสรว่า "งั้นผมต้องให้เขาลาออกจากโรงเรียน"
ในใจผมคิด "เฮ้ย บ้าน่า เอาจริงหรอ ลาออกเลยหรอ"
แต่กลายเป็นว่าคุณพ่อคิดถูก เพราะเมื่อคุณคิดจะเป็นนักเตะอาชีพแล้ว คุณต้องทุ่มเทให้กับมันจริงๆ
ตอนเป็นนักเตะเยาวชน โค้ชของผมมีสองคนคือเอริค แฮร์ริสัน และ น็อบบี้ สไตลส์
เอริค เคยเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ของทีมนอกลีก ในสมัยเป็นนักเตะเขาเป็นกองหลังที่โหดที่สุดที่คุณจินตนาการได้ ผมว่าเขาเคยจมูกหัก 8 หนนะถ้าจำไม่ผิด คือเอริคนี่แข็งแกร่งผิดมนุษย์เลยล่ะ
ส่วนน็อบบี้ ก็คือน็อบบี้ เขาเป็นตำนานของยูไนเต็ด และเคยติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่มาแล้ว
คำหนึ่งที่น็อบบี้เตือน และมันอยู่ในใจผมมาตลอด
"ในสนาม อย่าลืมว่านายมีเพื่อนแค่คนเดียว"
เพื่อนคนนั้น เขาหมายถึงรองเท้าสตั๊ดของคุณนะ!
สุดท้ายแล้วอย่างที่เขาบอก ในสนามไม่มีใครช่วยคุณได้หรอก ไม่ว่าจะเจอกับอะไร ต้องเอาตัวรอดให้ได้ด้วยตัวเอง
ผมเข้าใจความจริงจังของทุกคนนะ การที่พวกเขาสอน พวกเขาเคี่ยวเข็ญ มันเป็นการเตรียมความพร้อมให้นักเตะเยาวชนรับมือให้ได้ กับเกมของทีมชุดใหญ่
แต่ก็นะ เมื่อสุดท้ายคุณกำลังจะได้เล่นกับทีมชุดใหญ่ มันเป็นความกดดันที่อธิบายไม่ถูกจริงๆ
--------------------------------------
และแล้ว คืนนั้นที่โรงแรมมิดแลนด์ก็ผ่านไป โปรแกรมระหว่างแมนฯยูไนเต็ด กับ ตอร์ปิโด มอสโก ในยูฟ่าคัพ เลกแรก ก็มาถึง
ความเครียดของผมมาถึงจุดสูงสุด เมื่อเดินเข้ามาในห้องแต่งตัวของแมนฯยูไนเต็ด
ในห้องคุณเห็นสตีฟ บรูซ , แกรี่ พัลลิสเตอร์ , พอล อินซ์ ,ไบรอัน ร็อบสัน , ปีเตอร์ ชไมเคิล , มาร์ก ฮิวจ์ส และ เดนิส เออร์วิน แต่ละคนคือสุดยอดทั้งนั้น
แถมในปีต่อมา มีเอริค คันโตน่า กับ รอย คีนเข้ามาอีก คือทุกคนล้วนยิ่งใหญ่ ผมว่าพวกเขาใครก็ได้ เป็นกัปตันทีมได้หมดเลย
เมื่อผมเห็นพวกเขาเหล่านั้น ผมรู้ว่าตัวเองจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด ผมห้ามส่งพลาด ผมห้ามโหม่งพลาด ผมห้ามปล่อยกองหน้าคู่แข่งหลุดไปได้
ความเครียดเข้ามาครอบงำผม ผมต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อลดแรงกดดัน
การอยู่ในห้องแต่งตัวที่มีแต่แชมเปี้ยน ผมไม่รู้จะไปยืนตรงไหน จะไปคุยกับใคร ผมเลยเดินงงๆ ไปหา นักกายภาพบำบัดของเรา จิม แม็คเกรเกอร์
"ช่วยนวดแผ่นหลังของผมหน่อยได้ไหม จิม"
จิม งง เพราะผมไม่เคยมีอาการปวดที่แผ่นหลังมาก่อน
"เพื่ออะไรวะ?"
"เถอะนะ ผมแค่อยากโดนนวดจริงๆ"
สุดท้ายด้วยความที่เสียไม่ได้ จิมเลยต้องนวดให้ผมจนได้ เขานวดไปบ่นไป ซึ่งผมก็เข้าใจเขานะ เขาบอก "อะไรของวะ" คือผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าให้เขานวดทำไม
แต่จากนั้นมา 25 ปี เชื่อหรือไม่ ก่อนจะลงเล่นทุกนัด ผมต้องให้นักกายภาพบำบัดมานวดให้ตรงแผ่นหลังนี่แหละ มันเหมือนเป็นความเชื่อส่วนตัวไปแล้ว
หลังการโดนนวด ผมรู้สึกสงบใจมากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น และแล้วเวลาก็มาถึง เกมเริ่มต้นขึ้น และผมต้องเริ่มจากการเป็นตัวสำรองที่ม้านั่งไปก่อน
--------------------------------------
ผู้จัดการทีมส่งผมลงไปวอร์มอัพ ช่วงครึ่งหลัง ผมคิดในใจ "ว้าว"
นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่ผมลงมาที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด ในเกมนั้นมีคนดูน้อยกว่าสองหมื่นเสียอีก แต่สำหรับผมก็คิดว่ามันเยอะอยู่ดี
นาทีที่ 85 ผู้จัดการทีมบอกให้ผมวอร์มอีกครั้ง ผมคิดในใจว่าโอกาสของผมหมดไปแล้วล่ะ มันท้ายเกมเกินไปแล้ว เขาไม่ส่งผมลงแน่ๆ
แต่ผมเข้าใจผิด
"เอาล่ะ แกลงไปเล่นซะ" อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หันมาออกคำสั่ง
ความตื่นเต้นทั้งหมดจู่โจมผมรัวเป็นหมัดชุด
พอคุณได้ยินแบบนั้น ความรู้สึกต่างๆมันหลั่งไหลเข้ามาในหัวผม เกมแรกกับทีมชุดใหญ่ ในฐานะกองหลัง ผมคิดอยู่คำเดียว
"อย่าทำเก๋า"
กับนักเตะบางคนอาจจะคิดว่า ลงมาท้ายเกม กูขอยิงประตูเป็นฮีโร่ แต่สำหรับกองหลังอย่างผม ขอแค่จ่ายบอลให้ดี ไม่ก่อความผิดพลาด นั่นถือว่าเล่นได้ดีแล้ว
ในยุคปัจจุบัน อาจประเมินค่ากองหลังเก่งๆ ว่าต้องทำ 10 แอสซิสต์ และยิงได้ปีละ 3 ลูก แต่ในยุคนั้น หน้าที่ของกองหลังคือ ป้องกันให้ดี และจ่ายบอลให้ถึงมิดฟิลด์เท่านั้น
งานของผม คือทำหน้าที่ของตัวเองไป พยายามสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมให้ได้ และเมื่อไหร่ก็ตามที่ได้บอล ทำให้ชัวร์ว่า คุณจ่ายบอลดี ไม่ไปเข้าเท้าคู่แข่ง
แกรี่ แกจำไว้
- อย่าทิ้งตัวประกบ
- อย่าโดนคู่แข่งกระชากหลบ
- อย่าทำเสียจุดโทษ
- อย่าทำอะไรโง่ๆ
- อย่าโชว์เก๋า
ผมโดนส่งลงสนามในตำแหน่งแบ็กขวา แทนที่ ลี มาร์ติน โดยตำแหน่งคือยืนอยู่ด้านหลัง อันเดร แคนเชลสกี้ ซึ่งการเล่นข้างหลังอันเดร มันเล่นได้ง่ายมาก เพราะเขาเก่งจริงๆ
ความเร็วของแคนเชลสกี้ นั่นทำให้ ปีกซ้ายของคู่แข่งต้องลงไปเล่นเกมรับด้วย นั่นส่งผลให้แบ็กขวาอย่างผม ไม่ต้องโดนกดดันเท่าไหร่ ซึ่งก็ถือเป็นโชคดีนะ
แถมในยุคต่อมา ปีกขวาที่เล่นกับผม ก็มีเดวิด เบ็คแฮม และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ แต่ละคนอันตรายทั้งนั้น จนผมไม่โดนกดดันมาก และนั่นอาจเป็นเหตุผล ที่ผมยืนหยัดได้ตลอด 20 ปีก็ได้
กับเกมแรกของผม ในการเจอตอร์ปิโด มอสโก ผมไม่โดนบอลเลย แต่สุดท้ายในช่วงทดเจ็บ คู่แข่งทำบอลออกข้าง บริเวณกลางสนามฝั่งขวา
สัมผัสแรกของผมกับทีมชุดใหญ่เลยกลายเป็นการทุ่ม ซึ่งในช่วงวัยรุ่น ผมมีพลังมหาศาลเรื่องการทุ่มอยู่แล้ว ผมทุ่มลึกเข้าไปในเขตโทษคู่แข่งได้เลย
ผมทุ่มยัดเข้าไป ลึกถึงเขตโทษ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น สุดท้ายเกมจบลงที่สกอร์ 0-0 เราทำได้แค่เสมอกับตอร์ปิโด มอสโก ในเลกแรก ของยูฟ่าคัพ
เกมจบ เราเดินเข้าไปในห้องแต่งตัว ทีนี้ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เดินแยกเขี้ยวมาหาแกรี่ พัลลิสเตอร์ และระเบิดลงทันที
"ไอ้เวรเอ๊ย แกเคยไปดูเกมเยาวชนมั่งหรือเปล่าวะ!"
"น่าอาย ถ้าแกดูทีมเยาวชนของเราซะบ้าง จะรู้ว่าไอ้เด็กเนวิลล์นี่มันทุ่มได้ไกลมาก"
"เราเสมอ 0-0 ในนาทีสุดท้าย แล้วแกยังเดินแกร่วอยู่กลางสนาม ทำไมไม่เข้าไปในเขตโทษวะ!"
วันนี้ เฟอร์กี้ เดือดดาลอย่างน่าตกใจ แต่รู้อะไรไหม ในใจลึกๆของผมแอบดีใจนะ
เหมือนเขาชมลูกทุ่มของผม ทั้งๆที่จริงๆเขาอาจจะแค่อยากด่าพัลลิสเตอร์ก็ได้
เอาเป็นว่า ถ้าผมตายวันรุ่งขึ้นก็ไม่มีอะไรติดค้างในใจแล้ว เพราะผมได้เล่นให้ยูไนเต็ด ทีมที่ผมฝันมาตลอดตั้งแต่ 4 ขวบแล้ว
--------------------------------------
เกมแรกในชีวิตของผมมันจบไปแล้ว ความรู้สึกของผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่นัก ผมนอนไม่หลับเลยคืนนั้น
การได้เดินออกจากอุโมงค์ลงไปสู่สนาม มันเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรเหมือน
ก่อนเกมเริ่ม ความตื่นเต้น อะดรีนาลีน ทุกสิ่งทุกอย่าง มันทำให้ร่างกายคุณสูบฉีด
จากนั้นพอจบเกม คุณจะรู้สึกปลื้มใจ ตื้นตันจนน้ำตาไหล
สิ่งแรกที่ผมคิด ณ เวลานั้น คือ
"มันช่างสุดยอดจริงๆ"
เป็นความรู้สึกที่ผมไม่มีวันลืม แม้ผ่านมานานหลายสิบปีแล้วก็ตาม!
#GaryNeville
--------------------------------------
เครดิต : เพจ -- วิเคราะห์ บอลจริงจัง
(ขอแสดงความ เคารพ และขอบคุณ อย่างสุดซึ้ง กับบทแปล+ บทความดีๆ ครับ
ขออนุญาติ นำมาแบ่งปัน ให้เพื่อนๆผู้ขายวิญญาณให้ปีศาจ ได้มีโอกาสได้อ่านกัน)