วันที่ฟ้าเปิด บทที่ 4

กระทู้สนทนา
บทที่ 4
         ขั้นตอนต่างๆ ที่ปกป้องจะมารับงานใหม่นี้ วิษณุเป็นคนจัดเตรียมไว้อย่างเป็นระบบ ทันทีที่เขาได้รับการอนุมัติลาออกจากงาน ชายหนุ่มถูกพาเข้ารับการฝึกอบรมพิเศษที่ค่ายในจังหวัดลพบุรี 

        ที่นั่น เขาได้รับการฝึกอาวุธและยุทธวิธีการต่อสู้หลักสูตรเข้มข้น ยังดีที่เขาผ่านการฝึกทหารมาก่อนจึงช่วยเป็นภูมิต้านทานที่ทำให้การฝึกหนักชนิดนี้ไม่ทำให้เขาย่อท้อแม้แต่น้อย นอกจากนี้ปกป้องยังเรียนรู้วิธีการถอดรหัส วิธีการสืบหาข่าว การปลอมตัว การใช้อุปกรณ์อีเลคโทรนิคในการดักฟังรวมไปถึงการเรียนภาษาพื้นเมืองอย่างภาษายาวีอีกด้วย 

        กว่าจะผ่านหกเดือนที่แสนเหนื่อยหนักมาได้ ปกป้องรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาก และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นจนนอนไม่หลับคือการจะได้ไปทำงานร่วมกับพ่อของเขา ก่อนหน้านี้เขาเคยส่งข่าวเรื่องที่เขาตัดสินใจลาออกจากราชการไปให้นายแพทย์ปริญญ์ทราบคร่าวๆ แล้ว

       บิดาโทรศัพท์มาถึงเขาทันทีที่ได้รับทราบข่าว

        ‘ทำไมลาออกจากงาน’

        ‘พ่อก็รู้นี่ครับว่าทำไม ผมเคยบ่นให้พ่อฟังมาหลายครั้งแล้วว่าผมเบื่อระบบราชการ ทีพ่อยังลาออกเลย’

       ‘มันไม่เหมือนกัน พ่อลาออกหลังจากทำงานมายี่สิบกว่าปี แต่ลูกเพิ่งรับราชการมาได้แค่ปีเดียวเอง พ่ออยากให้ลูกมีประสบการณ์มากกว่านี้ก่อนค่อยลาออก’

       ‘เรื่องประสบการณ์พ่อสอนผมก็ได้นี่ครับ ผมอยากช่วยงานพ่อ พ่อไม่ดีใจหรือครับที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน’

        ‘เฮ้อ !  ไม่ใช่พ่อไม่ดีใจ แต่ถ้าลูกมาอยู่บ้านป่าแบบนี้ อนาคตของลูกจะไม่มีนะ ป้อง ลูกยังอายุน้อย ยังต้องเรียนรู้โลกกว้างอีกมากและมีโอกาสพบคนดีๆ แต่งงานมีครอบครัว’

        ‘ผมยังไม่คิดเรื่องแต่งงานหรอกครับ หรืออาจจะไม่แต่งเลยก็ได้ เพราะไม่อยากให้ใครต้องมาลำบากกับผม’ พูดไปแล้วก็สะท้อนใจ การตัดสินใจมาทำงานข่าวเช่นนี้ ไม่เหมาะกับคนที่มีครอบครัว การมีลูกเมียคอยแต่จะดึงรั้งให้เขามีห่วงจนทำงานไม่ได้เต็มที่ นึกถึงครั้งนั้นที่วิษณุเคยบอกเขาว่ามันเป็นงานที่ต้องการความสันโดษ อีกทั้งตลอดระยะเวลาที่เขาเข้ารับการฝึก เขาถูกปลูกฝังหรือจะเรียกว่าล้างสมองเลยก็ว่าได้ ให้เขานึกถึงภารกิจและประเทศชาติเหนือสิ่งอื่นใด

        ทุกครั้งที่เขาเดินเข้าไปในตึกกองบัญชาการ บนผนังด้านหน้ามีข้อความที่ถูกเขียนไว้คอยเตือนสติให้เขาระลึกอยู่เสมอว่าการแพร่งพรายความลับทางทหารออกไป เขาจะได้รับการลงโทษสถานใด
 

         นายแพทย์ปริญญ์ แม้จะไม่เห็นด้วยกับลูกชายแต่ก็สายเกินกว่าจะคัดค้าน อีกใจหนึ่งก็อดดีใจไม่ได้ที่ลูกชายจะมาอยู่ด้วยและช่วยงานเขา แม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมปกป้องจึงตัดสินใจเช่นนี้ก็ตาม แต่ความตื่นเต้นดีใจก็ทำให้เขาไม่สนใจจะหาเหตุผล เขาตั้งความหวังไว้ว่าเขาจะชดเชยเวลาที่สูญเสียไประหว่างเขาและลูกชายที่ไม่มีโอกาสที่จะใกล้ชิดกันก่อนหน้านี้

        เขาเดินทางไปรับปกป้องที่จุดนัดหมาย เมื่อแรกที่พ่อลูกเจอหน้ากันเขาตรงเข้าไปโอบกอดลูกชายคนเดียวไว้แน่น แล้วคลายออกเพื่อมองหน้าลูกให้ชัดๆ อีกครั้งว่าเขาไม่ได้ฝันไป 

       ‘พ่อดีใจที่เราจะมาอยู่ด้วยกัน’

       ‘เราจะได้อยู่ด้วยกันแล้วนะครับ’ ปกป้องเองก็ตื้นตันจนเสียงสั่น

        ปริญญ์ขับรถกระบะโฟร์วีลไดร้ฟตะลุยผ่านแนวป่าที่พื้นถนนไม่เรียบมากนัก แต่ด้วยระบบการขับเคลื่อนอันทรงพลังทั้งสี่ล้อ นั่นจึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางเลยสักนิด ปกป้องนั่งเบาะข้างคนขับพร้อมใช้ท่อนแขนแข็งแรงเหนี่ยวรั้งไว้ที่มือจับเหนือประตูรถเพื่อกันแรงเหวี่ยงของรถ

       ‘ยังจำทางไปบ้านได้ใช่ไหม’ นายแพทย์ปริญญ์ถามพร้อมหันหน้ามองมาทางปกป้องเล็กน้อย

       ‘ผมจำได้แต่ความยากลำบากของเส้นทาง และในบ้านที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ในตอนนั้น’

       ‘ตอนนี้ที่บ้านเรามีเครื่องปั่นไฟแล้วนะ เราใช้น้ำมันในการเดินเครื่อง ส่วนเรื่องถนนก็มีพวกอบต.มาช่วยปรับปรุงให้ดีขึ้น’

       ‘เราจะเริ่มงานกันเมื่อไหร่ครับ’ 

       นายแพทย์ปริญญ์ยิ้มเมื่อเห็นความกระตือรือร้นของลูกชาย

       ‘วันนี้เราจะเตรียมเวชภัณฑ์และยาที่จำเป็นก่อน แล้วพอรุ่งเช้าเราจะไปยังหมู่บ้านหลังเขาที่อยู่ติดชายแดนจังหวัดตรัง’

       ‘ที่นั่นคงห่างไกลมาก’

       ‘ใช่ไกลและเข้าไปลำบาก ถนนเข้าไปไม่ถึงต้องเดินเท้าอย่างเดียว ความเจริญยากที่จะเข้าไปถึงที่นั่น พวกเขายังนับถือผี ยังใช้หมอผีรักษาโรคกันอยู่เลย พ่อต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าคนพวกนี้จะยอมรับการแพทย์แผนใหม่ แต่อย่างนั้นก็เถอะ พวกหัวเก่าก็ยังมีอีกมาก เราต้องค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเขา’

        ปกป้องหันมามองหน้าบิดา เขาพอจะรู้อยู่บ้างว่าความเชื่อเหล่านี้ยังมีอยู่ในหมู่บ้านห่างไกล เป็นความน่าหนักใจของคนที่พยายามเปลี่ยนแปลงความเชื่อฝังหัวเหล่านี้

       ปริญญ์ค่อยๆ เลี้ยวรถผ่านแนวไผ่ที่เป็นปลูกไว้เป็นรั้ว หลังแนวไผ่นั้นปกป้องเห็นเรือนไม้ 2 ชั้นหลังใหญ่ที่เขาเคยมาเมื่อครั้งยังเด็ก มีบางส่วนที่ได้รับการต่อเติมปรับปรุงให้น่าอยู่ขึ้น

      ชายหนุ่มร่างผอมผิวคล้ำเดินออกมาต้อนรับเมื่อรถนำทั้งสองมาถึงลานบ้าน 

     ‘นาดีร์ นี่ลูกชายฉันนะ คุณปกป้อง เขาจะมาอยู่ช่วยงานที่นี่’ นายแพทย์ปริญญ์แนะนำทั้งคู่ให้รู้จักกัน ปกป้องยิ้มให้กับชายหนุ่มที่อายุน่าจะอยู่ในวัยต้น 20 

        ‘สวัสดีครับ’ นาดีร์ยกมือมือไหว้ปกป้อง พร้อมกับมองเขาด้วยรอยยิ้มชื่นชมชายหนุ่มร่างสูงที่มีส่วนประพิมพ์ประพายคล้ายนายแพทย์ปริญญ์ผู้มีพระคุณของเขา

       ‘เชิญนายทั้งสองเข้าบ้านก่อนครับ ผมจะขนกระเป๋าขึ้นบ้าน ห้องของนายน้อยผมทำความสะอาดไว้เรียบร้อยแล้ว’ เขาบอกแล้วเดินไปยกกระเป๋าเดินทางของปกป้องขึ้นไปชั้นบน ก่อนจะลงมาจัดสำรับอาหาร

       ‘นาดีร์กำพร้าพ่อ เขาตายเพราะไข้ป่า’ ปริญญ์หันมาบอกลูกชาย ‘เขาอยู่กับแม่และพี่ชาย ทางบ้านเขายากจนมาก ยิ่งพ่อตายไปก็แทบไม่มีจะกิน พ่อเลยชวนเขามาทำงานด้วยจะได้มีรายได้ส่งกลับไปบ้าน เป็นเด็กดีทีเดียว ทำงานทุกอย่างไม่เคยเกี่ยงเลย นอกจากนาดีร์ที่ดูแลบ้านและอาหารการกินให้เราแล้ว พ่อยังมีแสวงเป็นมือขวาที่สำคัญอีกคน พรุ่งนี้ลูกคงได้เจอ ตอนนี้พ่อใช้เขาไปทำธุระที่ตัวจังหวัด’

       ‘ดีครับ เห็นพ่อมีลูกน้องที่ไว้ใจได้อย่างนี้ ผมก็สบายใจ’

       ‘ต่อไปก็จะมีลูกอีกแรงหนึ่ง พ่อคงทำงานได้เร็วและคล่องตัวมากขึ้น’ นายแพทย์ปริญญ์ตบไหล่ลูกชายเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มตื้นตันใจ

       เที่ยงกว่าแล้ว นาดีร์จัดเตรียมอาหารไว้ให้ทั้งสอง เป็นอาหารพื้นเมืองของภาคใต้ที่ปกป้องคุ้นเคยดี

      ‘ทานได้นะ’

      ‘สบายครับ ผมอยู่ยะลาเป็นปี ชินกับอาหารใต้อยู่แล้ว’

      ‘นาดีร์เป็นมุสลิม เราก็เลยทานอาหารที่ไม่ขัดกับหลักศาสนาของเขาไปด้วย ลูกคงไม่ว่าอะไรนะ’

       ‘เรื่องกินเรื่องเล็กครับ อยู่บ้านป่าแบบนี้ ผมไม่คาดหวังหรอกครับว่าจะมีอาหารดีๆ พ่อไม่ต้องห่วงหรือไปสรรหาของอร่อยมาให้ผมทานหรอกนะครับ’ ปกป้องรู้ดีว่าพ่ออยากเอาใจเขา คงกลัวว่าความยากลำบากที่นี่จะทำให้เขาไม่อดทนที่จะอยู่ช่วยงานแล้วหนีกลับบ้านไป

       ‘อีกอย่างหนึ่ง ผมเคยเกณฑ์ทหาร เคยลำบากมาก่อน’

       ‘นั่นน่ะซิ แม่เขาเคยเล่าให้พ่อฟังว่าหลังจากเกณฑ์ทหารแล้วลูกเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย’

      ปกป้องยิ้ม ระลึกถึงใครคนหนึ่งที่ดึงรั้ง สั่งสอนให้เขาเกิดความคิดในฝ่ายดี

     ‘ผมโชคดีที่ไปเจอครูฝึกที่ดี เขาชื่อวิษณุครับ เขาสอนผมหลายอย่าง’

      'ครูฝึกชื่อวิษณุหรือ' ผู้เป็นพ่อทวนคำ แล้วค่อยๆ ยิ้มออกมา 'สักวันหนึ่งพ่อคงได้มีโอกาสเจอเขา เพื่อขอบคุณที่เขาช่วยสอนลูกแทนพ่อ'

      'แม้ก่อนหน้านี้ พ่อจะไม่มีเวลามาสั่งสอนผม แต่ผมก็รักพ่อและภูมิใจในสิ่งที่พ่อทำนะครับ'

        เมื่อทั้งคู่เสร็จจากมื้ออาหาร นายแพทย์ปริญญ์พาลูกชายไปที่ห้องทำงานของเขาที่นอกจากโต๊ะเก้าอี้ทำงานแล้ว ยังมีเตียงสำหรับคนไข้ พร้อมกับอุปกรณ์การแพทย์และเวชภัณฑ์ต่างๆ มากมายที่จำเป็นในการรักษาผู้ป่วยอยู่ในตู้กระจกหลายใบ

      ‘โอ้โห ทำไมยาเยอะแบบนี้ครับพ่อ และอุปกรณ์การแพทย์พวกนี้อีก ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะมียาและเครื่องมือพอๆ กับสถานีอนามัยหน่วยหนึ่งเลยนะครับ’

      ‘เทียบเท่ากับอนามัยรึ ?  ก็แค่ยากับอุปกรณ์เท่านั้น แต่บุคลากรมีเพียงพ่อคนเดียวที่ทำหน้าที่ทั้งตรวจรักษาและให้ความรู้เรื่องการดูแลรักษาสุขภาพอนามัยให้แก่ชาวบ้านหลายหมู่บ้านและแต่ละหมู่บ้านก็ห่างไกลกันมาก’

      ปกป้องมองหน้าบิดาอย่างเห็นใจ เขารู้ดีว่าขนาดสถานีอนามัยมีเจ้าหน้าที่ 5-6 คน งานยังล้นมือ แล้วนับประสาอะไรกับคนๆ เดียว บิดาเขาจะเหนื่อยหนักเพียงไหน

       ‘แล้วสถานีอนามัยที่ใกล้ที่สุดล่ะครับ เจ้าหน้าที่เขาเข้ามาไม่ถึงที่นี่หรอกหรือ’

      ‘ถ้าจะเข้ามาก็ต้องค้างคืน หนทางมันทุรกันดารมาก เจ้าหน้าที่เคยมารถคว่ำตายไปคนหนึ่ง นานหลายปีแล้ว ยังหาคนมาทำงานแทนคนนั้นไม่ได้เลย งานที่สถานีอนามัยเองก็ล้นมือ จะให้จัดทีมมาออกหน่วยที่นี่ มันยากและเขาคงรู้ว่ามีพ่อทำหน้าที่อยู่ตรงนี้แล้ว เขาคงนอนใจได้’ 

      ปกป้องพยักหน้าเข้าใจสภาพการณ์ต่างๆ เป็นอย่างดี

      ‘สมัยที่พ่อทำงานที่โรงพยาบาลสตูลพ่อก็เคยมาออกหน่วยที่นี่ ได้รับรู้ปัญหาเป็นอย่างดี มีชาวบ้านที่พ่อรู้จักหลายคนต้องตายไปเพราะออกจากป่ามาหาหมอไม่ทัน’

      ‘แล้วงบประมาณล่ะครับ มีใครช่วยอะไรพ่อไหม ลำพังเงินที่ได้จากสวนยางของเราจะมีกำไรมากพอที่จะมาซื้อของพวกนี้หรือครับ’

      ‘ของพวกนี้หากเรารู้ช่องทางก็สามารถซื้อได้ในราคาถูกกว่าท้องตลาด อุปกรณ์บางอย่างหรือยาบางชนิดพ่อก็ได้รับบริจาคมาจากเพื่อนๆ ที่เป็นหมอด้วยกัน’ นายแพทย์ปริญญ์ยังไม่อยากบอกลูกชายตอนนี้ว่ายาบางส่วนเป็นอภินันทนาการจากผู้มีอิทธิพลในละแวกนี้ที่พยายามตอบแทนความช่วยเหลือของเขายามเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง แม้เขาจะไม่อยากรับของขวัญจากโจร แต่เขาก็ไม่อยากสร้างศัตรูในพื้นที่ห่างไกล ที่กฎหมายเอื้อมมือเข้ามาไม่ถึงเช่นนี้

       ทั้งคู่ช่วยกันจัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็นสำหรับงานของวันพรุ่งนี้ นายแพทย์ปริญญ์คอยบอกสอนลูกชายว่าจะต้องเตรียมอุปกรณ์และยาชนิดใดบ้าง ปกป้องตั้งอกตั้งใจฟังและบอกตัวเองว่าเขาจะต้องจดจำทุกอย่างที่พ่อสอนไว้อย่างดีที่สุด งานที่มีชีวิตคนเป็นเดิมพัน เขาจะทำเป็นเล่นไม่ได้ 

        ในค่ำคืนของเดือนแรมที่ท้องฟ้ามืดสนิทปราศจากแสงจันทร์ หมู่มวลดารานับร้อยพันต่างปรากฏตัวสร้างความระยิบ ระยับในท้องฟ้า นายแพทย์ปริญญ์และปกป้องออกมายืนรับบรรยากาศที่ระเบียงกว้างของบ้านที่ยื่นออกไปนอกชายคาบ้าน

       ‘ดูสิว่าเราอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติมากแค่ไหน อีกสาเหตุหนึ่งที่พ่อรักงานนี้เพราะพ่อได้อยู่กับธรรมชาติ ได้ทำงานที่เป็นตัวของตัวเองไม่ต้องมานั่งรอคำสั่งหรือทำรายงานส่งเจ้านายที่ไหน มันอิสระดีนะ’

       ปกป้องยิ้มรับ เขาเองก็คิดเช่นเดียวกับพ่อ ตอนนี้เขาไม่น้อยใจหรือเสียใจอีกแล้วที่พ่อทำแต่งานโดยไม่สนใจเขาและแม่ ต่อแต่นี้ไป เขาได้มาอยู่เคียงข้างพ่อและจะร่วมเดินไปด้วยกันบนทางสายอุดมการณ์ ช่วยกันสร้างชุมชนเล็กๆ ที่ห่างไกลนี้ให้ปลอดโรคภัยไข้เจ็บ ให้เขาเหล่านั้นได้มีความสุขตามควรแก่อัตภาพ

       ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า...ฟ้าอีกฟากจากนี่  ยะลา ที่เขาเคยอยู่มาแรมปี แม้เขาจะเริ่มผูกพันกับงานและคนในพื้นที่  ยามเมื่อจากมาช่างยากเย็นกว่าที่เขาคิดไว้มาก แต่เอาเถอะ อีกหน่อยทางการก็คงส่งเจ้าหน้าที่คนใหม่มาทำงานแทนเขา แต่ที่นี่ซิ พ่อเขาคนเดียว เขาคิดไม่ผิดหรอกที่ละทิ้งงานตรงนั้นมาช่วยบิดา 

       และที่สำคัญ เขายังต้องรับใช้ชาติอีกทางหนึ่งด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่