ช่วงนี้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ซึ่งก็ไม่ใช่เทรนด์ขาลงอย่างชัดเจน ซึ่งอาจจะส่งผลเล็กๆกับหุ้นบางกลุ่มก็ได้
คืนนี้ทองคำดิ่ง เงินน่าจะทะลักมายังกลุ่มหุ้นบ้างก็อาจเป็นได้ มาลุ้นกันครับ
หุ้นหรือธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันลง
คอลัมน์สามัญสำนึก โดย สุดใจ ชาญชาตรีรัตน์
"สายการบิน"
โดยเฉพาะสายการบินที่ทำป้องกันความเสี่ยงน้ำมันสัดส่วนที่น้อย มีแนวโน้มจะได้ประโยชน์มากที่สุด
"กลุ่มค้าปลีก-ค้าส่ง"
เป็นอีกกลุ่มที่ได้ประโยชน์ไม่น้อย เพราะต้องใช้รถขนส่งจำนวนมากเพื่อกระจายสินค้าไปยังสาขาต่าง ๆ ทั้งยังได้ประโยชน์จากค่าไฟฟ้าภายในห้างที่ลดลงตามค่า Ft โดยต้นทุนโลจิสติกส์และค่าไฟฟ้าอยู่ที่ราว 2-4% ของยอดขาย ซึ่งหากมีการลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ลงราว 12% ก็จะช่วยให้กำไรสุทธิของหุ้นกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นราว 2-3% ทันทีแบบไม่ต้องออกแรงอะไร
"วัสดุก่อสร้าง"
ที่มีต้นทุนพลังงานเป็นส่วนสำคัญในการผลิต อาทิ กลุ่มผู้ผลิตกระเบื้อง ที่ต้นทุนเชื้อเพลิงคือก๊าซธรรมชาติสูงถึง 30% ของต้นทุนรวม หรือ "ปูนซีเมนต์" ต้นทุนพลังงาน 60% ของต้นทุนผลิตรวม (ถ่านหิน 30% และค่าไฟฟ้า 30%)
"ยานยนต์"
มีต้นทุนจากค่าไฟฟ้าราว 3-5% ของยอดขาย พร้อมด้วยค่าขนส่ง 0.5% ของยอดขาย ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดีเซลลดลง 20% และค่าไฟลดลง 5% ช่วยให้กลุ่มยานยนต์มีกำไรเพิ่มขึ้น 2.5-3.5%
"พัฒนาที่อยู่อาศัย"
ที่ได้อานิสงส์ผ่านทางค่าวัสดุก่อสร้างที่มีแนวโน้มราคาลดลง
"ท่องเที่ยว-โรงแรม"
มีต้นทุนค่าไฟฟ้า 3-6% ของรายได้ และต้นทุนโลจิสติกส์ไม่ถึง 1% แต่ต้นทุนที่ลดลงคาดว่าจะส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานของกลุ่มโรงแรมเพิ่มขึ้นราว 2%
เรียกว่ามีธุรกิจมากมายที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดฮวบครั้งนี้ แต่โอกาสที่ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลงนี้ยังมีเพียงน้อยนิด แม้ว่ากระทรวงพาณิชย์จะออกมายืนยันว่าผู้ผลิตสินค้าต่าง ๆ พร้อมให้ความร่วมมือในการลดราคาสินค้าก็ตาม
เพราะสัญญาณจากนักธุรกิจส่วนใหญ่มองว่า นี่เป็นโอกาสที่จะสามารถพยุงตัวเลขกำไรของบริษัทในภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นไข้
สถานการณ์ช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับช่วงเวลาที่ราคาน้ำมันถีบตัวสูงขึ้น ที่ผู้ประกอบการก็จะออกมาส่งเสียงทันที เพื่อขอปรับขึ้นราคาสินค้าเพราะต้นทุนน้ำมันพุ่ง !
หุ้นที่ได้ประโยชน์ จากน้ำมันขาลง
คืนนี้ทองคำดิ่ง เงินน่าจะทะลักมายังกลุ่มหุ้นบ้างก็อาจเป็นได้ มาลุ้นกันครับ
หุ้นหรือธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันลง
คอลัมน์สามัญสำนึก โดย สุดใจ ชาญชาตรีรัตน์
"สายการบิน"
โดยเฉพาะสายการบินที่ทำป้องกันความเสี่ยงน้ำมันสัดส่วนที่น้อย มีแนวโน้มจะได้ประโยชน์มากที่สุด
"กลุ่มค้าปลีก-ค้าส่ง"
เป็นอีกกลุ่มที่ได้ประโยชน์ไม่น้อย เพราะต้องใช้รถขนส่งจำนวนมากเพื่อกระจายสินค้าไปยังสาขาต่าง ๆ ทั้งยังได้ประโยชน์จากค่าไฟฟ้าภายในห้างที่ลดลงตามค่า Ft โดยต้นทุนโลจิสติกส์และค่าไฟฟ้าอยู่ที่ราว 2-4% ของยอดขาย ซึ่งหากมีการลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ลงราว 12% ก็จะช่วยให้กำไรสุทธิของหุ้นกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นราว 2-3% ทันทีแบบไม่ต้องออกแรงอะไร
"วัสดุก่อสร้าง"
ที่มีต้นทุนพลังงานเป็นส่วนสำคัญในการผลิต อาทิ กลุ่มผู้ผลิตกระเบื้อง ที่ต้นทุนเชื้อเพลิงคือก๊าซธรรมชาติสูงถึง 30% ของต้นทุนรวม หรือ "ปูนซีเมนต์" ต้นทุนพลังงาน 60% ของต้นทุนผลิตรวม (ถ่านหิน 30% และค่าไฟฟ้า 30%)
"ยานยนต์"
มีต้นทุนจากค่าไฟฟ้าราว 3-5% ของยอดขาย พร้อมด้วยค่าขนส่ง 0.5% ของยอดขาย ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดีเซลลดลง 20% และค่าไฟลดลง 5% ช่วยให้กลุ่มยานยนต์มีกำไรเพิ่มขึ้น 2.5-3.5%
"พัฒนาที่อยู่อาศัย"
ที่ได้อานิสงส์ผ่านทางค่าวัสดุก่อสร้างที่มีแนวโน้มราคาลดลง
"ท่องเที่ยว-โรงแรม"
มีต้นทุนค่าไฟฟ้า 3-6% ของรายได้ และต้นทุนโลจิสติกส์ไม่ถึง 1% แต่ต้นทุนที่ลดลงคาดว่าจะส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานของกลุ่มโรงแรมเพิ่มขึ้นราว 2%
เรียกว่ามีธุรกิจมากมายที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดฮวบครั้งนี้ แต่โอกาสที่ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลงนี้ยังมีเพียงน้อยนิด แม้ว่ากระทรวงพาณิชย์จะออกมายืนยันว่าผู้ผลิตสินค้าต่าง ๆ พร้อมให้ความร่วมมือในการลดราคาสินค้าก็ตาม
เพราะสัญญาณจากนักธุรกิจส่วนใหญ่มองว่า นี่เป็นโอกาสที่จะสามารถพยุงตัวเลขกำไรของบริษัทในภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นไข้
สถานการณ์ช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับช่วงเวลาที่ราคาน้ำมันถีบตัวสูงขึ้น ที่ผู้ประกอบการก็จะออกมาส่งเสียงทันที เพื่อขอปรับขึ้นราคาสินค้าเพราะต้นทุนน้ำมันพุ่ง !