ทำไมคนส่วนใหญ่ ถึงไม่เห็นด้วยกับนักวิชาการ กรณีห้ามนั่งท้ายกระบะ ?!?!

นักวิชาการจี้ทบทวนห้ามนั่งท้ายรถกระบะ หลังสูญเสีย 13 นศ.


30 ก.ย. 2562 สืบเนื่องจากอุบัติเหตุรถกระบะบรรทุกผู้โดยสารมาเต็มคันพลิกคว่ำที่ปากทางเข้าซอยกิ่งแก้ว 21
ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 13 ศพ ซึ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเมื่อครั้งปี 2560 รัฐบาลเคยจะออกกฎหมายห้ามนั่งท้ายรถกระบะ
แต่ก็เป็นคนไทยจำนวนมากที่ออกมาคัดค้านกันโดยไม่ห่วงความสูญเสีย

ศ.ดร.พิชัย ธานีรณานนท์ ประธานคณะอนุกรรมการสาขาการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและการเสียชีวิต 
วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวถึงเรื่องนี้ว่า

“การห้ามนั่งท้ายรถกระบะ ต้องมาพร้อมกับการให้เวลาผู้ผลิตรถยนต์ 1 ปี ในการเอาแค็บหรือเข็มขัดนิรภัยมาใส่ 
แต่ระหว่างนี้เราจะผ่อนผัน ผู้ผลิตถ้าจะผลิตรถกระบะออกมาขายคุณต้องทำให้ดีกว่านี้ ไม่เช่นนั้นก็จะมีมาอีก 
มันต้องแก้เป็นระบบ คุณก็รู้อยู่ชาวบ้านต้องเอามาบรรทุกของและบรรทุกคน ออสเตรเลียเคยมีปัญหาแบบนี้ 
เดินทาง 50 กิโลเมตร เขาไม่รู้จะไปยังไงก็นั่งไปกันหลังรถกระบะ แต่รถกระบะของเขาจะใหญ่กว่าของเรา 
นั่งกัน 10-20 คน แต่พอเกิดพลิกคว่ำเทกระจาด รัฐบาลเขาก็เลยต้องให้ใส่คอก ไม่ให้กระเด็นออกมา”


ส่วน นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปภ.)

วิเคราะห์ ว่า จากข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถิติการเกิดอุบัติเหตุรถกระบะพลิกคว่ำ 
ที่ผ่านมาย้อนหลังช่วง 5 ปี พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เพราะนิยมใช้ในการบรรทุก ทั้งคนและสิ่งของ 
สอดคล้องกับข้อมูลของกรมทางหลวง ที่พบว่าอุบัติเหตุบนท้องถนน 1 ใน 3 เป็นรถกระบะ และแนวโน้มในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา 
รถกระบะเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 25 เป็น ร้อยละ 32 
ซึ่งพื้นฐานทั่วไปของรถกระบะถือมีความเสี่ยงต่อการพลิกคว่ำได้ง่ายกว่ารถประเภทอื่น

เพราะจุดศูนย์ถ่วงของรถกระบะตามปกติจะอยู่ที่ประมาณ 60 เซ็นติเมตร 
หากมีการบรรทุกคนนั่งท้ายประมาณ 10 คน จะทำให้ศูนย์ถ่วงของรถเพิ่มเป็น 70 เซ็นติเมตร 
แต่หากมีการยืนร่วมด้วย ศูนย์ถ่วงรถจะเพิ่มเป็น 80 เซ็นติเมตร ทำให้ความเสี่ยงที่จะพลิกคว่ำเพิ่มเป็น 4 เท่า 
และหากขับมาด้วยความเร็ว จะยิ่งส่งให้มีภาวะความเสี่ยงต่อการพลิกคว่ำจนนำมาสู่การสูญเสียมากขึ้น

แต่สิ่งที่ทุกคนอาจไม่พึงระวัง คือ ขนาดหรือมิติตัวรถถือเป็นส่วนสําคัญของอุบัติเหตุครั้งนี้ คือ
รถที่จุดศูนย์ถ่วงสูง (Center of Gravity) ซึ่งหากบรรทุกคน มา 10 คน เฉลี่ยน้ำหนักคนละ 60 กิโลกรัม
จะมีความเสี่ยงในการพลิกควํ่ามากกว่ารถปกติสูงกว่าปกติถึงกว่า 2.5 เท่า ซึ่งเป็นไปตามหลักฟิสิกส์พื้นฐาน
อย่างเช่นกรณีล่าสุด ที่เกิดกับนักศึกษาฝึกงานวิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษ โดยวิเคราะห์เบื้องต้นว่า 
กรณีล่าสุดอาจขับมาด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 120 กิโลเมตร/ชม.
เมื่อพลิกคว่ำทำให้เห็นแรงเหวี่ยงชัดเจน หากเปรียบเทียบเท่ากับการตกตึก 19 ชั้น

นอกจากนี้ เมื่อมีการบรรทุกคนนั่งท้ายกระบะ ซึ่งไม่มีอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (เข็มขัดนิรภัย) 
เมื่อเกิดการหักเลี้ยวกะทันหันก็จะเกิดแรงเหวี่ยงที่เพิ่มขึ้น จนส่งผลให้เกิดการพลิกคว่ำ 
คนที่อยู่บริเวณท้ายกระบะจึงมีลักษณะเหมือนการถูกเทกระจาดไปคนละทิศคนละทาง ซึ่งเมื่อเกิดการเทกระจาด 
ผู้โดยสารท้ายกระบะจะมีอัตราเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากกว่าผู้โดยสารภายในตัวรถที่คาดเข็มขัดนิรภัยถึง 8 เท่า

สำหรับแนวทางการป้องกัน นพ.ธนะพงศ์ มองว่า ควรทบทวนการอนุญาตให้บรรทุกหรือนั่งท้ายรถกระบะ 
หรือหากไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างเข้มงวด เพราะมีกระแสต่อต้านเหมือนที่ผ่านมา 
ตัวผู้ขับขี่และผู้ซ้อนควรป้องกันตัวเอง เช่น ไม่ควรบรรทุกหรือนั่งกระบะหลังหากไม่มีอุปกรณ์โครงเหล็กหรือหลังคา 
เพราะหากเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำ โครงสร้างเหล็กและหลังคาจะช่วยลดความรุนแรงและการสูญเสียได้ 
เพราะถึงแม้ในข้อกฎหมายจะระบุไว้ว่า หากนั่งท้ายกระบะต้องไม่เกิน 6 คน และความเร็วต้องไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชม.
แต่ในทางปฏิบัติส่วนใหญ่กลับละเลยไม่คำนึกถึงความปลอดภัย


แต่ทางด้านชาวบ้านผู้ใช้รถกระบะ ได้ออกมาตอบโต้อย่างดุเดือด สรุปได้คร่าวๆ ว่า

รถกระบะเป็นของคนหาเช้ากินค่ำ
คนจนต้องใช้รถกระบะทำมาหากิน
ขับเร็วๆยังก็ตาย จะห้ามนั่งหลังกระบะทำไม
รถตำรวจยังนั่งหลังกระบะกันอยู่เลย
ชาวบ้านต่างจังหวัดต้องอาศัยนั่งท้ายกระบะตลอด
การห้ามนั่งท้ายกระบะมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตชาวบ้าน
เมาแล้วขับ คือสาเหตุของอุบัติเหตุ ไม่เกี่ยวกับการนั่งท้ายกระบะ
ขับรถเร็ว เมาแล้วขับ ยังไงก็ตาย ไม่เกี่ยวกับการนั่งท้ายกระบะ

บลาบลาบลา
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 60
บางคนยังแยกไม่ออกเลยว่า

ความเสี่ยง = โอกาส x ความรุนแรง

ไม่นั่งท้ายกระบะ อุปกรณ์ความปลอดภัยครับ ความรุนแรง มันก็ลดลง

การศึกษามันสำคัญนะครับ

คอมเมนต์ที่ว่า ถึงคราวตายนั่งอะไรก็ตาย คนขับประมาทก็ตาย จะได้หมดไปซักที
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 16
ถ้ารถ​ 2  คัน​ ขับมาเร็วเท่ากัน​ ขนาดพอๆกัน​ คว่ำแบบเดียวกัน​  พวกนั่งท้ายกระบะเปิดกับพวกนั่งในตัวรถ​ คาดเข็มขัดนิรภัย​ อันไหนโอกาสตายมากกว่ากันล่ะ

เค้าจะสร้างกฏกติกา​เพื่อให้บ้านเมืองปลอดภัย​ก็ไปว่าเค้า​ เวลาเกิดเหตุ​ขึ้น​มา​ ก็มาเทกระจาด​ กระจัดกระจายบนท้องถนน​ ศพเกลื่อนเกะกะ​ ทำความเดือดร้อนให้คนอื่นอีก​ บางทีกระเด็นมาโดนรถที่ขับมาดีๆอีกต่างหาก​ แย่
ความคิดเห็นที่ 3
คนที่เค้าไม่ฟัง มันก็มีเหตุผล 108 มาอ้างครับ

เผลอๆโดนด่ากลับอีก บ้านชั้นจน คนหาเช้ากินค่ำ

ให้ธรรมชาติคัดสรรน่ะถูกแล้ว
ความคิดเห็นที่ 20
คนที่คิดว่าขับอะไรก็ตายนี่ คงไม่เคยคิดที่จะป้องกัน หรือลดความเสี่ยงที่จะเกิดลงเลย
ประมาณขี่มอไซค์ก็ไม่ใส่หมวก  ขับรถก็ไม่ขาดเข็มขัด ปล่อยไปตามดวงตามกรรม
ความคิดเห็นที่ 9
จะกระบะ รถตู้ รถเก๋ง รถเมล์ มันก็ตายกันเกลื่อน เพราะสาเหตุหลักคือคน ไม่ใช่รถ
ความคิดเห็นที่ 14
จะขนคนก็ต้องจดทะเบียนเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คนซิครับ ใช้ป้ายตัวอักษรสีฟ้า แต่ถ้าจดทะเบียนเป็นรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ใช้ป้ายตัวอักษรสีเขียว ก็ห้ามขนคน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่