http://www.tigerdragon.in.th/?page_id=2

เราเคยมีอาการลมพิษและมีประสบการณ์ว่าไปหาหมอที่โรงพยาบาลแผนปัจจุบัน โดยหมอให้กินยาแก้แพ้แล้วไม่ดีขึ้น โดยมีลักษณะอาการคือคันบริเวณด้านหลังขาขวาเป็นปื้นๆ เหมือนลมพิษ  และเกิดทุกวันในเวลาประมาณหลัง6โมงเย็น มีอาการคันแบบข้างในแสบร้อน แนวทางการรักษากับแผนปัจจุบันคือ คุณหมอให้ยาแก้แพ้มากิน กินอยู่สักสามวันไม่ดีขึ้น เราเลยลองถามอากู๋ดู ปรากฎว่ามีคนหายจากการกินยาประดงพระสังข์ทรงช้าง พอค้นเจอหลายความคิดเห็นก็เลยถามแม่ซึ่งอายุมากกว่าุ 60 ปีแล้ว ได้ความว่า ยานี้เป็นยาแผนโบราณ เป็นยาที่คุณยายเราก็เคยใช้ ยายเราอายุ84 ปี เมื่อแม่คอนเฟิร์มว่ายานี้เป็นที่รู้จักมานาน แต่แม่อาจจะนึกไม่ออกเพราะมันนานจริงๆ นั่นแหละ  แกจึงไปหาซื้อยานี้ที่ร้านขายยาในตลาด ซึ่งเป็นร้านที่ขายทั้งยาแผนปัจจุบัน และยาแผนโบราณด้วย ได้ยานี้มาแล้ว อ่านดูสรรพคุณ และตัวยา พบว่าประกอบด้วย ตัวยาสมุนไพรเป็นหลัก เราจึงวางใจว่ามีความปลอดภัย และแบบที่เราเคยเลือกกินคือ ยาบดผงอัดเม็ด ราคาขวดละ 25 บาท ปัจจุบันอาจจะปรับราคาขึ้นมาแล้ว แต่รับรองว่าราคาสมเหตุสมผลแน่นอน แถมยังมีเลขอย. องค์การอาหารและยากำกับไว้ด้วย  มีคำเตือนบอกให้รู้ว่า อาการหลังทานยา จะมีอาการคัดจมูก เหมือนว่า ยานี้จะขับเมือกในร่างกายเราออกมาทำให้แน่นจมูก และอาจจะเพลียๆ อยากนอน ให้นอนพักไปเลย และไม่ต้องตกใจว่าทำไมอึดอัดในจมูก เหมือนขึ้มูกเยอะ เพราะยานี้ช่วยขับเมือกออกมานั่นเอง พยายามกินน้ำอุ่นมากหน่อยเพื่อช่วย ให้ร่างกายระบายของเสียทางผิวหนังได้ดีขึ้น หลังจากกินยานี้ไปตามโดส แล้ว ตื่นขึ้นมา และรอดูอาการลมพิษผื่นคัน ปรากฎว่า หายไปเลย เราก็กินยาให้ครบโดสในสองวันก็หายขาดเลย  เอาเป็นว่า อาการลมพิษนี้ อาจจะเกิดช่วงรอยต่อปลายฝนต้นหนาว หรือ เป็นอาการที่แสดงให้เรารู้ว่า พิษในร่างกายของเราเริ่มจะเยอะ และบางทีพิษนั้น ระบบกำจัดของเสียในร่างกายตามธรรมชาติ เราอาจกำจัดไม่หมด ทำให้เกิดอาการลมพิษขึ้น ซึ่งเป็นอาการที่ร่างกายแสดงปฏิกริยารักษาตัวเอง แสดงออกมาที่ผิวหนัง ซึ่งเป็นอวัยวะที่ขับของเสียง่ายที่สุด เราเข้าใจว่าเราอาจจะมีอาการ โรคประดง ซึ่งเมื่อไปค้นดู ก็มีคำอธิบายว่า 

https://www.dailynews.co.th/article/565246  

เป็นอาการ ประดงลม  ซึ่งทำให้เราได้รู้เพิ่มขึ้นว่า โรคประดง นั้นมีหลายแบบ ลมพิษ ก็เป็นอาการประดงที่เกิดจากลม ภายในร่างกาย อย่างไรก็ดี ตามคำแนะนำของเรา ซึ่งหลังจากกินยาแผนโบราณนี้แล้วอาการดีขึ้น หายขาด ในช่วงต่อมา เรา ก็เลยได้ศึกษา ข้อมูล เกี่ยวกับแพทย์ทางเลือกมากขึ้น รวมไปถึงการกินอาหารธรรมชาติ และธรรมชาติบำบัด ทำให้เราทึ่งในองค์ความรู้ด้านแพทย์แผนโบราณมากและมีความมั่นใจในเวลาที่จะเลือกวิธีการรักษาสุขภาพหรือโรคภัยไข้เจ็บด้วยการผสมผสาน ทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน และแพทย์ทางเลือก เข้าด้วยกัน กล่าวคือ หากค้นหาสมมติฐานการเกิดโรคด้วยตัวเอง โดยการสังเกตอาการ และ พิจารณาพฤติกรรม การกินอยู่ หลับนอน การออกกำลังกาย การขับถ่าย และอารมณ์ ของเราเองแล้ว ในเบื้องต้น หากโรคนั้น เกิดจากพฤติกรรมที่ไม่สมดุลของเรา ซึ่งอาจจะทำให้เกิดเป็นโรคกลุ่ม NCDS หรือโรคที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดัน การพิจารณาเลือกวิธีการรักษาสุขภาพ  และป้องกันตัวเองให้ห่างไกลจากโรคกลุ่มนี้ ด้วยการไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล เพื่อตรวจเลือด ความดัน ไขมันต่างๆ เป็นระยะ ๆ จะช่วยให้เราดูแลร่างกายให้ถูกจุด และสำหรับเรา ยืนยันเลยว่า การรักษาสุขภาพที่ดีที่สุด หรือหมอที่รักษาดีที่สุดคือ ตัวเราเอง ที่สำคัญ การใช้อาหารและธรรมชาติบำบัด ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก ที่เราไม่ควรมองข้าม ปัจจุบัน มีโรงพยาบาลแผนปัจจุบันหลายแห่งที่เพิ่มแผนก แพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก หลายแห่ง ทั้งโรงพยาบาลที่สังกัดกระทรวงสาธารณสุข และสังกัดกรุงเทพมหานคร ตลอดจน โรงพยาบาลที่อยู่ในต่างจังหวัด ซึ่งหลายๆ จังหวัด เป็นที่น่ายินดีที่คุณหมอ และผู้บริหาร ตลอดจนคนไข้ ได้มีจิตใจที่เปิดกว้าง รับองค์ความรู้แพทย์ทางเลือก ซึ่งประกอบด้วย แพทย์แผนไทย จีน มาประยุกต์ใช้ร่วมกันอย่างคุ้มค่างบประมาณ  สิ่งสำคัญก็คือ พวกเราควรได้มีโอกาสพิจารณาสนับสนุน บุคลากรทางการแพทย์ ของแพทย์ทางเลือก แพทย์แผนไทย และแผนจีน ให้สามารถสืบทอดภูมิปัญญา ต่อไปได้อย่างมีศักดิ์ศรี เพราะแผนแพทย์ไทย จีน นั้น เริ่มต้นวินิจฉัยสมมุติฐานของโรคว่ามาจากการบกพร่องแบบองค์รวมของร่างกาย ความไม่สมดุลต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางการรักษาที่อาจจะช้า แต่ยั่งยืน และ ส่วนใหญ่เป็นแนวทางการรักษาที่เป็นแบบป้องกันมิให้โรคนั้นพัฒนากลายเป็นโรคเรื้อรัง ที่มิได้เกิดจากเช่ื้อโรค แต่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและสุขภาพที่ไม่สมดุล ครั้งหน้าหากมีเวลาเราอาจจะมารีวิว หรือแนะนำ การรักษาอาการหรือรีวิววิธีการรักษาจากแพทย์ทางเลือกที่น่าสนใจต่อไป หากเพื่อนๆ สมาชิกท่านใดมีข้อมูลเพิ่มเติมที่ต้องการแชร์หรือมีองค์ความรู้ใด ที่เราอาจจะเข้าใจผิดพลาดไป ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้และยินดีรับคำชี้แจงจากผู้รู้หลายๆ ท่านเพราะเราก็แค่คนเคยป่วย ที่ไม่อยากป่วยนั่นเอง