{ผ่านไป ๙ ปี กลับมาถนนนักเขียนอีกครั้ง} ☀มงกุฎอัคคี ตอนที่ ๑ ปฐมบทต้นเพลิง.....อสิตา

กระทู้สนทนา
เม่าแพนด้า...........................เม่ารดน้ำ...........................เม่าตกอับ
ครั้งหนึ่ง นานนนนนน มาแล้ว...
อสิตาเคยลงนิยายในพันทิปแห่งนี้ ตอนเพิ่งเริ่มเขียนงานใหม่ๆ สิบปี เก้าปี ราวๆ นั้น
สมัยโน้นมีคุณสกอตตี้และเพื่อนๆ อีกหลายท่านคอยคอมเม้นต์ให้กำลังใจ ไม่รู้ว่าจะยังอยู่ไหม
อยากมาตามหานักอ่านท่านใหม่ๆ ที่ชะตาต้องกันด้วยค่ะ
ถึงวันนี้...
เรียกว่ากลายเป็นนักเขียนได้จริงๆ แล้วกระมัง (เพราะว่าไส้แห้งมาก)
เพราะได้ออกเดินทางผ่านสิ่งต่างๆ มาไม่น้อย จนถึงชั่วขณะที่อยากกลับมาสู่จุดเริ่มต้น
หวังว่าเพื่อนๆ ที่อ่านนิยายในห้องนี้จะให้โอกาสนักเขียนกลางเก่ากลางใหม่
ได้เล่าอะไรแปลกๆ ให้ท่านฟังนะคะ

คืนนี้ ที่บ้านของคนเขียนได้ยินเสียงฝนตก น้ำฝนหยด...
แต่ที่นั่น ที่ที่เราจะเล่าถึง พื้นดินแห้งผาก...แทบไม่เคยสัมผัสหยดน้ำ
มองไปเป็นทะเลทราย เป็นภูผา คืออาณาจักรอันยิ่งใหญ่ ที่ชื่อว่าคามา
Karma ถูกแล้วค่ะ...  "อาณาจักรแห่งกรรม"

----------------
ผู้ถูกหวดด้วยแส้แห่งความคิดถึงอยู่ทุกวันคืนคือข้า

รอคอยแต่เจ้า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องการเจ้า

ให้มาเป็นทั้งทาส และ ราชินีแห่งข้า

นางทาส ผู้สวม...........

ปฐมบท ต้นเพลิง
องค์ชาย

ชายแดนอาณาจักรคามาอันยิ่งใหญ่ แผ่นดินระอุร้อนรุ่มด้วยเพลิงสงคราม

เบื้องบนเต็มไปด้วยเมฆหม่นสีหมอกมัว

ทว่า เบื้องล่าง...

สายลมที่พัดผ่านทั้งคมและแรงประดุจมีดดาบกราดผ่านสมรภูมิรบ

อึดใจหนึ่ง ลำแสงพระอาทิตย์พลันแหวกฟ้าสาดทอ...พวกเขาเงยหน้าขึ้นมอง

จึงได้เห็นช่องปริร้าวของผืนฟ้า ดวงอาทิตย์กลมโตเลือนจางเยี่ยมหน้ามา

ดูประหนึ่งกระจกสีขาวเร้นอยู่หลังไอเมฆบางเบาเกลื่อนกลบไม่มิด

“ฟ้าเปิดเพียงเท่านี้ แต่ถือว่าได้ฤกษ์แล้ว” ถ้อยคำสุขุมอ่อนน้อมดังจากปากราชครูผู้อยู่ใกล้ปะรำพิธี

ท่ามกลางสำเนียงกลองศึกจากทัพศัตรู เสียงม้าผยองกระทืบกีบครั่นตัวอยากโผนทะยานออกสู่สนามรบ ชายชราผู้นั่งนิ่งรอคอยบนยกพื้นสูงไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงหยัดกายลุกขึ้นแล้วก้าวไปจนชิดริมขอบปะรำพิธี เขาหลุบตามองเลือดเนื้อแห่งตน สององค์ชายร่างกำยำในชุดเกราะแข็งแกร่งก้าวเข้ามาพร้อมจอกทองคำ ยามเมื่อเงยหน้าทั้งคู่ต่างมีแววตาจดจ่อรอคอย...

ชายชราผู้ยืนอยู่เหนือทุกสิ่งเอื้อมมือหยิบโถสุราที่นายทหารกล้าถือประคองส่งให้ เขายกมันขึ้นเหนือศีรษะ ก่อนเอียงปากโถให้สายสุราสาดเทลงเหมือนน้ำตกถั่งไหลลงสู่เบื้องต่ำ

“บุตรแห่งข้า สุริยเทพเยี่ยมหน้ามาอวยชัยแล้ว ไป ! ไปเด็ดหัวผู้นำทัพของศัตรูมา”

“ท่านพ่อ”
ทั้งคู่ต่างขานรับ จอกสุราในมือถูกเติมจนเปี่ยมล้นด้วยเมรัย
ทั้งกายดั่งได้ราดชโลมด้วยน้ำมนต์และคำอำนวยพรจากฟ้า
แววตาจึงยิ่งลุกโรจน์ ยามระลึกถึงเป้าหมายที่รอให้แล่นไปคว้ามาไว้ในอุ้งมือ

ตาสบตา ต่างมุ่งมั่น จุดหมายในใจนั้นใหญ่ยิ่ง คืออุดมการณ์ของคนหนุ่มที่ต่างทำเพื่อมาตุภูมิ !

“อนัค แม้พี่จะเป็นทัพหน้า แต่หวังให้เจ้าตามสำทับกำราบพวกมันให้แน่นอนลงไป พี่หวังพึ่งเจ้า”
ผู้พูดเป็นชายหนุ่มผมหยักศก รวบเกล้ายกสูงแล้วปล่อยหางยาวลง ใบหน้าองอาจแต่งแต้มรอยวาดสีชาดอย่างนักรบ
“อย่ากลัว ความตายจักมาถึงมนุษย์ทุกผู้ แม้ไม่รู้ว่าวันใด...แต่ต้องไม่ใช่วันนี้อย่างแน่นอน” ถ้อยคำของเขาฮึกเหิมเริงใจ

“ข้าจะระวังหลังให้ท่านเอง ด้วยพรที่พร่างพรมจากมือพระบิดา ศัตรูหน้าไหนก็มิอาจทำร้ายท่านได้ ขอให้ท่านพี่มีชัย...สวัสดี”

คนฟังพยักหน้า เชื่อมั่น ไว้ใจ ยามเผยรอยยิ้มกระหยิ่ม
“ความสวัสดีจงมีแก่เจ้าเช่นกัน เผ่าเราคือนักล่าไร้พ่าย...อาณาจักรคามาจะต้องยิ่งใหญ่ไม่มีใครเทียม ด้วยสี่มือของสองเรา !”

เสียงเป่าสังข์ลากยาว...สั่งให้ช้างม้านับหมื่นควบคำรามไปเบื้องหน้า หมายขยี้ศัตรูให้แหลกลาญ รถศึกพุ่งตามกันไปเป็นทิวแถว จากเนินผาชันไถลสู่ที่ราบต่ำ รวดเร็ว บ้าคลั่งเกินกว่าศัตรูซึ่งรอต้านจะทานไหว ! สุ้มเสียงแห่งความตายคล้ายกำลังเรียกหาผู้คนจากทั้งสองกองทัพ เว้นแต่องค์เตมัน รัชทายาทแห่งคามา ที่คงไม่มีใครอาจเอื้อมเข้าถึงตัวได้

“พลศรข้างบน คอยแผ้วถางทางและระวังหลังให้ทัพเจ้าพี่ ฟังคำสั่งแม่ทัพให้จงดี”

กล่าวจบ อนัคองค์ชายผู้น้องชักบังเหียนรถศึกด้วยตนเองลำพัง ม้าเพียงตัวเดียวนำรถเล็กพุ่งไปอย่างห้าวหาญ ล้อหมุนเร็วรี่จนแทบลุกเป็นไฟพอๆ กับใจผู้บังคับ
ใจข้าพร้อม ...หรือยังไม่พร้อม ...
ไม่ว่าอย่างไร... ข้าก็ต้องทำ
ถึงจุดลับตาบนเชิงผาสูง เขาจึงปาดสะบัดหางรถศึกเข้าเทียบข้างหมิ่นเหม่ขอบเหวอย่างใจกล้า
รถหยุด อนัคหายใจแรง นิ่งมองสมรภูมิเดือดที่อยู่ต่ำลงไป

“องค์เตมันอยู่ไกล อาจแสนไกลเกินกว่าท่านจะเอื้อมถึง”
ท่ามกลางวายุแห่งความตายที่โหมพัด เสียงใครคนหนึ่งดังเพียงแผ่วซ้อนขึ้นเบื้องหลัง
“และลมบนนี้ก็แรงมาก...แต่ท่านต้องช่วยพี่ชายท่าน ปลดปล่อยเขาเสีย”

ผู้ฟังใช้ปลายนิ้วชี้แตะปลายลิ้นก่อนชูขึ้นรับริ้วอากาศ หลับเนตร จับเพียงสัมผัสตรงปลายดัชนี แรงลม...หรือจะสู้แรงใจ จากที่ตรงนี้ มองลงไปพบธงผู้นำทัพเล็กจ้อย เจ้าพี่พุ่งไปอย่างห้าวหาญ แขนกำยำสะบัดคมศาสตราแหวกทัพกล้าแห่งศัตรูแตกกระจายเกลื่อนไม่อาจรอหน้า

มือของอนัคเอื้อมหยิบเกาทัณฑ์ยาวสูงท่วมเศียรซึ่งยากนักจะหาคนมีแรงพอจะใช้มัน รัชทายาทองค์รองปีนขึ้นเหยียบขอบรถศึกด้วยท่วงทีดุจพยัคฆ์ ผมยาวยิ่งสะบัดไหวยามเอี้ยวกายเหนี่ยวน้าวคันธนูใหญ่ขึ้นศรถึงสองดอกพร้อมกัน...ลมพัดมาแรง แต่ห้วงเวลาคล้ายนิ่งสนิทอยู่กับที่ สายตาคมกล้าเล็งเพียงพี่ชายผู้ยามนี้ทั้งร่างเปรอะเลอะไปด้วยเลือด ‘ความตายจักมาถึงมนุษย์ทุกผู้’ ผู้มองหอบหายใจ กัดริมฝีปากแรงจนโลหิตไหลซึม

ฉับพลันนั้น...เขาปล่อยมือ

ที่พุ่งออกไปมิใช่ศรไฟ แต่ศรคมกล้ากลับลุกติดเปลวเพลิงขณะแล่นฉิวแหวกลม
ที่ร้ายไปกว่านั้น ศรทั้งสองดอกต่างมีรูปแบบเดียวกับศรเผ่าศัตรู !
หนึ่งศร ทะลุลำคอสารถีผู้กุมบังเหียนรถศึก

หนึ่งศร ทะลุอกซ้าย ตำแหน่งดวงใจพี่ชายร่วมสายเลือด !
ทันใด รถเร็วเสียหลักพลิกคว่ำล้มจมฝุ่นหายไปในคำรบเดียว ธงผู้นำทัพหักโค่นไปในทะเลผงคลี

อนัคเบิกตาค้างนิ่งงัน ขณะที่ความเงียบก่อเกิด ตามมาด้วยหยาดเหงื่อ ปนเปผสานเป็นหนึ่งกับหยาดน้ำตา
“ข้ารู้ ที่สุดท่านก็ทำได้”
คำชมแผ่วจากเบื้องหลังแทบจะกลืนกลายไปกับสายลม

โลหิตไหลลงเป็นสายจากริมฝีปากที่ถูกองค์ชายขบกัดรุนแรง มือสั่นระริกกำเกาทัณฑ์ยาวฟาดลงไปสุดแรงกับรถศึกจนหักกลางคัน อนัคหอบหายใจถี่ระรัว ก่อนหันขวับ...ตาแดงก่ำแตกซ่านกราดมองไปทั่ว

ทว่า ที่เบื้องหลังไม่มีผู้ใดอยู่ที่นั่นเลยสักคน...

องค์ชายหลับตาลง ข่มกลั้นอารมณ์อันไหวระริก “เจ้าพี่ ข้าส่งท่านขึ้นสู่ฟ้า ตัวข้าขอลงนรกเอง”

...
ครั้นสนธยามาเยือน
แสงฉานอาบฟ้าจนแดงดุจทะเลเลือด
เสียงสังข์ระโหยไห้ราวกับผู้เป่าจะสิ้นเรี่ยวแรงขาดใจลงไป

ศึกครานี้ชนะ แต่กลับแพ้...
ด้วยข่าวร้ายอันไม่คาดคิดพุ่งตรงมาถึงบิดาแห่งองค์ชายทั้งสอง
คามาสิ้นแล้วซึ่งรัชทายาท !
เตมันต้องศรตกรถศึกป่านนี้ยังหาซากไม่พบ อนัคที่ตามลงไปอย่างบ้าคลั่งถูกตัดคอเหลือเพียงร่าง กษัตริย์ชราจ้าวอาณาจักรอันไพศาลถึงกับล้มทั้งยืน น่าเป็นห่วงว่าจะตกตายตามบุตรชายไปด้วย ในค่ายซึ่งเหล่าทหารถอยทัพกลับมารวมตัว ทุกสารทิศมีแต่ความโศกสลดแซมเสียงร่ำไห้

...ดาวขึ้นแล้ว แสงดาวอ่อนโยนทอดทอจับเหนือกระโจมน้อยใหญ่ แสงหยาดเย็นช่วยทุเลาความร้อนอันสั่งสมมาตลอดวันให้คลายหาย ในกระโจมหนึ่ง เสียงสนทนากระซิบกระซาบบางเบา

“องค์ชายมาสิ้นลงพร้อมกัน พระบิดาก็ทำท่าจะอยู่ไม่ไหว นี่คือจุดจบของคามาอย่างที่ท่านรอคอย...มิใช่หรือ” ผู้ถามเน้นเสียงท้ายประโยค

หลายอึดใจผ่านไปจึงค่อยมีเสียงเอ่ยตอบ
“นี่...ยังไม่ใช่อย่างที่ข้าต้องการ”
สำเนียงสุขุมเจือแววยิ้มเยื้อนอ่อนโยน ทว่าไม่ขยายความสิ่งใดไปกว่านั้น

เพียงครู่ หลังจากผู้มาเยือนขอตัวกลับไป...
เจ้าของกระโจมแหวกประตูออกมาเบื้องนอก
เยื้องกรายสง่างาม แช่มช้าดั่งเงาภูตพรายที่แฝงกายใต้ฟ้าราตรี

“ตายหมดอย่างนั้นหรือ”
เสียงเหยียดหยันรำพึง เนตรหลับพริ้มสนิท
ปลายขนตาซึ่งยาวเกินบุรุษสั่นไหวเล็กน้อย
เมื่อต้องสัมผัสของแสงดาวอันเอื้อนเอ่ยความลับแห่งมหาจักรวาล

ไม่ใช่ ยังเหลือดาวรัชทายาทค้างฟ้าอยู่อีกหนึ่งดวง
ยังมีอีกหนึ่งคนที่...

“ยังไม่ตาย”
ปากพึมพำ ก่อนกลับกลายเป็นรอยยิ้ม
...ชั่วร้าย เกินกว่าจะยอมให้ผู้ใดได้ยล
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่