...........................
...........................
ครั้งหนึ่ง นานนนนนน มาแล้ว...
อสิตาเคยลงนิยายในพันทิปแห่งนี้ ตอนเพิ่งเริ่มเขียนงานใหม่ๆ สิบปี เก้าปี ราวๆ นั้น
สมัยโน้นมีคุณสกอตตี้และเพื่อนๆ อีกหลายท่านคอยคอมเม้นต์ให้กำลังใจ ไม่รู้ว่าจะยังอยู่ไหม
อยากมาตามหานักอ่านท่านใหม่ๆ ที่ชะตาต้องกันด้วยค่ะ
ถึงวันนี้...
เรียกว่ากลายเป็นนักเขียนได้จริงๆ แล้วกระมัง (เพราะว่าไส้แห้งมาก)
เพราะได้ออกเดินทางผ่านสิ่งต่างๆ มาไม่น้อย จนถึงชั่วขณะที่อยากกลับมาสู่จุดเริ่มต้น
หวังว่าเพื่อนๆ ที่อ่านนิยายในห้องนี้จะให้โอกาสนักเขียนกลางเก่ากลางใหม่
ได้เล่าอะไรแปลกๆ ให้ท่านฟังนะคะ
คืนนี้ ที่บ้านของคนเขียนได้ยินเสียงฝนตก น้ำฝนหยด...
แต่ที่นั่น ที่ที่เราจะเล่าถึง พื้นดินแห้งผาก...แทบไม่เคยสัมผัสหยดน้ำ
มองไปเป็นทะเลทราย เป็นภูผา คืออาณาจักรอันยิ่งใหญ่ ที่ชื่อว่าคามา
Karma ถูกแล้วค่ะ... "อาณาจักรแห่งกรรม"
----------------
ผู้ถูกหวดด้วยแส้แห่งความคิดถึงอยู่ทุกวันคืนคือข้า
รอคอยแต่เจ้า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องการเจ้า
ให้มาเป็นทั้งทาส และ ราชินีแห่งข้า
นางทาส ผู้สวม...........
ปฐมบท ต้นเพลิง
องค์ชาย
ชายแดนอาณาจักรคามาอันยิ่งใหญ่ แผ่นดินระอุร้อนรุ่มด้วยเพลิงสงคราม
เบื้องบนเต็มไปด้วยเมฆหม่นสีหมอกมัว
ทว่า เบื้องล่าง...
สายลมที่พัดผ่านทั้งคมและแรงประดุจมีดดาบกราดผ่านสมรภูมิรบ
อึดใจหนึ่ง ลำแสงพระอาทิตย์พลันแหวกฟ้าสาดทอ...พวกเขาเงยหน้าขึ้นมอง
จึงได้เห็นช่องปริร้าวของผืนฟ้า ดวงอาทิตย์กลมโตเลือนจางเยี่ยมหน้ามา
ดูประหนึ่งกระจกสีขาวเร้นอยู่หลังไอเมฆบางเบาเกลื่อนกลบไม่มิด
“ฟ้าเปิดเพียงเท่านี้ แต่ถือว่าได้ฤกษ์แล้ว” ถ้อยคำสุขุมอ่อนน้อมดังจากปากราชครูผู้อยู่ใกล้ปะรำพิธี
ท่ามกลางสำเนียงกลองศึกจากทัพศัตรู เสียงม้าผยองกระทืบกีบครั่นตัวอยากโผนทะยานออกสู่สนามรบ ชายชราผู้นั่งนิ่งรอคอยบนยกพื้นสูงไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงหยัดกายลุกขึ้นแล้วก้าวไปจนชิดริมขอบปะรำพิธี เขาหลุบตามองเลือดเนื้อแห่งตน สององค์ชายร่างกำยำในชุดเกราะแข็งแกร่งก้าวเข้ามาพร้อมจอกทองคำ ยามเมื่อเงยหน้าทั้งคู่ต่างมีแววตาจดจ่อรอคอย...
ชายชราผู้ยืนอยู่เหนือทุกสิ่งเอื้อมมือหยิบโถสุราที่นายทหารกล้าถือประคองส่งให้ เขายกมันขึ้นเหนือศีรษะ ก่อนเอียงปากโถให้สายสุราสาดเทลงเหมือนน้ำตกถั่งไหลลงสู่เบื้องต่ำ
“บุตรแห่งข้า สุริยเทพเยี่ยมหน้ามาอวยชัยแล้ว ไป ! ไปเด็ดหัวผู้นำทัพของศัตรูมา”
“ท่านพ่อ”
ทั้งคู่ต่างขานรับ จอกสุราในมือถูกเติมจนเปี่ยมล้นด้วยเมรัย
ทั้งกายดั่งได้ราดชโลมด้วยน้ำมนต์และคำอำนวยพรจากฟ้า
แววตาจึงยิ่งลุกโรจน์ ยามระลึกถึงเป้าหมายที่รอให้แล่นไปคว้ามาไว้ในอุ้งมือ
ตาสบตา ต่างมุ่งมั่น จุดหมายในใจนั้นใหญ่ยิ่ง คืออุดมการณ์ของคนหนุ่มที่ต่างทำเพื่อมาตุภูมิ !
“อนัค แม้พี่จะเป็นทัพหน้า แต่หวังให้เจ้าตามสำทับกำราบพวกมันให้แน่นอนลงไป พี่หวังพึ่งเจ้า”
ผู้พูดเป็นชายหนุ่มผมหยักศก รวบเกล้ายกสูงแล้วปล่อยหางยาวลง ใบหน้าองอาจแต่งแต้มรอยวาดสีชาดอย่างนักรบ
“อย่ากลัว ความตายจักมาถึงมนุษย์ทุกผู้ แม้ไม่รู้ว่าวันใด...แต่ต้องไม่ใช่วันนี้อย่างแน่นอน” ถ้อยคำของเขาฮึกเหิมเริงใจ
“ข้าจะระวังหลังให้ท่านเอง ด้วยพรที่พร่างพรมจากมือพระบิดา ศัตรูหน้าไหนก็มิอาจทำร้ายท่านได้ ขอให้ท่านพี่มีชัย...สวัสดี”
คนฟังพยักหน้า เชื่อมั่น ไว้ใจ ยามเผยรอยยิ้มกระหยิ่ม
“ความสวัสดีจงมีแก่เจ้าเช่นกัน เผ่าเราคือนักล่าไร้พ่าย...อาณาจักรคามาจะต้องยิ่งใหญ่ไม่มีใครเทียม ด้วยสี่มือของสองเรา !”
เสียงเป่าสังข์ลากยาว...สั่งให้ช้างม้านับหมื่นควบคำรามไปเบื้องหน้า หมายขยี้ศัตรูให้แหลกลาญ รถศึกพุ่งตามกันไปเป็นทิวแถว จากเนินผาชันไถลสู่ที่ราบต่ำ รวดเร็ว บ้าคลั่งเกินกว่าศัตรูซึ่งรอต้านจะทานไหว ! สุ้มเสียงแห่งความตายคล้ายกำลังเรียกหาผู้คนจากทั้งสองกองทัพ เว้นแต่องค์เตมัน รัชทายาทแห่งคามา ที่คงไม่มีใครอาจเอื้อมเข้าถึงตัวได้
“พลศรข้างบน คอยแผ้วถางทางและระวังหลังให้ทัพเจ้าพี่ ฟังคำสั่งแม่ทัพให้จงดี”
กล่าวจบ อนัคองค์ชายผู้น้องชักบังเหียนรถศึกด้วยตนเองลำพัง ม้าเพียงตัวเดียวนำรถเล็กพุ่งไปอย่างห้าวหาญ ล้อหมุนเร็วรี่จนแทบลุกเป็นไฟพอๆ กับใจผู้บังคับ
ใจข้าพร้อม ...หรือยังไม่พร้อม ...
ไม่ว่าอย่างไร... ข้าก็ต้องทำ
ถึงจุดลับตาบนเชิงผาสูง เขาจึงปาดสะบัดหางรถศึกเข้าเทียบข้างหมิ่นเหม่ขอบเหวอย่างใจกล้า
รถหยุด อนัคหายใจแรง นิ่งมองสมรภูมิเดือดที่อยู่ต่ำลงไป
“องค์เตมันอยู่ไกล อาจแสนไกลเกินกว่าท่านจะเอื้อมถึง”
ท่ามกลางวายุแห่งความตายที่โหมพัด เสียงใครคนหนึ่งดังเพียงแผ่วซ้อนขึ้นเบื้องหลัง
“และลมบนนี้ก็แรงมาก...แต่ท่านต้องช่วยพี่ชายท่าน ปลดปล่อยเขาเสีย”
ผู้ฟังใช้ปลายนิ้วชี้แตะปลายลิ้นก่อนชูขึ้นรับริ้วอากาศ หลับเนตร จับเพียงสัมผัสตรงปลายดัชนี แรงลม...หรือจะสู้แรงใจ จากที่ตรงนี้ มองลงไปพบธงผู้นำทัพเล็กจ้อย เจ้าพี่พุ่งไปอย่างห้าวหาญ แขนกำยำสะบัดคมศาสตราแหวกทัพกล้าแห่งศัตรูแตกกระจายเกลื่อนไม่อาจรอหน้า
มือของอนัคเอื้อมหยิบเกาทัณฑ์ยาวสูงท่วมเศียรซึ่งยากนักจะหาคนมีแรงพอจะใช้มัน รัชทายาทองค์รองปีนขึ้นเหยียบขอบรถศึกด้วยท่วงทีดุจพยัคฆ์ ผมยาวยิ่งสะบัดไหวยามเอี้ยวกายเหนี่ยวน้าวคันธนูใหญ่ขึ้นศรถึงสองดอกพร้อมกัน...ลมพัดมาแรง แต่ห้วงเวลาคล้ายนิ่งสนิทอยู่กับที่ สายตาคมกล้าเล็งเพียงพี่ชายผู้ยามนี้ทั้งร่างเปรอะเลอะไปด้วยเลือด ‘ความตายจักมาถึงมนุษย์ทุกผู้’ ผู้มองหอบหายใจ กัดริมฝีปากแรงจนโลหิตไหลซึม
ฉับพลันนั้น...เขาปล่อยมือ
ที่พุ่งออกไปมิใช่ศรไฟ แต่ศรคมกล้ากลับลุกติดเปลวเพลิงขณะแล่นฉิวแหวกลม
ที่ร้ายไปกว่านั้น ศรทั้งสองดอกต่างมีรูปแบบเดียวกับศรเผ่าศัตรู !
หนึ่งศร ทะลุลำคอสารถีผู้กุมบังเหียนรถศึก
หนึ่งศร ทะลุอกซ้าย ตำแหน่งดวงใจพี่ชายร่วมสายเลือด !
ทันใด รถเร็วเสียหลักพลิกคว่ำล้มจมฝุ่นหายไปในคำรบเดียว ธงผู้นำทัพหักโค่นไปในทะเลผงคลี
อนัคเบิกตาค้างนิ่งงัน ขณะที่ความเงียบก่อเกิด ตามมาด้วยหยาดเหงื่อ ปนเปผสานเป็นหนึ่งกับหยาดน้ำตา
“ข้ารู้ ที่สุดท่านก็ทำได้”
คำชมแผ่วจากเบื้องหลังแทบจะกลืนกลายไปกับสายลม
โลหิตไหลลงเป็นสายจากริมฝีปากที่ถูกองค์ชายขบกัดรุนแรง มือสั่นระริกกำเกาทัณฑ์ยาวฟาดลงไปสุดแรงกับรถศึกจนหักกลางคัน อนัคหอบหายใจถี่ระรัว ก่อนหันขวับ...ตาแดงก่ำแตกซ่านกราดมองไปทั่ว
ทว่า ที่เบื้องหลังไม่มีผู้ใดอยู่ที่นั่นเลยสักคน...
องค์ชายหลับตาลง ข่มกลั้นอารมณ์อันไหวระริก “เจ้าพี่ ข้าส่งท่านขึ้นสู่ฟ้า ตัวข้าขอลงนรกเอง”
...
ครั้นสนธยามาเยือน
แสงฉานอาบฟ้าจนแดงดุจทะเลเลือด
เสียงสังข์ระโหยไห้ราวกับผู้เป่าจะสิ้นเรี่ยวแรงขาดใจลงไป
ศึกครานี้ชนะ แต่กลับแพ้...
ด้วยข่าวร้ายอันไม่คาดคิดพุ่งตรงมาถึงบิดาแห่งองค์ชายทั้งสอง
คามาสิ้นแล้วซึ่งรัชทายาท !
เตมันต้องศรตกรถศึกป่านนี้ยังหาซากไม่พบ อนัคที่ตามลงไปอย่างบ้าคลั่งถูกตัดคอเหลือเพียงร่าง กษัตริย์ชราจ้าวอาณาจักรอันไพศาลถึงกับล้มทั้งยืน น่าเป็นห่วงว่าจะตกตายตามบุตรชายไปด้วย ในค่ายซึ่งเหล่าทหารถอยทัพกลับมารวมตัว ทุกสารทิศมีแต่ความโศกสลดแซมเสียงร่ำไห้
...ดาวขึ้นแล้ว แสงดาวอ่อนโยนทอดทอจับเหนือกระโจมน้อยใหญ่ แสงหยาดเย็นช่วยทุเลาความร้อนอันสั่งสมมาตลอดวันให้คลายหาย ในกระโจมหนึ่ง เสียงสนทนากระซิบกระซาบบางเบา
“องค์ชายมาสิ้นลงพร้อมกัน พระบิดาก็ทำท่าจะอยู่ไม่ไหว นี่คือจุดจบของคามาอย่างที่ท่านรอคอย...มิใช่หรือ” ผู้ถามเน้นเสียงท้ายประโยค
หลายอึดใจผ่านไปจึงค่อยมีเสียงเอ่ยตอบ
“นี่...ยังไม่ใช่อย่างที่ข้าต้องการ”
สำเนียงสุขุมเจือแววยิ้มเยื้อนอ่อนโยน ทว่าไม่ขยายความสิ่งใดไปกว่านั้น
เพียงครู่ หลังจากผู้มาเยือนขอตัวกลับไป...
เจ้าของกระโจมแหวกประตูออกมาเบื้องนอก
เยื้องกรายสง่างาม แช่มช้าดั่งเงาภูตพรายที่แฝงกายใต้ฟ้าราตรี
“ตายหมดอย่างนั้นหรือ”
เสียงเหยียดหยันรำพึง เนตรหลับพริ้มสนิท
ปลายขนตาซึ่งยาวเกินบุรุษสั่นไหวเล็กน้อย
เมื่อต้องสัมผัสของแสงดาวอันเอื้อนเอ่ยความลับแห่งมหาจักรวาล
ไม่ใช่ ยังเหลือดาวรัชทายาทค้างฟ้าอยู่อีกหนึ่งดวง
ยังมีอีกหนึ่งคนที่...
“ยังไม่ตาย”
ปากพึมพำ ก่อนกลับกลายเป็นรอยยิ้ม
...ชั่วร้าย เกินกว่าจะยอมให้ผู้ใดได้ยล
{ผ่านไป ๙ ปี กลับมาถนนนักเขียนอีกครั้ง} ☀มงกุฎอัคคี ตอนที่ ๑ ปฐมบทต้นเพลิง.....อสิตา
ครั้งหนึ่ง นานนนนนน มาแล้ว...
อสิตาเคยลงนิยายในพันทิปแห่งนี้ ตอนเพิ่งเริ่มเขียนงานใหม่ๆ สิบปี เก้าปี ราวๆ นั้น
สมัยโน้นมีคุณสกอตตี้และเพื่อนๆ อีกหลายท่านคอยคอมเม้นต์ให้กำลังใจ ไม่รู้ว่าจะยังอยู่ไหม
อยากมาตามหานักอ่านท่านใหม่ๆ ที่ชะตาต้องกันด้วยค่ะ
ถึงวันนี้...
เรียกว่ากลายเป็นนักเขียนได้จริงๆ แล้วกระมัง (เพราะว่าไส้แห้งมาก)
เพราะได้ออกเดินทางผ่านสิ่งต่างๆ มาไม่น้อย จนถึงชั่วขณะที่อยากกลับมาสู่จุดเริ่มต้น
หวังว่าเพื่อนๆ ที่อ่านนิยายในห้องนี้จะให้โอกาสนักเขียนกลางเก่ากลางใหม่
ได้เล่าอะไรแปลกๆ ให้ท่านฟังนะคะ
คืนนี้ ที่บ้านของคนเขียนได้ยินเสียงฝนตก น้ำฝนหยด...
แต่ที่นั่น ที่ที่เราจะเล่าถึง พื้นดินแห้งผาก...แทบไม่เคยสัมผัสหยดน้ำ
มองไปเป็นทะเลทราย เป็นภูผา คืออาณาจักรอันยิ่งใหญ่ ที่ชื่อว่าคามา
Karma ถูกแล้วค่ะ... "อาณาจักรแห่งกรรม"
รอคอยแต่เจ้า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องการเจ้า
ให้มาเป็นทั้งทาส และ ราชินีแห่งข้า
นางทาส ผู้สวม...........
องค์ชาย
ชายแดนอาณาจักรคามาอันยิ่งใหญ่ แผ่นดินระอุร้อนรุ่มด้วยเพลิงสงคราม
เบื้องบนเต็มไปด้วยเมฆหม่นสีหมอกมัว
ทว่า เบื้องล่าง...
อึดใจหนึ่ง ลำแสงพระอาทิตย์พลันแหวกฟ้าสาดทอ...พวกเขาเงยหน้าขึ้นมอง
จึงได้เห็นช่องปริร้าวของผืนฟ้า ดวงอาทิตย์กลมโตเลือนจางเยี่ยมหน้ามา
ดูประหนึ่งกระจกสีขาวเร้นอยู่หลังไอเมฆบางเบาเกลื่อนกลบไม่มิด
“ฟ้าเปิดเพียงเท่านี้ แต่ถือว่าได้ฤกษ์แล้ว” ถ้อยคำสุขุมอ่อนน้อมดังจากปากราชครูผู้อยู่ใกล้ปะรำพิธี
ท่ามกลางสำเนียงกลองศึกจากทัพศัตรู เสียงม้าผยองกระทืบกีบครั่นตัวอยากโผนทะยานออกสู่สนามรบ ชายชราผู้นั่งนิ่งรอคอยบนยกพื้นสูงไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงหยัดกายลุกขึ้นแล้วก้าวไปจนชิดริมขอบปะรำพิธี เขาหลุบตามองเลือดเนื้อแห่งตน สององค์ชายร่างกำยำในชุดเกราะแข็งแกร่งก้าวเข้ามาพร้อมจอกทองคำ ยามเมื่อเงยหน้าทั้งคู่ต่างมีแววตาจดจ่อรอคอย...
ชายชราผู้ยืนอยู่เหนือทุกสิ่งเอื้อมมือหยิบโถสุราที่นายทหารกล้าถือประคองส่งให้ เขายกมันขึ้นเหนือศีรษะ ก่อนเอียงปากโถให้สายสุราสาดเทลงเหมือนน้ำตกถั่งไหลลงสู่เบื้องต่ำ
“บุตรแห่งข้า สุริยเทพเยี่ยมหน้ามาอวยชัยแล้ว ไป ! ไปเด็ดหัวผู้นำทัพของศัตรูมา”
“ท่านพ่อ”
ตาสบตา ต่างมุ่งมั่น จุดหมายในใจนั้นใหญ่ยิ่ง คืออุดมการณ์ของคนหนุ่มที่ต่างทำเพื่อมาตุภูมิ !
“ข้าจะระวังหลังให้ท่านเอง ด้วยพรที่พร่างพรมจากมือพระบิดา ศัตรูหน้าไหนก็มิอาจทำร้ายท่านได้ ขอให้ท่านพี่มีชัย...สวัสดี”
คนฟังพยักหน้า เชื่อมั่น ไว้ใจ ยามเผยรอยยิ้มกระหยิ่ม
เสียงเป่าสังข์ลากยาว...สั่งให้ช้างม้านับหมื่นควบคำรามไปเบื้องหน้า หมายขยี้ศัตรูให้แหลกลาญ รถศึกพุ่งตามกันไปเป็นทิวแถว จากเนินผาชันไถลสู่ที่ราบต่ำ รวดเร็ว บ้าคลั่งเกินกว่าศัตรูซึ่งรอต้านจะทานไหว ! สุ้มเสียงแห่งความตายคล้ายกำลังเรียกหาผู้คนจากทั้งสองกองทัพ เว้นแต่องค์เตมัน รัชทายาทแห่งคามา ที่คงไม่มีใครอาจเอื้อมเข้าถึงตัวได้
“พลศรข้างบน คอยแผ้วถางทางและระวังหลังให้ทัพเจ้าพี่ ฟังคำสั่งแม่ทัพให้จงดี”
กล่าวจบ อนัคองค์ชายผู้น้องชักบังเหียนรถศึกด้วยตนเองลำพัง ม้าเพียงตัวเดียวนำรถเล็กพุ่งไปอย่างห้าวหาญ ล้อหมุนเร็วรี่จนแทบลุกเป็นไฟพอๆ กับใจผู้บังคับ
“องค์เตมันอยู่ไกล อาจแสนไกลเกินกว่าท่านจะเอื้อมถึง”
ผู้ฟังใช้ปลายนิ้วชี้แตะปลายลิ้นก่อนชูขึ้นรับริ้วอากาศ หลับเนตร จับเพียงสัมผัสตรงปลายดัชนี แรงลม...หรือจะสู้แรงใจ จากที่ตรงนี้ มองลงไปพบธงผู้นำทัพเล็กจ้อย เจ้าพี่พุ่งไปอย่างห้าวหาญ แขนกำยำสะบัดคมศาสตราแหวกทัพกล้าแห่งศัตรูแตกกระจายเกลื่อนไม่อาจรอหน้า
มือของอนัคเอื้อมหยิบเกาทัณฑ์ยาวสูงท่วมเศียรซึ่งยากนักจะหาคนมีแรงพอจะใช้มัน รัชทายาทองค์รองปีนขึ้นเหยียบขอบรถศึกด้วยท่วงทีดุจพยัคฆ์ ผมยาวยิ่งสะบัดไหวยามเอี้ยวกายเหนี่ยวน้าวคันธนูใหญ่ขึ้นศรถึงสองดอกพร้อมกัน...ลมพัดมาแรง แต่ห้วงเวลาคล้ายนิ่งสนิทอยู่กับที่ สายตาคมกล้าเล็งเพียงพี่ชายผู้ยามนี้ทั้งร่างเปรอะเลอะไปด้วยเลือด ‘ความตายจักมาถึงมนุษย์ทุกผู้’ ผู้มองหอบหายใจ กัดริมฝีปากแรงจนโลหิตไหลซึม
ฉับพลันนั้น...เขาปล่อยมือ
ที่พุ่งออกไปมิใช่ศรไฟ แต่ศรคมกล้ากลับลุกติดเปลวเพลิงขณะแล่นฉิวแหวกลม
หนึ่งศร ทะลุอกซ้าย ตำแหน่งดวงใจพี่ชายร่วมสายเลือด !
อนัคเบิกตาค้างนิ่งงัน ขณะที่ความเงียบก่อเกิด ตามมาด้วยหยาดเหงื่อ ปนเปผสานเป็นหนึ่งกับหยาดน้ำตา
โลหิตไหลลงเป็นสายจากริมฝีปากที่ถูกองค์ชายขบกัดรุนแรง มือสั่นระริกกำเกาทัณฑ์ยาวฟาดลงไปสุดแรงกับรถศึกจนหักกลางคัน อนัคหอบหายใจถี่ระรัว ก่อนหันขวับ...ตาแดงก่ำแตกซ่านกราดมองไปทั่ว
ทว่า ที่เบื้องหลังไม่มีผู้ใดอยู่ที่นั่นเลยสักคน...
องค์ชายหลับตาลง ข่มกลั้นอารมณ์อันไหวระริก “เจ้าพี่ ข้าส่งท่านขึ้นสู่ฟ้า ตัวข้าขอลงนรกเอง”
ครั้นสนธยามาเยือน
...ดาวขึ้นแล้ว แสงดาวอ่อนโยนทอดทอจับเหนือกระโจมน้อยใหญ่ แสงหยาดเย็นช่วยทุเลาความร้อนอันสั่งสมมาตลอดวันให้คลายหาย ในกระโจมหนึ่ง เสียงสนทนากระซิบกระซาบบางเบา
“องค์ชายมาสิ้นลงพร้อมกัน พระบิดาก็ทำท่าจะอยู่ไม่ไหว นี่คือจุดจบของคามาอย่างที่ท่านรอคอย...มิใช่หรือ” ผู้ถามเน้นเสียงท้ายประโยค
หลายอึดใจผ่านไปจึงค่อยมีเสียงเอ่ยตอบ
“ตายหมดอย่างนั้นหรือ”
ไม่ใช่ ยังเหลือดาวรัชทายาทค้างฟ้าอยู่อีกหนึ่งดวง
“ยังไม่ตาย”