เครดิตภาพจาก เว็ป dvdtoile.com
ผลงานเรื่องที่ 9 ของผู้กำกับภาพยนตร์ เควนติน ทาแรนทิโน Once Upon A Time In Hollywood เป็นเรื่องราวที่นำเหตุการณ์ต่างๆมาร้อยเรียงกับเรื่องหลักที่ต้องการจะเล่าสู่แฟนหนังของเขาในสไตล์เควนติน ซึ่งหนังเควนตินจะมีบทสนทนาที่ยาว และคมคายในการสนทนาโต้ตอบของตัวละครระหว่างกันและกันทำให้คนดูต้องคิดตาม เพราะจะแฝงการจิกกัดในเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากตัวผู้กำกับใส่ลงไปในหนังเขาทุกครั้ง และมันก็ไม่ต่างจากผู้ชมเองก็คิดเช่นนั้น ซึ่งมันอิงบนพื้นฐานของความมีเหตุผลการใช้ชีวิตเราๆกันเอง เป็นที่แน่นอนว่าผมชื่นชอบหนังพี่เควนติน ทาแรนทิโน มาก และด้วยความคิดเขาก็นำมาซึ่งบทอันยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่ง
เรื่องราวหลักของ Once Upon A Time In Hollywood เป็นการนำเรื่องราวของนักแสดงคนหนึ่งเป็นตัวตั้ง และมีดาราดังๆพร้อมทั้งคนดังในวงการฮอลลีวู้ดทีถูกนำเสนอในหนังใหม่นี้ นอกจากนั้นก็มีการสร้างตัวละครมาเพื่อเชื่อมโยงกับในเรื่องราวหลัก..ในเรื่องราวรอง.. ในเรื่องราวอื่น..เข้าหากันได้อย่างแนบเนียน ซึ่งทั้งหมดนี้คือเรื่องราวในยุคปลายทศวรรษที่ 60 ที่ถูกนำมาเขียนเป็นบทภาพยนตร์ชวนเสียดสี ยอกย้อน เหมือนดังว่าผมได้ดู Forrest Gump
ในแบบฉบับของพี่เควนติน แน่นอนว่า Forrest Gump เป็นหนังที่ออกแนวคิดบวก แต่พี่เควนติน ก็ยังทำมันออกได้ดีผสานความดิบ กร้าว รุนแรง โหดร้าย ให้เป็นในแนวทางเชิงบวกในท้ายสุดของภาพยนตร์ ซึ่งตรงนี้ผู้ชมเองหากไม่มีปูมหลังของตัวละครในเรื่องราวหลัก ก็จะทำให้ไม่เข้าใจในเรื่องราวที่พี่เควนตินนำเสนอ ซึ่งการที่เขาทำหนังเรื่องราวแบบนี้ออกมาสู่แฟนหนังในลักษณะนี้นับว่ามีความเก่งมาก และกล้ามาก เพราะความที่ไม่มีความเป็นหนังตลาด แต่ก็ยังสร้างสรรค์งานหนังดีดีออกมาได้น่าประทับใจ
ว่ากันถึงการได้ดาราระดับใหญ่ๆ ที่มาร่วมงานในหนังเรื่องนี้นั้น ผมคิดผู้ชมไม่ผิดหวังแน่นอนเลยล่ะครับ กับการแสดงอย่าง ลีโอนาร์โด คิคาร์ปรีโอ กับ แบรด พิตต์ ดูเข้าขารับส่งบทกันอย่างลงตัวมาก ทั้งคู่แสดงออกถึงมิตรภาพที่ผมจับต้องได้จากการแสดงที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าจับใจ ทำให้อยากดูหนังของทั้งคู่แสดงร่วมกันอีกเลยครับ บทบาททั้งสองถือเป็นตัวละครที่มีความต่างของสถานภาพกัน อีกคนคือดาราดัง กับอีกคนคือนักแสดงสตั๊นแมน แต่ทั้งสองตัวละครต่างให้ความเคารพกันและกัน น้ำใจไมตรีต่อกัน โดยไม่มีสถานภาพมากีดขวาง เหมือนกับ มาร์โก้ ร๊อบบี้ ที่เธอเป็นดารา และอยู่ในสังคมที่แวดล้อมด้วยความหรูหรา ตัวเธอเองก็มีจิตใจที่ดีต่อสาวโบกรถริมทางคนหนึ่ง หรือแม้กระทั่งการที่จะเข้าไปชมหนังตัวเองแบบไม่อยากเสียเงิน ก็รู้จักที่จะพูดคุยกับพนักงานขายตั๋วหน้าโรง ช่างให้ความรู้สึกเป็นมิตร จนทำให้ได้เข้าไปชมหนังที่ตัวเองแสดงสมใจในรอบหนังปกติเช่นนี้ ผู้ชมก็จะได้เห็นฉากความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ในหนังของพี่เควนตินในหลายฉากที่ถูกสอดแทรกอย่างลงตัว (ไม่รู้ว่าต้องการบอกหรือสื่อถึงกลุ่มที่วิจารณ์หนังเขาในเรื่องความรุนแรงหรือไม่นะครับ ประมาณว่าข้าเควนติน ทาแรนทิโน ก็ทำหนังออกมาในเชิงบวกเป็นนะ ถ้ากลุ่มคนพวกนั้นได้มาดูหนังใหม่ของเขา เหมือนต้องการแสดงฝีมือให้ประจักษ์)
แฟนหนังที่โหยหาอารมณ์หนังยุค 60 น่าจะชี่นชอบบรรยากาศที่ล้อมรอบในหนังนี้ ทั้งการแต่งกาย หน้าผม และบรรดานักแสดงดังในอดีต เพลงที่เปิดจากแผ่นเสียงที่นำมาเกี่ยวข้องเชื่อมโยงในหนังเรื่องนี้ ก็น่าจะทำให้หายคิดถึงกับช่วงเวลายุคดังกล่าว กับการดื่มด่ำกับหนังตลอด 169 นาที ที่ คอหนัง ไม่ควรพลาดชม Once Upon A Time In Hollywood
ตลอดการชมหนังมาตั้งแต่ต้นจนมาสู่ไคลแม็กซ์ตอนท้าย ผมนี่อึ้งกับการหักมุมของหนัง เพราะพี่ท่านเปลี่ยนไป หรือเพราะเจตนารมณ์อันใดก็ตามแต่ในความคิดของยอดผู้กำกับหนังอย่างเควนติน ผมชื่นชอบมากกับการหักมุมของหนังในแบบนี้ เพราะผมคิดว่ามันจะเป็นความสวยงาม และให้เกียรติต่อดารานักแสดง และครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราว กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น และในอีกมุมหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่าในชีวิตจริงนั้นมันช่างต่างกับโลกมายานัก และมันก็เป็นสัจธรรมที่แท้จริงไม่เปลี่ยนแปลง
ปล. ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเรื่องราวต่อท้ายเครดิต ทั้งภาพเคลื่อนไหว และเสียงประกอบ
คะแนน: 8.5 /10
ภาพยนตร์ยาว: 169 นาที
เรทภาพยนตร์: R เหมาะกับอายุ 18 ปีขึ้นไป
ผู้กำกับภาพยนตร์ และ บทภาพยนตร์โดย: เควินติน ทาแรนทิโน
นักแสดง: ลีโอนาร์โด คิคาร์ปรีโอ, แบรด พิตต์, มาร์โก้ ร๊อบบี้, อัล ปาชิโน, ดาโกต้า แฟนนิ่ง
โรงภาพยนตร์: เอสพลานาดซีนีเพล็กซ์ แคราย โรงที่ 10 MMAX
[CR] Once Upon A Time In Hollywood
เรื่องราวหลักของ Once Upon A Time In Hollywood เป็นการนำเรื่องราวของนักแสดงคนหนึ่งเป็นตัวตั้ง และมีดาราดังๆพร้อมทั้งคนดังในวงการฮอลลีวู้ดทีถูกนำเสนอในหนังใหม่นี้ นอกจากนั้นก็มีการสร้างตัวละครมาเพื่อเชื่อมโยงกับในเรื่องราวหลัก..ในเรื่องราวรอง.. ในเรื่องราวอื่น..เข้าหากันได้อย่างแนบเนียน ซึ่งทั้งหมดนี้คือเรื่องราวในยุคปลายทศวรรษที่ 60 ที่ถูกนำมาเขียนเป็นบทภาพยนตร์ชวนเสียดสี ยอกย้อน เหมือนดังว่าผมได้ดู Forrest Gump ในแบบฉบับของพี่เควนติน แน่นอนว่า Forrest Gump เป็นหนังที่ออกแนวคิดบวก แต่พี่เควนติน ก็ยังทำมันออกได้ดีผสานความดิบ กร้าว รุนแรง โหดร้าย ให้เป็นในแนวทางเชิงบวกในท้ายสุดของภาพยนตร์ ซึ่งตรงนี้ผู้ชมเองหากไม่มีปูมหลังของตัวละครในเรื่องราวหลัก ก็จะทำให้ไม่เข้าใจในเรื่องราวที่พี่เควนตินนำเสนอ ซึ่งการที่เขาทำหนังเรื่องราวแบบนี้ออกมาสู่แฟนหนังในลักษณะนี้นับว่ามีความเก่งมาก และกล้ามาก เพราะความที่ไม่มีความเป็นหนังตลาด แต่ก็ยังสร้างสรรค์งานหนังดีดีออกมาได้น่าประทับใจ
ว่ากันถึงการได้ดาราระดับใหญ่ๆ ที่มาร่วมงานในหนังเรื่องนี้นั้น ผมคิดผู้ชมไม่ผิดหวังแน่นอนเลยล่ะครับ กับการแสดงอย่าง ลีโอนาร์โด คิคาร์ปรีโอ กับ แบรด พิตต์ ดูเข้าขารับส่งบทกันอย่างลงตัวมาก ทั้งคู่แสดงออกถึงมิตรภาพที่ผมจับต้องได้จากการแสดงที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าจับใจ ทำให้อยากดูหนังของทั้งคู่แสดงร่วมกันอีกเลยครับ บทบาททั้งสองถือเป็นตัวละครที่มีความต่างของสถานภาพกัน อีกคนคือดาราดัง กับอีกคนคือนักแสดงสตั๊นแมน แต่ทั้งสองตัวละครต่างให้ความเคารพกันและกัน น้ำใจไมตรีต่อกัน โดยไม่มีสถานภาพมากีดขวาง เหมือนกับ มาร์โก้ ร๊อบบี้ ที่เธอเป็นดารา และอยู่ในสังคมที่แวดล้อมด้วยความหรูหรา ตัวเธอเองก็มีจิตใจที่ดีต่อสาวโบกรถริมทางคนหนึ่ง หรือแม้กระทั่งการที่จะเข้าไปชมหนังตัวเองแบบไม่อยากเสียเงิน ก็รู้จักที่จะพูดคุยกับพนักงานขายตั๋วหน้าโรง ช่างให้ความรู้สึกเป็นมิตร จนทำให้ได้เข้าไปชมหนังที่ตัวเองแสดงสมใจในรอบหนังปกติเช่นนี้ ผู้ชมก็จะได้เห็นฉากความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ในหนังของพี่เควนตินในหลายฉากที่ถูกสอดแทรกอย่างลงตัว (ไม่รู้ว่าต้องการบอกหรือสื่อถึงกลุ่มที่วิจารณ์หนังเขาในเรื่องความรุนแรงหรือไม่นะครับ ประมาณว่าข้าเควนติน ทาแรนทิโน ก็ทำหนังออกมาในเชิงบวกเป็นนะ ถ้ากลุ่มคนพวกนั้นได้มาดูหนังใหม่ของเขา เหมือนต้องการแสดงฝีมือให้ประจักษ์)
แฟนหนังที่โหยหาอารมณ์หนังยุค 60 น่าจะชี่นชอบบรรยากาศที่ล้อมรอบในหนังนี้ ทั้งการแต่งกาย หน้าผม และบรรดานักแสดงดังในอดีต เพลงที่เปิดจากแผ่นเสียงที่นำมาเกี่ยวข้องเชื่อมโยงในหนังเรื่องนี้ ก็น่าจะทำให้หายคิดถึงกับช่วงเวลายุคดังกล่าว กับการดื่มด่ำกับหนังตลอด 169 นาที ที่ คอหนัง ไม่ควรพลาดชม Once Upon A Time In Hollywood
ตลอดการชมหนังมาตั้งแต่ต้นจนมาสู่ไคลแม็กซ์ตอนท้าย ผมนี่อึ้งกับการหักมุมของหนัง เพราะพี่ท่านเปลี่ยนไป หรือเพราะเจตนารมณ์อันใดก็ตามแต่ในความคิดของยอดผู้กำกับหนังอย่างเควนติน ผมชื่นชอบมากกับการหักมุมของหนังในแบบนี้ เพราะผมคิดว่ามันจะเป็นความสวยงาม และให้เกียรติต่อดารานักแสดง และครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราว กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น และในอีกมุมหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่าในชีวิตจริงนั้นมันช่างต่างกับโลกมายานัก และมันก็เป็นสัจธรรมที่แท้จริงไม่เปลี่ยนแปลง
ปล. ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเรื่องราวต่อท้ายเครดิต ทั้งภาพเคลื่อนไหว และเสียงประกอบ
คะแนน: 8.5 /10
ภาพยนตร์ยาว: 169 นาที
เรทภาพยนตร์: R เหมาะกับอายุ 18 ปีขึ้นไป
ผู้กำกับภาพยนตร์ และ บทภาพยนตร์โดย: เควินติน ทาแรนทิโน
นักแสดง: ลีโอนาร์โด คิคาร์ปรีโอ, แบรด พิตต์, มาร์โก้ ร๊อบบี้, อัล ปาชิโน, ดาโกต้า แฟนนิ่ง
โรงภาพยนตร์: เอสพลานาดซีนีเพล็กซ์ แคราย โรงที่ 10 MMAX
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้