#เพื่อเป็นกรณีศึกษา #เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน
#ไม่มีจุดประสงค์ในการสร้างความขัดแย้งหรือสร้างความเสื่อมเสียให้องค์กรรัฐใดๆทั้งสิ้น🤝🤝🤝
#เรื่องมีอยู่ว่า มีอาคารพาณิชย์ 2 ชั้นครึ่ง หนึ่งแถว 7 ห้องสร้างใหม่ โดยมีเจ้าของที่ดินลงทุนให้วิศวกรก่อสร้างและแบ่งให้เจ้าของที่ดิน 3 ห้องซ้าย วิศวกร 4 ห้องขวา
ผมได้ทำการเลือกซื้ออาคารดังกล่าว โดยขอดูรายละเอียดห้องซ้ายสุด(เจ้าของที่ดิน) ...ต่อมาขอดูรายละเอียดห้องริมขวาสุด นำมาพิจารณาเพื่อการตัดสินใจ
#พิจารณาเสร็จ ตัดสินใจเลือกห้องริมขวา เนื่องจากทำเลดีกว่าติดทางหลวงท้องถิ่นทั้งหน้าบ้าน ข้างบ้าน และมีที่ดินเหลือข้างบ้าน(ต่อครัว) เพิ่มเงิน 100,000 บาท ต่อรองราคากัน สรุป 2,600,000 บาท จึงนำเสนอธนาคาร
ธนาคารพิจารณาอนุมัติการเช่าซื้ออาคารดังกล่าว
#ประเด็นอยู่ที่ว่า...อาศัยอาคารเกือบ 2 ปี ผมได้ทำการต่อโรงจอดรถเป็นผ้าใบทำเอง งานDIY (ลงทุน 1,200 บาท) #ทราบดีว่ารุกล้ำที่สาธารณะประโยชน์พร้อมรื้อเมื่อมีการใช้ประโยชน์ (ล้ำกันตรึมม)ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา360 มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินเท่านั้น *อ้างอิงตามคำพิพากษาฎีกาที่3024/2556 อยู่มาประมาณ 5 เดือน ลมพัดเกิดชำรุด(ขาด) ต่อมาได้คำนวณโครงสร้างเหล็ก เบ็ดเสร็จ 3,500 บาท จึงได้ทำการสร้างเอง(ดีกว่ามาถางหญ้าทุกเดือน)
#สร้างเสร็จ(พร้อมรื้อเมื่อมีการใช้ประโยชน์)...มีเจ้าของที่ดินโทรศัพท์มาบอกให้รื้อภายใน 7 วัน ผมพยายามอธิบายว่ามันเป็นที่สาธารณะ(ทางหลวงท้องถิ่นตามโฉนด) แต่เจ้าของที่ดินยังเข้าใจว่าเป็นที่ของตัวเองยังไม่ยกให้เทศบาล #ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารและผังเมืองต้องเว้นถนนเพื่อสาธารณประโยชน์ ผมเลยไปตรวจสอบกับที่ดินอำเภอ ปรากฎตรงตามโฉนด ผมโทรกับพยายามอธิบายแต่ไม่คุยด้วย?
เจ้าของที่ดินให้ลูกเป็นธุระให้(เป็นสมาชิกสภาเทศบาลตำบลแห่งหนึ่ง)เดินเรื่องกับเทศบาล ผ่านมา 2 วัน เทศบาลเรียกผมเข้าไปคุยในเรื่องนี้ ผมอยากทราบเหตุผลในการขอความร่วมมือให้รื้อถอน ปรากฎยังไม่กรอกคำร้อง??? 3 วันต่อมาคำร้องปรากฎ เหตุผลรุกล้ำที่สาธารณะ ผมให้เหตุผลกับทางเทศบาลว่า พื้นที่ยังไม่มีการใช้ประโยชน์ #ไม่มีจุดประสงค์ในการครอบครอง
#เสริมความรู้ กฎหมายมาตรา 59 และมาตรา 68 (8) แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 ซึ่งกำหนดให้องค์การบริหารส่วนตำบลมีหน้าที่คุ้มครองดูแลรักษาทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และมาตรา 16 (27) แห่งพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542กำหนดหน้าที่ในการดูแลรักษาท่ีสาธารณะประกอบกับข้อ5(2)ของระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอรนเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2544 กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าท่ีดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินท่ีประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน (ปัจจุบันคือระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันท่ีดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใชร่วมกัน พ.ศ.2553)
#ต่อ ตามหลักกฎหมาย(นิติศาสตร์)ผิดเต็มๆแต่ตามหลักการปกครอง(รัฐศาสตร์) อยู่กันได้ด้วยคำว่า #อนุโลม แต่ถ้ามีการพัฒนาเมื่อไหร่ ประชาชนต้องให้ความร่วมมือกับภาครัฐ
ผ่านมา 1 สัปดาห์ ผมได้รับหนังสือจากเทศบาลให้รื้อถอนภายใน 30 วัน ผมให้ความร่วมมือ พร้อมรื้อในระยะเวลาที่กำหนด
#แต่เรื่องที่ผมไม่ยอม‼️คือ การบังคับใช้กฏหมายไม่เท่าเทียมกัน(ตามมาตรา 59 และมาตรา 68(8)แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537)หน่วยงานภาครัฐเป็นเจ้าทุกข์สามารถใช้อำนาจสั่งการได้โดยตรงตามรัฐธรรมนูญ(การันตีโดยปลัดอำเภออาวุโสและสำนักนายกรัฐมนตรี)เพราะ #ถ้าให้ประชาชนเขียนคำร้องเป็นการสร้างความขัดแย้งกันเองไม่ใช่ทางออกที่ดี👍
#ยังไม่ทันครบกำหนดรื้อถอน 30 วัน ตามหนังสือ ตร.52306/460 ลงวันที่ 16 สิงหาคม 2562 ได้มีหนังสือจากศูนย์ดำรงธรรม มีคนเขียนคำร้องไม่ประสงค์ออกนาม(เนื้อหาตามหนังสือ) นัดไกล่เกลี่ยโดยมีปลัดอาวุโส ตำรวจ เจ้าหน้าที่ที่ดิน ผู้ใหญ่ ผู้ช่วย ไกล่เกลี่ยกันพักนึง ปลัดอาวุโสได้โทรเชิญ สท.(คู่กรณีที่เขียนคำร้องที่เทศบาล) #แต่ไม่ขอยืนยันว่าเป็นคนร้องที่ไม่ประสงค์ออกนามที่ศูนย์ดำรงธรรมรึเปล่า?ได้ข้อสรุปว่า ผมยินยอมที่จะรื้อถอน(เคารพในกฎ ระเบียบต้องทำตามหนังสือจากเทศบาลอยู่แล้ว)สิ่งปลูกสร้างรุกล้ำที่สาธารณะ(อ้างว่ากีดขวางการเข้า-ออกที่ดินของคนร้อง
ต่อมาเทศบาลได้ทำการยกเลิกหนังสือคำสั่งรื้อถอน ตร.52306/460(เหตุผลไม่ขอเปิดเผย) และขยายเวลารื้อถอนให้ภายใน 3 เดือน เทศบาลแจ้งให้คู่กรณีทราบ และได้ข้อสรุปให้รื้อถอนภายในสิ้นเดือนตุลาคม 2562 ตามบันทึกข้อความ ลงวันที่ 9 กันยายน 2562 เรื่องขอเพิกถอนคำสั่งตามหนังสือ ตร.52306/460
#เรื่องการรื้อถอนมันไม่ใช่ประเด็นสำหรับผม
#ประเด็นอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมายไม่เท่าเทียมกัน
#เนื้อหาที่อ้างอิงถึงบุคคลที่สามมีคลิปเสียงเป็นหลักฐาน
#ย้ำเรื่องนี้เผยแพร่เพื่อเป็นกรณีศึกษาไม่มีจุดประสงค์สร้างความขัดแย้งใดๆทั้งสิ้น🙏🙏🙏
อำนาจ บารมี สร้างให้คนรักดีกว่าสร้างให้..???
#ไม่มีจุดประสงค์ในการสร้างความขัดแย้งหรือสร้างความเสื่อมเสียให้องค์กรรัฐใดๆทั้งสิ้น🤝🤝🤝
#เรื่องมีอยู่ว่า มีอาคารพาณิชย์ 2 ชั้นครึ่ง หนึ่งแถว 7 ห้องสร้างใหม่ โดยมีเจ้าของที่ดินลงทุนให้วิศวกรก่อสร้างและแบ่งให้เจ้าของที่ดิน 3 ห้องซ้าย วิศวกร 4 ห้องขวา
ผมได้ทำการเลือกซื้ออาคารดังกล่าว โดยขอดูรายละเอียดห้องซ้ายสุด(เจ้าของที่ดิน) ...ต่อมาขอดูรายละเอียดห้องริมขวาสุด นำมาพิจารณาเพื่อการตัดสินใจ
#พิจารณาเสร็จ ตัดสินใจเลือกห้องริมขวา เนื่องจากทำเลดีกว่าติดทางหลวงท้องถิ่นทั้งหน้าบ้าน ข้างบ้าน และมีที่ดินเหลือข้างบ้าน(ต่อครัว) เพิ่มเงิน 100,000 บาท ต่อรองราคากัน สรุป 2,600,000 บาท จึงนำเสนอธนาคาร
ธนาคารพิจารณาอนุมัติการเช่าซื้ออาคารดังกล่าว
#ประเด็นอยู่ที่ว่า...อาศัยอาคารเกือบ 2 ปี ผมได้ทำการต่อโรงจอดรถเป็นผ้าใบทำเอง งานDIY (ลงทุน 1,200 บาท) #ทราบดีว่ารุกล้ำที่สาธารณะประโยชน์พร้อมรื้อเมื่อมีการใช้ประโยชน์ (ล้ำกันตรึมม)ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา360 มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินเท่านั้น *อ้างอิงตามคำพิพากษาฎีกาที่3024/2556 อยู่มาประมาณ 5 เดือน ลมพัดเกิดชำรุด(ขาด) ต่อมาได้คำนวณโครงสร้างเหล็ก เบ็ดเสร็จ 3,500 บาท จึงได้ทำการสร้างเอง(ดีกว่ามาถางหญ้าทุกเดือน)
#สร้างเสร็จ(พร้อมรื้อเมื่อมีการใช้ประโยชน์)...มีเจ้าของที่ดินโทรศัพท์มาบอกให้รื้อภายใน 7 วัน ผมพยายามอธิบายว่ามันเป็นที่สาธารณะ(ทางหลวงท้องถิ่นตามโฉนด) แต่เจ้าของที่ดินยังเข้าใจว่าเป็นที่ของตัวเองยังไม่ยกให้เทศบาล #ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารและผังเมืองต้องเว้นถนนเพื่อสาธารณประโยชน์ ผมเลยไปตรวจสอบกับที่ดินอำเภอ ปรากฎตรงตามโฉนด ผมโทรกับพยายามอธิบายแต่ไม่คุยด้วย?
เจ้าของที่ดินให้ลูกเป็นธุระให้(เป็นสมาชิกสภาเทศบาลตำบลแห่งหนึ่ง)เดินเรื่องกับเทศบาล ผ่านมา 2 วัน เทศบาลเรียกผมเข้าไปคุยในเรื่องนี้ ผมอยากทราบเหตุผลในการขอความร่วมมือให้รื้อถอน ปรากฎยังไม่กรอกคำร้อง??? 3 วันต่อมาคำร้องปรากฎ เหตุผลรุกล้ำที่สาธารณะ ผมให้เหตุผลกับทางเทศบาลว่า พื้นที่ยังไม่มีการใช้ประโยชน์ #ไม่มีจุดประสงค์ในการครอบครอง
#เสริมความรู้ กฎหมายมาตรา 59 และมาตรา 68 (8) แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 ซึ่งกำหนดให้องค์การบริหารส่วนตำบลมีหน้าที่คุ้มครองดูแลรักษาทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และมาตรา 16 (27) แห่งพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542กำหนดหน้าที่ในการดูแลรักษาท่ีสาธารณะประกอบกับข้อ5(2)ของระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอรนเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2544 กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าท่ีดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินท่ีประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน (ปัจจุบันคือระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันท่ีดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใชร่วมกัน พ.ศ.2553)
#ต่อ ตามหลักกฎหมาย(นิติศาสตร์)ผิดเต็มๆแต่ตามหลักการปกครอง(รัฐศาสตร์) อยู่กันได้ด้วยคำว่า #อนุโลม แต่ถ้ามีการพัฒนาเมื่อไหร่ ประชาชนต้องให้ความร่วมมือกับภาครัฐ
ผ่านมา 1 สัปดาห์ ผมได้รับหนังสือจากเทศบาลให้รื้อถอนภายใน 30 วัน ผมให้ความร่วมมือ พร้อมรื้อในระยะเวลาที่กำหนด
#แต่เรื่องที่ผมไม่ยอม‼️คือ การบังคับใช้กฏหมายไม่เท่าเทียมกัน(ตามมาตรา 59 และมาตรา 68(8)แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537)หน่วยงานภาครัฐเป็นเจ้าทุกข์สามารถใช้อำนาจสั่งการได้โดยตรงตามรัฐธรรมนูญ(การันตีโดยปลัดอำเภออาวุโสและสำนักนายกรัฐมนตรี)เพราะ #ถ้าให้ประชาชนเขียนคำร้องเป็นการสร้างความขัดแย้งกันเองไม่ใช่ทางออกที่ดี👍
#ยังไม่ทันครบกำหนดรื้อถอน 30 วัน ตามหนังสือ ตร.52306/460 ลงวันที่ 16 สิงหาคม 2562 ได้มีหนังสือจากศูนย์ดำรงธรรม มีคนเขียนคำร้องไม่ประสงค์ออกนาม(เนื้อหาตามหนังสือ) นัดไกล่เกลี่ยโดยมีปลัดอาวุโส ตำรวจ เจ้าหน้าที่ที่ดิน ผู้ใหญ่ ผู้ช่วย ไกล่เกลี่ยกันพักนึง ปลัดอาวุโสได้โทรเชิญ สท.(คู่กรณีที่เขียนคำร้องที่เทศบาล) #แต่ไม่ขอยืนยันว่าเป็นคนร้องที่ไม่ประสงค์ออกนามที่ศูนย์ดำรงธรรมรึเปล่า?ได้ข้อสรุปว่า ผมยินยอมที่จะรื้อถอน(เคารพในกฎ ระเบียบต้องทำตามหนังสือจากเทศบาลอยู่แล้ว)สิ่งปลูกสร้างรุกล้ำที่สาธารณะ(อ้างว่ากีดขวางการเข้า-ออกที่ดินของคนร้อง
ต่อมาเทศบาลได้ทำการยกเลิกหนังสือคำสั่งรื้อถอน ตร.52306/460(เหตุผลไม่ขอเปิดเผย) และขยายเวลารื้อถอนให้ภายใน 3 เดือน เทศบาลแจ้งให้คู่กรณีทราบ และได้ข้อสรุปให้รื้อถอนภายในสิ้นเดือนตุลาคม 2562 ตามบันทึกข้อความ ลงวันที่ 9 กันยายน 2562 เรื่องขอเพิกถอนคำสั่งตามหนังสือ ตร.52306/460
#เรื่องการรื้อถอนมันไม่ใช่ประเด็นสำหรับผม
#ประเด็นอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมายไม่เท่าเทียมกัน
#เนื้อหาที่อ้างอิงถึงบุคคลที่สามมีคลิปเสียงเป็นหลักฐาน
#ย้ำเรื่องนี้เผยแพร่เพื่อเป็นกรณีศึกษาไม่มีจุดประสงค์สร้างความขัดแย้งใดๆทั้งสิ้น🙏🙏🙏