ตั้งเเต่เราเกิดมา จำความได้ว่าครอบครัวเราลำบากมาก พ่อเราเป็นซาเล้ง เก็บกระดาษ ขวดพลาสติกที่เค้าไม่เอาเเล้ว บางครั้งพ่อพาเราไปหาของด้วย เราช่วยพ่อเเยกขยะก่อนไปเรียนในทุกๆเช้า บางที เจอขนมในถังขยะ ถ้าเหมือนเป็นขนมยังไม่ได้เเกะบางครั้งเราก็เอามากิน เพราะครอบครัวเราจน ไม่มีเหมือนอย่างใครๆเขา พอเข้าโรงเรียน ตอนอยู่ประถม ได้ไปวันละ7บาท ช่วงนั้นมีเก็บค่าอาหารกลางวัน6บาท
เราจึงมีเงินเเค่ 1 บาท ไว้ซื้อได้เเค่น้ำเเข็งเปล่า เราโดนเพื่อนล้อทุกวัน จนเพื่อนในห้องไม่มีใครคบกับเราเลย เค้าว่าเด็กเก็บขยะ เค้าว่าเราสกปรก กลัวติดเชื้อสกปรก เด็กเก็บขยะ จะเรียนได้สักเเค่ไหน เรียนไม่จบหรอก พ่อมันไม่มีปัญญาเลี้ยงหรอก บางครั้งกลับไปร้องไห้ทุกวัน เเกล้งไม่สบายเพราะไม่อยากไปโรงเรียน บางครั้งโดนเพื่อนเเกล้ง เอารองเท้าไปแอบบ้างละ เอากระเป๋าไปซ่อน สาดน้ำ โดนว่าด้วยคำพูดที่ดูถูก หยามชัดๆ พอทะเลาะกับเพื่อนเรื่องเค้าว่าเราเด็กเก็บขยะสกปรก มีเรื่องกันด่ากันจนถึงอาจารย์ สุดท้ายเเล้วเราก็ผิดอยู่ดี ขนาดครูยังลำเอียงเลยอ่ะ ...///...
เเต่พ่อเป็นคนที่สอนเราดีมาก เราเล่าให้พ่อฟัง พ่อบอกว่า ก็ตะโกนบอกมันไป ว่า "เราทำงานสุจริตไม่ได้ไปขอเงินใครกิน "
หลังจากนั้น เราอยู่ประมาณ ม.4 เราเริ่มมีความคิดเเละรู้สึกดีขึ้นเยอะ ความคิดเปลี่ยน
ถ้าพ่อไม่ทำงาน พ่อก็คงไม่ได้เลี้ยงเราให้ค่าโรงเรียนเรา ดูเเลเรา จนถึงทุกวันนี้ เรามีดีด้านการวาดภาพ ศิลปะ เราเริ่มรับจ้างเพื่อนๆทำใบงาน พอได้ค่าขนมมาบ้าง ได้ช่วยพ่อกับเเม่อีกเเรงนึงไม่ต้องให้เงินเราค่าขนมไปร.ร.
เเต่เพื่อนบางกลุ่มก็รู้ว่าว่าครอบครัวเราทำอาชีพนี้ เเต่ดูที่ท่าว่าเพื่อนไม่ได้รังเกียจเราเลย เราดีใจมาก ที่เค้ารับได้ในสิ่งที่เราปกปิดมาตลอด มันรู้สึกดีมากเลยน่ะ
....... เเต่หลังจากเราจบ ม.6 พ่อเราเสียชีวิต ด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน ในวันนั้น เราทำข้าวผัดให้พ่อกินด้วยน่ะ พ่อกินเเล้ว ดูเเกมีความสุขกับสิ่งที่เราทำให้ เเต่วันนั้นพยายามรั้งไว้สุดเเล้ว อยู่ๆ พอช๊อคกะทันหันนำส่งรพ.ถึงมือหมอ
..รอบเเรกหมอปั๊มหัวใจ ออกมาบอกว่า คนไข้มีเปอร์เซ็นจะรอดเเค่ 60% เเต่หากฟื้น คงอาจจะไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
รอบสอง เค้าบอกว่าคนไข้ เหลือเเค่ 30% ที่จะรอดชีวิต อาจจะไม่รอดก็ได้
สุดท้าย เค้าปั๊มหัวใจพ่อ จนพ่อ นอนตาค้าง จากที่น้ำตาไหลกลายเป็นเลือดที่ไหลออกจากตา พวกเราทนดูไม่ไหว ไม่อยากให้พ่อทรมาน ต้องตัดสินใจ เเละ ครั้งนั้นเป็นอะไรที่สูญเสีย เสียใจ เคว้งคว้างสุด มารู้หลังจากนั้น เช็คทางร.พว่าพ่อเป็นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน ความดัน เเต่เค้าไม่เคยบอกลูกๆเลย 😭 เเต่พอเวลาผ่านไป เหมือนอะไรจะดีขึ้นน่ะ พอเราจะขึ้นมหาลัย เเต่เเม่เเละพี่สาวขัด ไม่ให้เรียน เพราะไม่มีเงินส่ง เเต่ใจเรายังรักเรียนอยู่ ไม่อยากทิ้งอนาคต อยากเรียนจบเเล้วพาครอบครัวไม่ให้ลำบากไปกว่านี้ นี่คือ ความคิดเรา เเต่เค้าอาจจะมองว่า ไม่เรียนคือ หนทางดีสุดสำหรับเราในตอนนี้ เราจึงเรียน หาทุกวิถีทางที่จะเอาตัวรอดให้ได้ จนผ่านไป ปี 2 เกือบปลายๆ คือ เราไม่เงินเเล้วกินมาม่าทุกวัน จึงโทรไปขอตังค์เเม่ เเต่เค้าก็บอกน่ะ ว่า #เลือกที่จะเรียนเองก็ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง
ตอนเเรกก็โกรธเค้าน่ะ เเต่เมื่อวันเวลาผ่านไป คือ สิ่งที่เเม่พูด มันสอนเราให้เราเข้มเเข็งโดยไม่ต้องพึ่งใคร รับผิดชอบในคำพูดสิ่งที่ทำการกระทำ
........ จนทุกวันนี้เราเรียนจบเเล้วน่ะ เราต้องขอบคุณ พวกคุณ คนที่ดูถูกเรามาตลอด มันคือเเรงผลักดันที่ดีเลย ทำให้เราคิดเสมอว่า ต้องเรียนให้จบ ต้องทำให้ได้ เพื่อลบคำสบประมาทที่คุณมีให้เรา จนทำให้เรารู้ว่า ในสิ่งที่เราต้องการสุดตอนนี้คือความสุขของครอบครัวเรา ทำให้พวกเขามีความสุขที่สุด จนตอนนี้เราได้งานประจำเเล้วน่ะ ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ อยากให้ทุกคนเอาเราไว้เป็นประสบการณ์อยากเเชร์เรื่องราวนี้ไป สำหรับคนที่รู้สึกท้อเเท้ ✌ สู้ต่อไปชีวิตเรายังมีพรุ่งนี้เสมอน่ะ เป็นกำลังใจให้
อย่าเพิ่งสิ้นหวัง ชีวิตยังมีพรุ่งนี้รออยู่เสมอ
เราจึงมีเงินเเค่ 1 บาท ไว้ซื้อได้เเค่น้ำเเข็งเปล่า เราโดนเพื่อนล้อทุกวัน จนเพื่อนในห้องไม่มีใครคบกับเราเลย เค้าว่าเด็กเก็บขยะ เค้าว่าเราสกปรก กลัวติดเชื้อสกปรก เด็กเก็บขยะ จะเรียนได้สักเเค่ไหน เรียนไม่จบหรอก พ่อมันไม่มีปัญญาเลี้ยงหรอก บางครั้งกลับไปร้องไห้ทุกวัน เเกล้งไม่สบายเพราะไม่อยากไปโรงเรียน บางครั้งโดนเพื่อนเเกล้ง เอารองเท้าไปแอบบ้างละ เอากระเป๋าไปซ่อน สาดน้ำ โดนว่าด้วยคำพูดที่ดูถูก หยามชัดๆ พอทะเลาะกับเพื่อนเรื่องเค้าว่าเราเด็กเก็บขยะสกปรก มีเรื่องกันด่ากันจนถึงอาจารย์ สุดท้ายเเล้วเราก็ผิดอยู่ดี ขนาดครูยังลำเอียงเลยอ่ะ ...///...
เเต่พ่อเป็นคนที่สอนเราดีมาก เราเล่าให้พ่อฟัง พ่อบอกว่า ก็ตะโกนบอกมันไป ว่า "เราทำงานสุจริตไม่ได้ไปขอเงินใครกิน "
หลังจากนั้น เราอยู่ประมาณ ม.4 เราเริ่มมีความคิดเเละรู้สึกดีขึ้นเยอะ ความคิดเปลี่ยน
ถ้าพ่อไม่ทำงาน พ่อก็คงไม่ได้เลี้ยงเราให้ค่าโรงเรียนเรา ดูเเลเรา จนถึงทุกวันนี้ เรามีดีด้านการวาดภาพ ศิลปะ เราเริ่มรับจ้างเพื่อนๆทำใบงาน พอได้ค่าขนมมาบ้าง ได้ช่วยพ่อกับเเม่อีกเเรงนึงไม่ต้องให้เงินเราค่าขนมไปร.ร.
เเต่เพื่อนบางกลุ่มก็รู้ว่าว่าครอบครัวเราทำอาชีพนี้ เเต่ดูที่ท่าว่าเพื่อนไม่ได้รังเกียจเราเลย เราดีใจมาก ที่เค้ารับได้ในสิ่งที่เราปกปิดมาตลอด มันรู้สึกดีมากเลยน่ะ
....... เเต่หลังจากเราจบ ม.6 พ่อเราเสียชีวิต ด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน ในวันนั้น เราทำข้าวผัดให้พ่อกินด้วยน่ะ พ่อกินเเล้ว ดูเเกมีความสุขกับสิ่งที่เราทำให้ เเต่วันนั้นพยายามรั้งไว้สุดเเล้ว อยู่ๆ พอช๊อคกะทันหันนำส่งรพ.ถึงมือหมอ
..รอบเเรกหมอปั๊มหัวใจ ออกมาบอกว่า คนไข้มีเปอร์เซ็นจะรอดเเค่ 60% เเต่หากฟื้น คงอาจจะไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
รอบสอง เค้าบอกว่าคนไข้ เหลือเเค่ 30% ที่จะรอดชีวิต อาจจะไม่รอดก็ได้
สุดท้าย เค้าปั๊มหัวใจพ่อ จนพ่อ นอนตาค้าง จากที่น้ำตาไหลกลายเป็นเลือดที่ไหลออกจากตา พวกเราทนดูไม่ไหว ไม่อยากให้พ่อทรมาน ต้องตัดสินใจ เเละ ครั้งนั้นเป็นอะไรที่สูญเสีย เสียใจ เคว้งคว้างสุด มารู้หลังจากนั้น เช็คทางร.พว่าพ่อเป็นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน ความดัน เเต่เค้าไม่เคยบอกลูกๆเลย 😭 เเต่พอเวลาผ่านไป เหมือนอะไรจะดีขึ้นน่ะ พอเราจะขึ้นมหาลัย เเต่เเม่เเละพี่สาวขัด ไม่ให้เรียน เพราะไม่มีเงินส่ง เเต่ใจเรายังรักเรียนอยู่ ไม่อยากทิ้งอนาคต อยากเรียนจบเเล้วพาครอบครัวไม่ให้ลำบากไปกว่านี้ นี่คือ ความคิดเรา เเต่เค้าอาจจะมองว่า ไม่เรียนคือ หนทางดีสุดสำหรับเราในตอนนี้ เราจึงเรียน หาทุกวิถีทางที่จะเอาตัวรอดให้ได้ จนผ่านไป ปี 2 เกือบปลายๆ คือ เราไม่เงินเเล้วกินมาม่าทุกวัน จึงโทรไปขอตังค์เเม่ เเต่เค้าก็บอกน่ะ ว่า #เลือกที่จะเรียนเองก็ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง
ตอนเเรกก็โกรธเค้าน่ะ เเต่เมื่อวันเวลาผ่านไป คือ สิ่งที่เเม่พูด มันสอนเราให้เราเข้มเเข็งโดยไม่ต้องพึ่งใคร รับผิดชอบในคำพูดสิ่งที่ทำการกระทำ
........ จนทุกวันนี้เราเรียนจบเเล้วน่ะ เราต้องขอบคุณ พวกคุณ คนที่ดูถูกเรามาตลอด มันคือเเรงผลักดันที่ดีเลย ทำให้เราคิดเสมอว่า ต้องเรียนให้จบ ต้องทำให้ได้ เพื่อลบคำสบประมาทที่คุณมีให้เรา จนทำให้เรารู้ว่า ในสิ่งที่เราต้องการสุดตอนนี้คือความสุขของครอบครัวเรา ทำให้พวกเขามีความสุขที่สุด จนตอนนี้เราได้งานประจำเเล้วน่ะ ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ อยากให้ทุกคนเอาเราไว้เป็นประสบการณ์อยากเเชร์เรื่องราวนี้ไป สำหรับคนที่รู้สึกท้อเเท้ ✌ สู้ต่อไปชีวิตเรายังมีพรุ่งนี้เสมอน่ะ เป็นกำลังใจให้