ตอนที่1 จงเชื่อในความจริงของสิ่งที่ควรเชื่อ
มีหลายศาสนาที่ปรากฏบันทึกว่าองค์ศาสดาของตนกล่าวไว้ว่าตนเองเป็นผู้กำหนดสร้างนิมิตสายน้ำ ท้องฟ้า นิมิตสร้างแผ่นดิน
สร้างมนุยษ์ชายหญิงคู่แรกของโลกแต่คนในปัจจุบันเหล่านั้นที่นับถือศาสนาต่างๆ
เขาเป็นคนที่มีมันสมองมีการศึกษาที่ยังหาคำตอบไม่ได้หรือไม่ก็ไม่ที่จะสามารถยอมรับความเป็นจริงว่า
(ถ้าพระเจ้าสร้างโลกแล้วใครละเป็นผู้ที่สร้างพระเจ้า?) แต่คำถามเหล่านี้ยังคงต้องเป็นคำถามที่ค้างคาใจต่อไปโดยที่สาวกของศาสนาที่สงสัยเหล่านั้นที่อยากรู้แจ้งเห็นจริงแต่กลับถูกปิดกั้นและเป็นการที่มิให้ดูหมิ่นพระเจ้าตามความเชื่อ
คงไม่อยากมีใครเป็นแกะดำในส้งคมหรอก สมัยโบราณกาลไม่มีใครรู้อย่างชัดเจนว่าโลกและจักวาลกำเนิดขึ้นได้อย่างไร
ใครเป็นผู้สร้างกันแน่ ?
ได้นักปราชญ์ในยุคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น
พวกกรีฑโบราณที่มีความเจริญทางด้านวัตถุและนำการปกครองที่ดีทที่สุด
หรือจะเป็นพรามพ์นักบวชผู้ทรงศิลที่รอบรู้วิชา พวกเขาต่างพากันตั้งสมมุติฐานหรือทฎษฤต่างๆ นาๆ
เรื่องที่มาของโลก จนได้วิชาความรู้ตามหลักดาราศาตรส์ หลักคำนวนต่างๆ เช่น รู้ว่า
โลกมีเวลาวันละ 24 ชม. 7วันคือ1สัปดาห์ 1ปี มี12เดือน 12เดือน มี365วัน
แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าโลกถูกสร้างขึ้นมาได้เช่นไร และมนุษย์ใครเป็นผู้สร้าง
? ยุคนั้นมีหลายศาสนาหลายนิกายคิดหาคำตอบและแอบอ้างว่าศาสดาของตนเป็นผู้สร้าง
และก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งมาหักล้างกันอีก (อ้าวถ้าศาสดาพระเจ้าของท่านเป็นผู้สร้างโลกจริงแล้วใครละเป็นผู้สร้างพระเจ้าขึ้นมาเล้า.... )
ยุคนั้นเป็นยุคที่มนุษย์มีแต่คำถามที่ไม่มีคำตอบเพราะสมัยนั้นไม่มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมันหรือคอมพิวเตอร์ในการค้นคว้าวิเคราะห์วิจัย
ดังยุคปัจจุบันนี้ แต่เมื่อ2500กว่าปีก่อนมีบุรุตผู้หนึ่ง สามารถตอบ
คำถามเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำกว่าการประมวลผลวิเคราะห์ระบบคอมพิวเตอร์
คุณก็รู้ใช้มั้ยว่าใคร ? ใช้ครับ
บุรุตคนเดียวและคนแรกที่สามารถค้นหาคำตอบและตอบคำถามนี้ได้อย่างล้ำยุคชัดเจนกว่าใครเขาคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ
พระองค์ทรงตรัสตอบคำถามเหล่านี้จากผู้ที่สงสัยคำถามปัญหาโลกแตกได้อย่างมีเหตุมีผลและพิสูตรได้อ้างอิงด้วยหลักทางวิทยาศาตร์ โลกถูกสร้างขึ้นจากธาตุทั้ง4 ดิน ไฟ น้ำและ ลม ตามลำดับเหตุการณ์ โลกเป็นแค่ดาวที่เกิดขึ้นจากการระเบิดของจักวาลหรือบิ๊กแบงแกแลคซี่ทางช้างเผือกนี้จึงเกิดขึ้น
ดาวเคราะห์ต่างๆจึงเกิดขึ้นหนึ่งในดาวเคราะห์ของระบบสุริยะนั้นคือดาวโลก เมื่อเกิดระบบสุริยะ ดาวโลกจัดอยู่ตำแหน่งทีพอดีกับการกำเกิดสิ่งมีชีวิต
เพราะโลกอยู่ในโซนระยะห่างจากดาวอาทิตย์ที่คงสภาพไม่ร้อนมากเกินไปและไม่ห่างจากระยะที่หนาวเกินไปจากอุณภูมิอวกาศ
เมื่อโลกกำหนดจากหินดินทราย(ธาตุดิน) ย่อมให้ก่อเกิดความร้อนภายในแกนกลางโลก
แก่นกลางจึงเกิดการหลอมเหลวหินลาวาซึ่งคอยออกมาบนผิวโลก (ธาตุไฟ) การกำเนิดขั้วไฟฟ้าของโลกจึงเริ่มต้นขึ้น เมื่อความร้อนจากใต้โลก
ผนวกกับความจากดวงอาทิตย์จึงทำให้เกิดปฎิกิริยาเกิดลมขนาดต่างๆ (ธาตุลม)
เมื่อโลกอยู่ตรงกลางระยะสัมพัสความอบอุ่นความร้อนของดวงอาทิตย์ และความหวานเหน็บเย็นยะเยือกของระบบสุริยะจักวาลย่อมทำให้เกิดความชื่นและเกิดการแข็งตัวจากความชื้นส่งผลให้ขั้วโลกทั้งสองเป็นน้ำแข็งขนาดมหาศาล เมื่อเปลือกโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงน้ำแข็งส่วนต่างๆก็ค่อยๆละลายเป็นมหาสมุทร(ธาตุน้ำ)เมื่อโลกมีสภาพคงที่เอื้ออำนวยต่อการเกิดสิ่งมีชีวิต
สิ่งมีชีวิตแรกของยุคคือจุลลินซีแบคทีเรียที่กำเนิดออกซิเจนเหมาะสมกับสิ่งมีวีชิต จุลลินซีแบคทีเรียเป็นสิ่งมีสิ่งชีวิตที่เล็กที่สุดในโลกแต่ทรงอนุภาพที่สุดเช่นกันเพราะต่อมาจุลลินซีเหล่านั้นมีวิวัฒนาการเป็นพืชน้ำและสัตว์น้ำขนาดเล็กและมีการวิวัฒนาการกลายเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
และยุคต่อมาบางส่วนการวิวัฒการการณ์เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่บนบกและบางส่วนก็วิวัฒนาการกลายสัตว์ที่อาศัยในน้ำในยุคต่อมาสัตว์บกบางชนิดก็มีวิวัฒนาการ มีปีกบินได้สัตว์โลกถูกสร้างมาจากการเซลล์ขนาดเล็กๆที่มองด้วยตาป่าวไม่เห็น วิวัฒนาการของโลกถูกจัดสร้างขึ้นมาหลายพันล้านปี
ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านเหตุการณ์การล้างเผ่าพันธุ์ชีวิตนับครั้งไม่ถ้วน สิ่งมีชีวิตดิ้นลนวิวัฒนาการการเอาตัวรอด จนเข้ามาถึงยุคสิ่งมีชีวิตในยุคมนุษย์
เมื่อไม่กี่แสนปี มนุษย์มีวิวัฒนาการการเอาตัวรอดที่ดีเยี่ยมเพราะมนุษย์มีสมองที่พัฒนาการตลอดเวลา
การวิวัฒนาการด้านสติปัญญาจึงไปไกลกว่าสัตว์ต่างๆที่มีการวิวัฒนาการมาพร้อมๆกันในยุค
เมื่อมนุษย์มีความรู้มีทักษะการล่าหาอาหาร การอยู่รวมกันเป็นเผ่าพันธุ์เป็นสัตว์สังคม
การขยายเผ่าพันธ์ออกเป็นกลุ่มต่างๆกระจ่ายทั่วแผ่นดินโดยมีการแบ่งอาณาเขตการล่าการปกครองและมีความเชื่อโชคลางของขลังจิตวิญาณในวิถีชีวิต เมื่อมีความเชื่อ ศาสพิธีและพิธีกรรมย่อมตามมาจึงเกิดลัทธิศาสนาความเชื่อต่างๆในเผ่าพันธ์มนุษย์แต่ละกลุ่มแต่ละพื้นที่ภูมิประเทศ เมื่อมนุษย์อยู่รวมกันเป็นสัตว์สังคมที่มีความซับซ้อนต้องมีการควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ด้วยความเชื่อด้วยศาสนาด้วยจิตวิญาณด้วยศาตรส์ความรู้ต่างๆจึงเกิดนักปราช์ญา นักปราญช์ในยุคไม่กี่หมื่นปี ต่อๆมา นั้นเอง
สุดท้าย ขอให้เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อหนอมนุษย์ผู้มีปัญญาทั้งหลาย....
ใครเป็นผู้สร้างโลกและโลกเกิดขึ้นได้เช่นไร
มีหลายศาสนาที่ปรากฏบันทึกว่าองค์ศาสดาของตนกล่าวไว้ว่าตนเองเป็นผู้กำหนดสร้างนิมิตสายน้ำ ท้องฟ้า นิมิตสร้างแผ่นดิน
สร้างมนุยษ์ชายหญิงคู่แรกของโลกแต่คนในปัจจุบันเหล่านั้นที่นับถือศาสนาต่างๆ
เขาเป็นคนที่มีมันสมองมีการศึกษาที่ยังหาคำตอบไม่ได้หรือไม่ก็ไม่ที่จะสามารถยอมรับความเป็นจริงว่า
(ถ้าพระเจ้าสร้างโลกแล้วใครละเป็นผู้ที่สร้างพระเจ้า?) แต่คำถามเหล่านี้ยังคงต้องเป็นคำถามที่ค้างคาใจต่อไปโดยที่สาวกของศาสนาที่สงสัยเหล่านั้นที่อยากรู้แจ้งเห็นจริงแต่กลับถูกปิดกั้นและเป็นการที่มิให้ดูหมิ่นพระเจ้าตามความเชื่อ
คงไม่อยากมีใครเป็นแกะดำในส้งคมหรอก สมัยโบราณกาลไม่มีใครรู้อย่างชัดเจนว่าโลกและจักวาลกำเนิดขึ้นได้อย่างไร
ใครเป็นผู้สร้างกันแน่ ?
ได้นักปราชญ์ในยุคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น
พวกกรีฑโบราณที่มีความเจริญทางด้านวัตถุและนำการปกครองที่ดีทที่สุด
หรือจะเป็นพรามพ์นักบวชผู้ทรงศิลที่รอบรู้วิชา พวกเขาต่างพากันตั้งสมมุติฐานหรือทฎษฤต่างๆ นาๆ
เรื่องที่มาของโลก จนได้วิชาความรู้ตามหลักดาราศาตรส์ หลักคำนวนต่างๆ เช่น รู้ว่า
โลกมีเวลาวันละ 24 ชม. 7วันคือ1สัปดาห์ 1ปี มี12เดือน 12เดือน มี365วัน
แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าโลกถูกสร้างขึ้นมาได้เช่นไร และมนุษย์ใครเป็นผู้สร้าง
? ยุคนั้นมีหลายศาสนาหลายนิกายคิดหาคำตอบและแอบอ้างว่าศาสดาของตนเป็นผู้สร้าง
และก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งมาหักล้างกันอีก (อ้าวถ้าศาสดาพระเจ้าของท่านเป็นผู้สร้างโลกจริงแล้วใครละเป็นผู้สร้างพระเจ้าขึ้นมาเล้า.... )
ยุคนั้นเป็นยุคที่มนุษย์มีแต่คำถามที่ไม่มีคำตอบเพราะสมัยนั้นไม่มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมันหรือคอมพิวเตอร์ในการค้นคว้าวิเคราะห์วิจัย
ดังยุคปัจจุบันนี้ แต่เมื่อ2500กว่าปีก่อนมีบุรุตผู้หนึ่ง สามารถตอบ
คำถามเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำกว่าการประมวลผลวิเคราะห์ระบบคอมพิวเตอร์
คุณก็รู้ใช้มั้ยว่าใคร ? ใช้ครับ
บุรุตคนเดียวและคนแรกที่สามารถค้นหาคำตอบและตอบคำถามนี้ได้อย่างล้ำยุคชัดเจนกว่าใครเขาคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ
พระองค์ทรงตรัสตอบคำถามเหล่านี้จากผู้ที่สงสัยคำถามปัญหาโลกแตกได้อย่างมีเหตุมีผลและพิสูตรได้อ้างอิงด้วยหลักทางวิทยาศาตร์ โลกถูกสร้างขึ้นจากธาตุทั้ง4 ดิน ไฟ น้ำและ ลม ตามลำดับเหตุการณ์ โลกเป็นแค่ดาวที่เกิดขึ้นจากการระเบิดของจักวาลหรือบิ๊กแบงแกแลคซี่ทางช้างเผือกนี้จึงเกิดขึ้น
ดาวเคราะห์ต่างๆจึงเกิดขึ้นหนึ่งในดาวเคราะห์ของระบบสุริยะนั้นคือดาวโลก เมื่อเกิดระบบสุริยะ ดาวโลกจัดอยู่ตำแหน่งทีพอดีกับการกำเกิดสิ่งมีชีวิต
เพราะโลกอยู่ในโซนระยะห่างจากดาวอาทิตย์ที่คงสภาพไม่ร้อนมากเกินไปและไม่ห่างจากระยะที่หนาวเกินไปจากอุณภูมิอวกาศ
เมื่อโลกกำหนดจากหินดินทราย(ธาตุดิน) ย่อมให้ก่อเกิดความร้อนภายในแกนกลางโลก
แก่นกลางจึงเกิดการหลอมเหลวหินลาวาซึ่งคอยออกมาบนผิวโลก (ธาตุไฟ) การกำเนิดขั้วไฟฟ้าของโลกจึงเริ่มต้นขึ้น เมื่อความร้อนจากใต้โลก
ผนวกกับความจากดวงอาทิตย์จึงทำให้เกิดปฎิกิริยาเกิดลมขนาดต่างๆ (ธาตุลม)
เมื่อโลกอยู่ตรงกลางระยะสัมพัสความอบอุ่นความร้อนของดวงอาทิตย์ และความหวานเหน็บเย็นยะเยือกของระบบสุริยะจักวาลย่อมทำให้เกิดความชื่นและเกิดการแข็งตัวจากความชื้นส่งผลให้ขั้วโลกทั้งสองเป็นน้ำแข็งขนาดมหาศาล เมื่อเปลือกโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงน้ำแข็งส่วนต่างๆก็ค่อยๆละลายเป็นมหาสมุทร(ธาตุน้ำ)เมื่อโลกมีสภาพคงที่เอื้ออำนวยต่อการเกิดสิ่งมีชีวิต
สิ่งมีชีวิตแรกของยุคคือจุลลินซีแบคทีเรียที่กำเนิดออกซิเจนเหมาะสมกับสิ่งมีวีชิต จุลลินซีแบคทีเรียเป็นสิ่งมีสิ่งชีวิตที่เล็กที่สุดในโลกแต่ทรงอนุภาพที่สุดเช่นกันเพราะต่อมาจุลลินซีเหล่านั้นมีวิวัฒนาการเป็นพืชน้ำและสัตว์น้ำขนาดเล็กและมีการวิวัฒนาการกลายเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
และยุคต่อมาบางส่วนการวิวัฒการการณ์เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่บนบกและบางส่วนก็วิวัฒนาการกลายสัตว์ที่อาศัยในน้ำในยุคต่อมาสัตว์บกบางชนิดก็มีวิวัฒนาการ มีปีกบินได้สัตว์โลกถูกสร้างมาจากการเซลล์ขนาดเล็กๆที่มองด้วยตาป่าวไม่เห็น วิวัฒนาการของโลกถูกจัดสร้างขึ้นมาหลายพันล้านปี
ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านเหตุการณ์การล้างเผ่าพันธุ์ชีวิตนับครั้งไม่ถ้วน สิ่งมีชีวิตดิ้นลนวิวัฒนาการการเอาตัวรอด จนเข้ามาถึงยุคสิ่งมีชีวิตในยุคมนุษย์
เมื่อไม่กี่แสนปี มนุษย์มีวิวัฒนาการการเอาตัวรอดที่ดีเยี่ยมเพราะมนุษย์มีสมองที่พัฒนาการตลอดเวลา
การวิวัฒนาการด้านสติปัญญาจึงไปไกลกว่าสัตว์ต่างๆที่มีการวิวัฒนาการมาพร้อมๆกันในยุค
เมื่อมนุษย์มีความรู้มีทักษะการล่าหาอาหาร การอยู่รวมกันเป็นเผ่าพันธุ์เป็นสัตว์สังคม
การขยายเผ่าพันธ์ออกเป็นกลุ่มต่างๆกระจ่ายทั่วแผ่นดินโดยมีการแบ่งอาณาเขตการล่าการปกครองและมีความเชื่อโชคลางของขลังจิตวิญาณในวิถีชีวิต เมื่อมีความเชื่อ ศาสพิธีและพิธีกรรมย่อมตามมาจึงเกิดลัทธิศาสนาความเชื่อต่างๆในเผ่าพันธ์มนุษย์แต่ละกลุ่มแต่ละพื้นที่ภูมิประเทศ เมื่อมนุษย์อยู่รวมกันเป็นสัตว์สังคมที่มีความซับซ้อนต้องมีการควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ด้วยความเชื่อด้วยศาสนาด้วยจิตวิญาณด้วยศาตรส์ความรู้ต่างๆจึงเกิดนักปราช์ญา นักปราญช์ในยุคไม่กี่หมื่นปี ต่อๆมา นั้นเอง
สุดท้าย ขอให้เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อหนอมนุษย์ผู้มีปัญญาทั้งหลาย....